หมายเหตุ : คัดบางส่วนที่สำคัญมาจากคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้งซึ่งยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ และคำชี้แจงข้อกล่าวหาที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นต่อศาล โดยศาลจะเริ่มพิจารณาคดีนัดแรกในปลายเดือนมิถุนายนนี้
------------------
@ ข้อกล่าวหาจาก กกต.
บริษัทที่รับช่วงงานจ้างเหมาทำป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้บริษัท เมชไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ในห้วงเวลาดังกล่าวมีรายใหญ่เพียง 2 ราย คือ บริษัท ชัยชวโรจน์ จำกัด และบริษัทพีจีซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เมื่อตรวจสอบประวัติของ 2 บริษัท เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรยืนยันว่าไม่ได้มีการประกอบการจริง สอดคล้องกับเส้นทางการเงินตาม Statement ของบัญชีเงินฝากประเภทกระแสรายวัน ธนาคารกสิกรไทยสาขารังสิต ของบริษัท เมชไซอะฯ บัญชีเลขที่ 183-1-06108-8 ที่ไม่ปรากฏข้อมูลว่ามีการจ่ายเงินให้กับทั้งสองแต่อย่างใด และจากการตรวจสอบเอกสารรายงานทางการเงินที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นรายงานต่อ กกต. ปรากฏหลักฐานเพียงใบแจ้งหนี้กับรายการจ่ายเช็คให้กับบริษัท เมชไซอะฯ โดยไม่ปรากฏสัญญาว่าจ้าง รายละเอียดการตรวจรับงานจ้าง หรือภาพตัวอย่างป้าย หรือภาพการติดตั้งป้ายดังเช่น โครงการอื่นๆ ของพรรคที่จัดทำในห้วงเวลาเดียวกัน ประกอบกับจากคำให้การของ น.ส.อาภรณ์ รองเงิน สมุห์บัญชีเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งปี 2548 และนางกฤษณา เรืองภักดี ให้การว่าพรรคจะเตรียมการและทยอยทำป้ายฟิวเจอร์บอร์ดหลังจากมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง โดยใช้เงินพรรคซึ่งโอนมาไว้ในบัญชีเลือกตั้งจ่ายไปก่อน สอดคล้องกับคำชี้แจงข้อเท็จจริงของนายประจวบ สังขาว ซึ่งชี้แจงว่าได้ใช้เงินในส่วนที่ได้รับจ่ายบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) จ่ายค่าทำป้ายซึ่งได้จัดทำช่วงเดือนพฤศจิกายน 2548 ภายหลังจากมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548
สำหรับกรณีการรายงานการใช้จ่ายเงินของพรรคประชาธิปัตย์ จำนวน 23,314,200 บาท เพื่อจัดทำป้ายฟิวเจอร์บอร์ด จากข้อเท็จจริงพบว่า พรรคสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงไทย สาขาย่อยกระทรวงการคลัง เลขที่ 2899102 ลงวันที่ 10 มกราคม 2548 จำนวน 23,314,200 บาท ให้บริษัท เมชไซอฯ แต่เมื่อ บริษัท เมชไซอะฯได้รับเงินดังกล่าวกลับมิได้ใช้จ่ายดำเนินการตามโครงการ โดยปรากฏข้อเท็จจริงว่า บริษัทได้จ่ายเงินส่วนใหญ่ให้กับบุคคลต่างๆ ที่ไม่มีมูลหนี้ต่อกัน และมีหลักฐานว่าได้จ่ายให้กับบริษัทที่ประกอบธุรกิจสื่อโฆษณาเพียง 1,410,726.97 บาท โดยบริษัท เมชไซอะฯได้ออกใบสำคัญรับเงิน 23,314,200 บาท ลงวันที่ 10 มกราคม 2548 ให้พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าเป็นค่าป้าย P.P BOARD (ฟิวเจอร์บอร์ด) ประกอบกับเมื่อตรวจสอบการหักภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่ บริษัท เมชไซอะฯนำส่งสรรพากร ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2547 ถึงวันที่ 10 มกราคม 2548 (ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมือง อนุมัติวงเงินให้พรรคประชาธิปัตย์จนถึงวันที่พรรคชำระเงินให้บริษัท เมชไซอะฯ) ค่าใช้จ่ายในการซับงานส่วนใหญ่ เป็นรายการจ้างเหมาบริษัท ชัยชวโรจน์ จำกัด และบริษัทพีจีซีฯ ซึ่งบริษัททั้งสองถูกสั่งเพิกถอนการออกใบกำกับภาษี
กรณีจึงน่าเชื่อได้ว่าการที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งใบสำคัญรับเงินฉบับนี้ประกอบการรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนของพรรคที่ได้รายงานต่อ กกต. ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ควรได้รู้อยู่แล้วว่าเป็นใบสำคัญที่มิได้ดำเนินการจริง เนื่องจากการจัดทำป้ายฟิวเจอร์บอร์ด ของ บริษัท เมชไซอะฯได้ใช้เงินของ บริษัท ทีพีไอฯ และได้ดำเนินการไปแล้วตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2547 ดังนั้นหลักฐานใบสำคัญรับเงินของบริษัท เมชไซอะฯ ซึ่งเป็นเอกสารประกอบรายงานการใช้จ่ายเงินที่พรรคประชาธิปัตย์ และได้บันทึกในรายงานการใช้จ่ายเงินยื่นต่อ กกต.จึงไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง
จากข้อเท็จจริง กรณีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองโครงการฟิวเจอร์บอร์ด เป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่ สามารถแยกได้เป็น 2 กรณี คือ
1.กรณีพรรคประชาธิปตย์จ้างบริษัท เมชไซอะฯจัดทำฟิวเจอร์บอร์ดตามใบสำคัญจ่าย 23,314,200 บาท ซึ่งกรณีนี้ กกต.พิเคราะห์แล้วเห็นว่า
พรรคประชาธิปัตย์นำเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ไปใช้จ่ายไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ โดยมีเหตุผลสนับสนุนดังนี้
ก.เรื่องระยะเวลาดำเนินการ จากการสอบสวน เส้นทางการเงิน และข้อมูลทางภาษี เชื่อได้ว่าพรรคปจัดทำป้ายก่อนได้รับอนุมัติให้ปรับเปลี่ยนวงเงินในโครงการฟิวเจอร์บอร์ด จาก 19 ล้านบาท เป็น 27 ล้านบาท
ข.ขนาดของป้ายไม่เป็นไปตามโครงการที่ได้รับอนุมัติ เนื่องจากขนาดของป้ายที่ระบุ ในใบสำคัญจ่ายเป็นขนาด
1.2x3.4 เมตร แต่โครงการที่ได้รับอนุมัติระบุขนาดป้ายไว้ 1.3x3.4 เมตร นอกจากนี้ใบสำคัญจ่ายทั้ง 40 ล้านบาท (ซึ่ง 40 ล้านบาทนี้ ได้รวมค่าใช้จ่ายในส่วนของเงินกองทุนฯ 27 ล้านบาทด้วย) พรรคยื่นรายงานต่อ กกต.มีขนาดไม่ตรงตามที่ได้รับอนุมัติแต่อย่างใด
2. พรรคประชาธิปัตย์รายงานการใช้จ่ายไม่ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริง โดยมีเหตุผลสนับสนุนดังนี้
ก.การออกหลักฐานใบสำคัญรับเงิน และใบส่งของ ของบริษัท เมชไซอะฯที่ออกให้พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อชำระมูลนี้ค่าป้ายฟิวเจอร์บอร์ด 23,314,200 บาท ขัดต่อข้อเท็จจริงที่ได้ดำเนินการไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2547 แล้วโดยใช้เงินที่ได้รับจากบริษัท ทีพีไอฯ ซึ่งกรณีนี้พรรคได้รู้หรือควรต้องรู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่พรรคกลับใช้หลักฐานที่ไม่ถูกต้องดังกล่าวยื่นประกอบการรายงานการใช้จ่ายเงินต่อ กกต.โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น ได้ลงนามในหนังสือรายงานการใช้จ่ายเงินต่อ กกต.
ข.จากเส้นทางการเงินและข้อมูลทางภาษี จะเห็นได้ว่าเมื่อพรรคจ่ายเช็คให้บริษัท เมชไซอะฯ จำนวน 23,314,200 บาท เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2548 ในวันรุ่งขึ้น บริษัท โดยนายประจวบได้เบิกจ่ายเงินให้กลุ่มบุคคลต่างๆ โดยไม่มีมูลหนี้ต่อกัน ประกอบกับข้อมูลทางภาษี มีการใช้ใบกำกับภาษีที่ออก โดยบริษัทที่ถูกกรมสรรพากรเพิกถอนใบกำกับภาษี เนื่องจากไม่มีการประกอบการจริงมาแสดง จึงเชื่อได้ว่าการออกใบสำคัญรับเงินดังกล่าว เป็นการออกโดยไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
กกต.พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์นำเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนไปใช้จ่ายไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ โดยมีเหตุผลสนับสนุนดังนี้
1.เรื่องระยะเวลาดำเนินการ จากการสอบสวน เส้นทางการเงิน และข้อมูลทางภาษี เชื่อได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จัดทำป้ายก่อนได้รับอนุมัติให้ปรับเปลี่ยนวงเงินในโครงการฟิวเจอร์บอร์ดถูกต้อง จาก 19 ล้านบาท เป็น 27 ล้านบาท
1.2 กรณีนี้จากการตรวจสอบใบสำคัญจ่ายไม่มีการระบุขนาดของป้ายไว้ ใบสำคัญจ่าย และไม่มีใบส่งของแนบประกอบรายงานการใช้จ่ายเงินแต่อย่างใด
2.พรรคประชาธิปัตย์รายงานการใช้จ่ายไม่ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริง โดยมีเหตุผลสนับสนุนดังนี้
จากคำให้การของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ซึ่งให้การว่า เงินที่ได้รับสนับสนุนจากกองทุน 27 ล้านบาท ได้ว่าจ้างนายประจวบ 23 ล้านบาท และว่าจ้าง น.ส.วาศินี และเป๋ โปสเตอร์ ประมาณ 4 ล้านบาท สอดคล้องกับคำให้การของ น.ส.วาศินี ที่ให้การว่าได้รับงานจากพรรคประมาณ 4 ล้านบาท แต่นายธงชัยสั่งการให้ออกใบสำคัญจ่ายจำนวน 2,093,713.04 บาท เมื่อวัน 12 มกราคม 2548 ฉะนั้นในกรณีนี้พรรคได้รู้หรือควรต้องรู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่พรรคกลับใช้หลักฐานที่ไม่ถูกต้องนั้นมายื่นประกอบรายงานการใช้จ่ายเงินต่อ กกต.
พฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มาตรา 66 และ 94 จึงเห็นชอบให้นายทะเบียนยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 93
**********************************************
@ คำแก้ข้อกล่าวหาของ ปชป.
1.พรรคไม่ได้รับเงินจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) 258 ล้านบาท ส่วนที่บริษัท ทีพีไอฯทำสัญญากับบริษัท เมซไซอะฯเพื่อประชาสัมพันธ์ ถือเป็นเรื่องส่วนตัวของทั้งสองบริษัท พรรคไม่ทราบและไม่เกี่ยวข้องด้วย
2.ไม่ได้จัดทำป้ายหาเสียงก่อนได้รับอนุมัติให้ปรับเปลี่ยนวงเงิน เนื่องจากก่อนขอปรับปรุงโครงการ พรรคได้จัดทำป้ายฟิวเจอร์บอร์ด 19 ล้านบาทได้อยู่ก่อนแล้ว และเมื่อประสานภายในกับเจ้าหน้าที่ กกต.แล้วรับแจ้งว่าสามารถปรับปรุงได้โดยเพิ่มเติมงบฯ 8 ล้านบาทไม่มีปัญหา พรรคจึงเตรียมจัดทำป้ายฟิวเจอร์บอร์ดในวงเงิน 27 ล้านบาท ส่วนการโอนเงินให้บริษัท เมซไซอะฯก่อนอนุมัติให้แก้ไขนั้น ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ หากจะรอจ่ายเมื่อได้รับการอนุมัติ ก็จะไม่ทันการเลือกตั้ง และถึงแม้ภายหลังคณะกรรมการกองทุนฯไม่อนุมัติให้เปลี่ยน พรรคก็ต้องคืน 8 ล้านบาทให้กองทุน
3.สาเหตุที่ขนาดป้ายตามใบสำคัญรับเงินของบริษัท เมซไซอะฯ กับขนาดป้ายที่ทำจริงไม่ตรงกันนั้น เป็นความผิดพลาดจากการพิมพ์ของผู้ผลิต
4.ผู้ที่มีอำนาจทำความเห็นให้มีการยุบพรรคการเมือง เพราะเหตุที่ได้มีการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มาตรา 66 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 94 เป็นอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองเพียงผู้เดียวเท่านั้น กกต.ไม่มีอำนาจทำความเห็นในเรื่องดังกล่าวนี้ได้ และกฎหมายก็มิได้บัญญัติให้อำนาจแก่นายทะเบียนที่จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุม กกต.เพื่อขอให้ทำความเห็นและลงมติว่าสมควรจะยุบพรรคตามที่ถูกร้องเรียนหรือไม่ ดังนั้น เมื่อนายทะเบียนมีความเห็นให้ยุบพรรคการเมืองใดแล้ว นายทะเบียนจะนำความเห็นดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุม กกต.เพื่อให้ความเห็นชอบในการแจ้งต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำสั่งยุบพรรคนั้นๆ แต่ถ้าเรื่องใดนายทะเบียนเห็นว่าไม่มีการกระทำความผิด ก็เป็นอันยุติ กกต.ไม่มีอำนาจไปก้าวล่วงวินิจฉัยในประเด็นนี้ได้อีก เพราะถือว่าเป็นการก้าวก่ายการใช้ดุลพินิจของนายทะเบียนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ อันส่งผลให้การทำความเห็นและมติในเรื่องดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องของผู้ร้องแล้ว ปรากฏว่าประเด็นข้อกล่าวหาแรกนี้ นายทะเบียนพรรคการเมืองได้มีความเห็นว่าผู้ถูกร้องไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา จึงมีความเห็นไม่ให้ยุบพรรคเป็นที่ยุติ ขณะที่ กกต.ต่างก็ทราบและเข้าใจข้อกฎหมายส่วนนี้เป็นอย่างดีว่าอำนาจพิจารณายุบพรรคนั้นเป็นอำนาจของนายทะเบียนเท่านั้น ดังจะเห็นได้ว่า กกต.มีมติในการประชุมครั้งที่ 144/2552 เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2552 ด้วยเสียงข้างมากให้นายทะเบียนมีอำนาจพิจารณาเกี่ยวกับการยุบพรรคผู้ถูกร้อง นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ก็ได้มีความเห็นให้ยกคำร้องทั้งสองข้อหา เพราะไม่พบการกระทำความผิด ดังปรากฏตามมติ กกต.และรายงานข่าวคำให้สัมภาษณ์ของนายอภิชาต
แต่ปรากฏว่าต่อมาเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2553 นายทะเบียนกลับไม่ทำความเห็นว่าสมควรจะยุบพรรคผู้ถูกร้องหรือไม่ เพียงแต่ได้มีความเห็นเสนอต่อ กกต.ว่า ข้อเท็จจริงที่คณะทำงานของนายทะเบียนได้รวบรวมเพิ่มเติมพบว่าพรรคประชาธิปัตย์อาจกระทำตามมาตรา 94 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 หรือไม่ก็ได้ และมีความเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญจึงส่งเรื่องให้ กกต.ลงมติว่าจะยุบพรรคหรือไม่ ที่ประชุม กกต.ได้ลงมติโดยเสียงข้างมากให้ยุบพรรคทั้งสองข้อหา และหลังจากนั้นในวันที่ 21 เมษายน 2553 กกต.มีมติให้นายทะเบียนร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์
การทำความเห็นและการลงมติของ กกต.ดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2551 มาตรา 67 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 95 ย่อมส่งผลให้การทำความเห็นและมติเสียงข้างมากของ กกต.ที่เห็นสมควรให้ยุบพรรคผู้ถูกร้องไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องตามประเด็นนี้ได้
ผู้ที่มีอำนาจทำความเห็นให้มีการยุบพรรคการเมืองเพราะเหตุที่ได้มีการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มาตรา 66 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 94 เป็นอำนวนหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองเพียงผู้เดียวเท่านั้น คณะกรรมการการเลือกตั้งไม่มีอำนาจทำความเห็นในเรื่องดังกล่าวนี้ได้
ก็มีได้บัญญัติให้อำนาจแก่นายทะเบียนพรรคการเมืองที่จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมของคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื้อขอให้ทำความเห็นและลงมติว่าสมควรจะยุบพรรคตามที่ถูกร้องเรียนหรือไม่ ดังนั้น เมื่อนายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นให้ยุบพรรคการเมืองใดแล้ว นายทะเบียนพรรคการเมืองก็จะนำความเห็นดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อให้ความเห็นชอบในการแจ้งต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นๆ แต่ถ้าเรื่องใดนายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่าไม่มีการกระทำความผิดตามที่มีการร้องเรียนเรื่องดังกล่าวก็เป็นอันยุติตามความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง คณะกรรมการการเลือกตั้งไม่มีอนำาจไปก้าวล่วงวินิจฉัยในประเด็นนี้ได้อีก เพราะถือว่าเป็นการก้าวก่ายการใชดุลพินิจของนายทะเบียนพรรคการเมืองตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ อันส่งผลให้การทำความเห็นและมติในเรื่องดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องของผู้ร้องแล้ว ปรากฏว่าประเด็นข้อกล่าวหาแรกนี้นายทะเบียนพรรคการเมืองได้มีความเห็นว่าผู้ถูกร้องไม่ได้มีการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 94 ตามที่ถูกกล่าวหา จึงมีความเห็นไม่ให้ยุบพรรคผู้ถูกร้องตามประเด็นนี้ เพราะฉะนั้นโดยผลของกฎหมายปัญหาดังกล่าวย่อมรับฟังเป็นยุติตามความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง
คณะกรรมการการเลือกตั้งต่างก็ทราบและเข้าใจข้อกฎหมายส่วนนี้เป็นอย่างดี ว่าอำนาจในการพิจารณายุบพรรคการเมืองนั้นเป็นอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมืองเท่านั้น ดังจะเห็นได้ว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 144/2552 เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2552 (เอกสารท้ายคำร้อง 11) โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ลงมติด้วยเสียงข้างมากให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีอำนาจพิจารณาเกี่ยวกับการยุบพรรคผู้ถูกร้องตาม มาตรา 94 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2552 ดังกล่าว นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งก็ได้มีความเห็นให้ยกคำร้องที่ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสองข้อหา เพราะไม่พบการกระทำความผิด ดังปรากฏตามมติของคณะกรรมการการเลือกตั้งและรายงานข่าวคำให้สัมภาษณ์ของนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ต่อสื่อมวลชน
แต่ปรากฏว่าต่อมาเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2553 นายทะเบียนพรรคการเมืองกลับไม่ทำความเห็นว่าสมควรจะยุบพรรคผู้ถูกร้องหรือไม่ เพียงแต่ได้มีความเห็นเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งว่า ข้อเท็จจริงที่คณะทำงานของนายทะเบียนพรรคการเมืองได้รวบรวมเพิ่มเติมพรรคประชาธิปัตย์อาจมีการกระทำตามมาตรา 94 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 หรือไม่ก็ได้ และมีความเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญจึงส่งเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้งลงมติว่าจะยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ลงมติโดยเสียงข้างมากให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสองข้อหา ดังรายละเอียดปรากฏตามมติที่ 41/2553 ลงวันที่ 12 เมษายน 2553 (เอกสารท้ายคำร้อง 14) และหลังจากนั้นในวันที่ 21 เมษายน 2553 คณะกรรมการการเลือกตั้งก็ได้มีมติให้นายทะเบียนพรรคการเมืองร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์
การทำความเห็นและการลงมติของคณะกรรมการการเลือกตั้งดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2551 มาตรา 67 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 95 ย่อมส่งผลให้การทำความเห็นและมติเสียงข้างมากของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่เห็นสมควรให้ยุบพรรคผู้ถูกร้องไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องตามประเด็นนี้ได้