ดูเป็นเรื่องอึกทึกครึกโครมอย่างยิ่งในห้วงสับดาห์ที่ผ่านมา 1.เป็นเรื่องของการเดินทางกลับของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ 2.เรื่องของการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงในบางกระทรวงของรัฐบาลภายใต้การนำของ สมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน... !!!
เรื่องแรกเกี่ยวข้องกับการเดินทางกลับบ้านของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่นอกจากจะเป็นบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่ จนทำให้ใครหลายคนในซีกฝั่งเผด็จการเกิดอาการอิจฉาตาร้อนแล้ว...
ยังเป็นความต่อเนื่องของการพยายามปั่นเรื่อง เพื่อให้เกิดภาพอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังรัฐบาลคุณสมัคร... !!!
... นัยนี้แม้จะถูกปฏิเสธจากสมาชิกพรรคพลังประชาชนอย่างถ้วนหน้า
... แม้จะถูกตอกกลับอย่างแสบๆ คันๆ ตรงไปตรงมา จากนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ สมัคร
... และแม้จะถูกปัดไม่เป็นเรื่องจริงจากปากของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคนสนิมรอบข้างแล้ว
แต่ความพยามนี้ยังคงดำรงอยู่ ... ดำรงอยู่อย่างที่เห็นจากการจ้องถาม จ้องใช้กลลวงป้อนคำถามของกลุ่มสื่อเผด็จการ เพื่อให้เกิดอาการหลุดปากของใครก็ได้ที่เกี่ยวข้อง
และนั่นก็ย่อมหมายถึง ใครบางคน ยังคงดำรงอยู่ พร้อมกับแผนอุบาทว์ทำลายระบอบประชาธิปไตย... ???
เป็นแผนอุบาทว์ที่ซ่อนเงื่อนไว้ในหลายค่ายกล ... กลหนึ่งเกี่ยวข้องกับคดีที่เชียงรายของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร... อีกกลหนึ่งคือแผนลวง เชื่อมโยง พ.ต.ท.ทักษิณ คือผู้บงการอยู่เบื้องหลังพรรคพลังประชาชน
เป็นแผนอุบาทว์ที่สร้างไว้ด้วยหนึ่งใช้เล่ห์กลทางกฎหมายที่ฝ่ายอำนาจนิยมอำมาตยาธิปไตยขีดเส้นไว้ และอีกหนึ่งคือใช้สื่อในมือเผด็จการเป็นเครื่องมือสร้างภาพให้สังคมพุ่งมองไปยังเป้าหมายที่ต้องการ คือ “การยุบพรรคพลังประชาชน”
จึงเป็นเรื่องที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนถึงการตั้งคำถาม “นายกรัฐมนตรีซ้อน” ของสื่อ เพราะสื่อผู้น้อยก็ถูกตั้ง ธง ให้ตั้งคำถามดังกล่าวขึ้น แม้จะดูไม่สร้างสรรค์ต่อกระบวนการประชาธิปไตย หรือแม้แต่ไม่ให้เกียรติแก่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน
เพราะ ธง ก็คือ การยุบพรรคพลังประชาชน... !!!!
ความแข็งแกร่งทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ และประสบการณ์การเมืองอันยาวของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ สมัคร สุนทรเวช พร้อมการไม่ออกมาเผชิญหน้ากับผู้สื่อข่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แผนอุบาทว์ของใครบางคนจึงไม่อาจแผ่รังษีอำมหิตออกมาได้
แต่นั่นก็ใช่จะจบ เพราะหนึ่ง นอกจากแผนอุบาทว์ยุบพรรคพลังประชาชนแล้ว อีกหนึ่งคือสงครามทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลยังดำเนินอย่างควบคู่กันไปด้วย
ควบคู่ทั้งฝ่ายเผด็จการ และควบคู่ในฝ่ายประชาธิปไตย เพราะในท่ามกลางเชิงถอย ย่อมมีเชิงรุก สำหรับยุทธการชำระล้างคราบไคลเผด็จการ
หนึ่งคือ ปลดกลไกซ่อนเงื่อนของกฎหมาย อีกหนึ่งคือขจัดแขนขา ขจัดตัวเล่นทั้งเรือ ทั้งม้า ทั้งโคน สู่การรุกฆาต...!!!!
แต่หากกล่าวในเชิงการบริหารงานแล้ว การโยกย้ายตำแหน่งสำคัญๆ ต่อการสั่งการเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของผู้บริหารระดับสูง อย่างไรก็เป็นความชอบธรรม
ชอบธรรมทั้งในเป้าหมายสัมฤทธิผลของงาน และก็ชอบธรรมมากยิ่งขึ้น เพราะการยึดอำนาจล้มล้างระบอบประชาธิปไตยเมื่อ 19 กันยายน 2549 คือความไม่ชอบธรรมที่บังเกิดขึ้นก่อน...
เป็นความไม่ชอบธรรม เมื่อคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค.ใช้กำลังทางทหารเข้ายึดอำนาจ ล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตย ฉีกรัฐธรรมนูญ 2540 ของประชาชน เมื่อ 19 กันยายน 2549
เป็นความไม่ชอบธรรม... หลัง คปค. ตรารัฐธรรมนูญชั่วคราว 2549 กดหัวประชาชนคนไทยทั้งประเทศ จัดตั้งองค์กรพิเศษลากพวกตัวเองเข้าไปนั่ง ปั่นเรื่องเอาผิดทั้งพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยและคนประชาธิปไตยอย่างมากมาย
เป็นความไม่ชอบธรรม... หลัง คปค.แปลงร่างมาเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. จัดตั้งรัฐบาลอำมาตยาธิปไตย พร้อมสั่งย้ายข้าราชการทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือน จำนวนมากมาย อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย
เป็นความไม่ชอบธรรม... เพราะ คมช.และองค์กรอิสสระที่ตั้งขึ้น ใช้อำนาจรัฐ ทั้งปั่นหัว กดหัวประชาชน ลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ 2550 จนเป็นผลพวงของปัญหามาจนถึงขณะนี้
เป็นความไม่ชอบธรรม... เพราะกลุ่มข้าราชการเชื้อสายเผด็จการใช้อำนาจหน้าที่ สกัดกั้นพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย อย่างสุดลิ่มทิ่มตำ ไม่ใยดีแม้กระทั่งสังคมจะมองอย่างไร
ท้ายสุด มันยังเป็นความไม่ชอบธรรม.... ที่ประชาชนคนไทย ไม่ควรต้องตกอยู่ในภาวะหวานอม ขมกลืน ลำบากยากเข็ญ มาอย่างยาวนานตลอดห้วงเกือบ 2 ปี ที่ผ่านมา
และทั้งหมดที่กล่าว ก็คือความไม่ชอบธรรมที่อุบัติขึ้นจากฝ่ายอำนาจนิยมเผด็จการอำมาตยาธิปไตย 19 กันยายน 2549 ที่มีข้าราชการกลุ่มหนึ่งเป็นสมุน....!!!!
สมุน ที่เสมือนหนึ่ง คือผู้สนับสนุนให้โจรเข้ามาปล้นบ้าน และยังคงเป็นสมุนที่ยังคงดำรงอยู่ เพื่อขัดขวางการดำเนินนโยบายของรัฐบาลประชาชน และขัดขวางอุดมการณ์ประชาธิปไตยของประชาชน
ไม่เพียงกระทรวงสาธารณสุขที่ นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล ถูกโยกย้ายจากเลขาธิการองค์การอาหารและยา หรือ อย. ไปเป็นผู้ตรวจราชการ ที่หลังการยึดอำนาจ ข้ามหัวใครต่อใครเข้านั่งตำแหน่ง เลขาธิการ อย. ได้อย่างสะดวกโยธิน
ไม่เพียงกรมประชาสัมพันธ์ ที่นายปราโมช รัฐวินิจ ถูกโยกย้ายจาก อธิบดีกรมฯ ไปนั่งคุมโครงการโทรทัศน์อาเซียน ที่เก้าอี้อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ก็ได้มาหลังการยึดอำนาจ แบบบุญหล่นทับ ที่ต้องทดแทนคุณ ใช้ช่อง 11 และวิทยุในเครือข่าย ประชาสัมพันธ์รัฐบาลเผด็จการและกลุ่มคนสนับสนุนเผด็จการอย่างหน้าตาเฉย ออกนอกหน้าแม้กระทั่งร่วมวงแผนยึดสัมปทานโทรทัศน์เสรี ไอทีวี
ไม่เพียง กรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่โยกย้าย นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ไปเป็นเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ หรือ ปปท.
ไม่เพียงที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ สตช. ที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ถูกคำสั่งฟ้าผ่า จากเก้าอี้ผู้บัญชาการฯ มาช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ด้วยตำแหน่งใหญ่คุมตำรวจทั้งประเทศ ก็ได้มาหลังยึดอำนาจ
เป็นอำนาจที่ใช้สั่งสลายการชุมนุมของประชาชนที่หน้าบ้านสี่เสา ด้วยก๊าสน้ำตา สเปย์พริกไทย ทำร้ายประชาชน...!!!!
มาถึงวันนี้ ... วันที่ประชาธิปไตยหวนกลับคืนสู่สังคมไทยอีกคำรบ จึงไม่ใช่แค่เป็นความชอบธรรมในการโยกย้ายเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลประชาธิปไตยต้องกระทำด้วยซ้ำไป....
เพราะบ้านเมืองมันสกปรก ...เพราะเป็นหนึ่งในหน้าที่ที่ประชาชนส่วนใหญ่ได้มอบหมายให้รัฐบาลเข้าไปชำระทำความสะอาด ให้เชื้อร้ายจากอำนาจเผด็จการหมดสิ้นไปจากบ้านเมืองไทย
มาถึงวันนี้แล้ว .... ทั้งข้าราชการสมุนเผด็จการ .... ทั้งสื่อสมุนเผด็จการ หากยังไม่เข้าใจ เห็นทีประชาชนต้องช่วยเปล่งเสียงดังๆ กันแล้วว่า “ขออภัยด้วย .... กำลังล้างบ้าน” ครับ....
คอลัมน์: ตะแกรงข่าว โดย : พร ภัทร