หากพูดถึงสื่อของรัฐ เป้าหมายแรกคนส่วนใหญ่คงจะนึกถึง สทท. 11 ที่เป็นความภูมิใจของรัฐบาล ว่ามีเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยกว่าช่องพาณิชย์ทั่วไป แต่ด้วยเหตุผลใดจึงกลายเป็นสถานีโทรทัศน์ที่ย่ำแย่ที่สุดในสายตาคนไทย ทิศทางของช่อง 11 จากนี้ไปหลังการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง หน้าตาจะเป็นอย่างไร และยังมีภารกิจอะไรอีกบ้างกับการพัฒนาสื่อของชาติ ติดตามกันต่อจากปากคำของ นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
หน้าตารูปแบบรายการของช่อง 11 จากนี้ไปจะมีรูปแบบอย่างไร
ยังไม่คิดถึงขั้นนี้ เพราะถ้าผมลงไปล้วงลูกถึงรายการมากมันจะรวน ผมจะวางคอนเซ็ปต์อย่างไรก่อน เพราะช่อง 11 เราจะตั้งโครงให้เป็นยังไง เอาใครเข้ามาช่วยให้มันเป็นไปได้ นอกจากนั้นก็ต้องใช้สมองเขาบ้าง ไม่อย่างนั้นจะเป็นสมองรัฐมนตรีสิ มันต้องเป็นสมองของคนเก่งๆ ที่เราจะดึงเข้ามาช่วย
จะเป็นรูปแบบสารคดีแห้งๆ หรือเปล่า
มันก็ต้องมีทั้งเปียกทั้งแห้งทั้งโชก ทั้งอ่อนหวาน อาจหาญ ก้าวร้าว คือมันจะเป็นสถานีที่ตั้งโครงอยู่ที่การพัฒนาผู้ชมและสังคม ไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบไหนก็ตาม ช่องที่เรายกมาเป็นตัวอย่างเรื่อยๆ อย่าง เนชันแนลจีโอกราฟิก หรือ ดิสคัฟเวอร์รี่ ชาแนล ลองไปดูสิ แต่ละช่องไม่เหมือนกันเลย เนชันแนลจีโอกราฟิกจะเป็นสารคดีแบบคลาสสิก เรียบๆ ตามรูปแบบ แต่ดิสคัฟเวอร์รี่ ชาแนล จะมีแบบการ์ตูนมั่ง แข่งขันมั่ง รายการแบบโชว์เพียวมั่ง อะไรบ้าง ไปจนถึงด็อกคิว ดราม่า ดิสคัฟเวอร์รี่ ก็ยังมี เช่น เรื่องการเข้าไปพิสูจน์คดีฆาตกรรมและเบาะแสต่างๆ แบบที่ใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์
ตั้งใจจะให้เป็นทีวีช่องที่มีการพัฒนาบทบาทในการพัฒนาทุกๆ บทบาท เช่น การเมือง การศึกษา
ถูกต้อง ที่เรียบง่ายที่สุดและตรงที่สุดก็คือ เป็นสถานีที่คนดูแล้วติดใจอยากดูต่อ และเมื่อดูเสร็จแล้วฉลาด
ตอนนี้ก็ใกล้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มเข้าไปปรับโครงสร้างภายในกรมประชาสัมพันธ์ก่อน แล้วจากนั้นจึงจะเข้าไปทำงานใกล้ชิดกับช่อง 11 โดยตรง เราจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง เพื่อปฏิรูปช่อง 11 โดยเฉพาะ แล้วผมจะให้นโยบายผ่านคณะกรรมการนี้ลงไป
การเปลี่ยนภาพลักษณ์ของช่อง 11 ที่ประชาชนมองว่าเป็นทีวีของรัฐ มีความยากหรือจะมีข้อครหาตามมาหรือไม่
ไม่ยากเลย เปลี่ยนหน้าจอเมื่อไรมันก็เปลี่ยน หน้าตาของคณะกรรมการ ก็เป็นคนเนี่ยแหละ ส่วนข้อครหานั้นถ้ามีแล้วค่อยตอบ ถ้าบอกว่าเตี้ย เราก็จะได้หาคนสูงมา ถ้าบอกว่าไม่สวย จะไปหาคนสวยเพิ่ม ก็ต้องรอให้เขาครหาก่อน ถ้าจะมีข้อครหา
คิดจะสานต่อแนวทาง SDU หรือไม่
SDU เป็นวิธีการหนึ่งซึ่งจะนำช่อง 11 ออกมาบริหารอย่างมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ผมจะเข้าไปศึกษาว่ามีประโยชน์ต่อการที่จะต่อยอดหรือไม่ ถ้าหากมีประโยชน์ก็จะฝากให้คณะกรรมการชุดนี้เขาให้ความเห็นด้วย ถ้าหากมันไม่ได้ประโยชน์ก็ต้องหาวิธีการใหม่ พูดง่ายๆ ว่าผมไม่ทำคนเดียวในเรื่องแบบนี้ จะดึงคนเป็นกลุ่มก้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อจะพัฒนาต่อไป
ในเรื่องทีวีอาเซียนมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง
ในเดือนกรกฎาคมนี้ ประเทศไทยจะเป็นประธานอาเซียน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ดูแลงานสื่อจะถูกเรียกว่า รัฐมนตรีข่าวสาร (Information Minister) เขาก็จะมีเหมือนกันใน 10 ประเทศอาเซียน รัฐมนตรีของไทย โดยตัวผมเองจะเป็นประธานรัฐมนตรีข่าวสารอาเซียน ซึ่งเรียกว่า อาเซียน เอไอเอ็น
หน้าที่ก็คือ ต้องสร้างความร่วมมือทางด้านข้อมูลข่าวสารในทุกรูปแบบในโซนอาเซียน ซึ่งเมื่อประเทศไทยเป็นประธานเราก็ควรจะมีงานเอก หรือผลงานที่เราภาคภูมิใจโชว์เพื่อนอาเซียนบ้าง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ โครงการโทรทัศน์อาเซียน ซึ่งแปลว่าจะเป็นโทรทัศน์ช่องใหม่ขึ้นมาเลย แล้วก็มีการผลิตคอนเทนต์หรือเนื้อหาสาระจาก 10 ประเทศมาอยู่ในจอเดียวกัน โดยคนดูทั้ง 10 ประเทศจะสามารถจูนได้โดยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ซึ่งจะต้องศึกษากันต่อไป
รายการนั้นก็น่าจะเป็นภาษาอังกฤษ แต่จะมีซับไตเติ้ลเป็นภาษาท้องถิ่น เพื่อสามารถดูได้ รายการไม่ได้เป็นเพียงสารคดีหรือการให้ความรู้หรือข่าวเท่านั้น อาจจะมีภาพยนตร์อินโดนีเซีย มีประกวดโฟล์กซองฟิลิปปินส์ อาจจะมีเทศกาลเชิดมังกรที่สิงคโปร์ อาจจะมีขับรถกินอาหารที่อาเซียน 10 ประเทศ ไล่กันเรื่อย จะเป็นช่องที่เกี่ยวกับอาเซียนทั้งหมด
ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ด้วยว่า คนที่ดูแล้วจะต้องเกิดสิ่งที่เรียกว่า จิตสำนึกอาเซียน หรืออาเซียนสปิริต คือ เกิดความรู้สึกว่าอาเซียนเราเป็นหนึ่งเดียวกันนะ เราอย่าไปมองว่ามาเลเซียต่างจากเรา เราอย่าไปมองว่าบรูไนอยู่ไกล เราอย่ารู้สึกว่าเวียดนามเป็นคู่แข่ง อยากให้มองให้รู้ว่าเราก็เป็นก้อนเดียวกัน ที่ร่วมมือกันได้ และโทรทัศน์อาเซียนจะเป็นโทรทัศน์ที่ดึงเอายอดฝีมือของแต่ละประเทศมารวมกันผลิตรายการ
ส่วนสถานีจะตั้งอยู่ที่ไหนอย่างไรนั้น เดี๋ยวค่อยไปคิดกัน เพราะว่าไทยเราเป็นเจ้าของโครงการ เราจะคิดไปเบ็ดเสร็จหมดเดี๋ยวคนอื่นเขาไม่มีส่วนคิด เขาจะไม่สบายใจ เราก็ทำเป็นเพียงตุ๊กตาคร่าวๆ ไปช่วยกันคิดในกลุ่ม เรื่องนี้จะเป็นหนึ่งในเรื่องที่รัฐมนตรี ประธานในที่ประชุมรัฐมนตรีข่าวสารอาเซียน โดยตัวผมเอง จะนำเสนอต่อที่ประชุมว่าผลิตโครงการอะไร
กำหนดระยะเวลาในการเปิดโทรทัศน์อาเซียนไว้อย่างไรบ้าง
พูดยาก เพราะว่ามันเป็นงานร่วมมือระหว่างประเทศ เราก็ต้องคุยกันก่อนว่าเขามีความพร้อมอะไรหลายๆ อย่างมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าหากผมเลือกได้ตามใจ ผมก็ฝันอยากจะเห็นโทรทัศน์อาเซียนเกิดขึ้นและดำเนินการชนิดดูได้ทั่วภูมิภาคอาเซียน ภายในเวลาไม่เกิน 1 ปีหลังจากที่เราประกาศร่วมกัน ซึ่งหมายความว่า ประมาณกลางปีหน้า 52 เราจะได้เห็นโทรทัศน์อาเซียน
ในส่วนของทีวีกีฬาเป็นอย่างไรบ้าง
ทีวีกีฬาเป็นโครงการร่วมกันระหว่างสำนักนายกรัฐมนตรีกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยรัฐมนตรีคือ คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ และผมได้จับมือแถลงข่าวร่วมกันไปแล้ว ประกาศจุดเริ่มต้น เรียกว่า เป็นคิกออฟ เจตนาก็คือ เราต้องการสร้างสถานีที่เป็นเรื่องกีฬาล้วนๆ เพื่อจะให้เกิดวัฒนธรรมกีฬาขึ้นมาในประเทศไทย คนไทยไม่ใช่อยากแค่ดูกีฬาหรือพนันกีฬา แต่อยากจะลงไปเล่นกีฬาด้วย อยากจะเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย อยากจะมีกิจกรรมที่มันสร้างสรรค์ต่อสุขภาพ
ช่องนี้จะเป็นกีฬาและนันทนาการ วิธีการดำเนินการก็คือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดูเรื่องเนื้อหาและสาระ โดยประสานกับสมาคมกีฬาทั้ง 61 สมาคม ใครจะทำอะไรว่ามา โดยทางเราคือกรมประชาสัมพันธ์ก็จะหาคลื่นให้ แต่ผมในฐานะที่ดูแล อสมท. ด้วย ก็อาจจะไปทาง อสมท. มาคลื่นไหนเหมาะที่จะมารองรับเรื่องนี้
โดยจะมีภาคเอกชนเข้ามาเป็นผู้ร่วมผลิตเต็มไปหมดเลย แต่ในด้านของเนื้อหาสาระผมจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง ผมให้ทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดูแล เพราะฉะนั้นใครสนใจจะทำเรื่องเนื้อหาสาระจะจัดรายการ นู้นไปทางนู้น กระทรวงนู้น กระทรวงนี้จะคอยเป็นสถานีให้อย่างเดียว เพื่อที่จะทำให้มันไปสู่คนได้มากที่สุด
การทำแบบนี้คนมองว่าเป็นการทำเพื่อรองรับทีมแมนฯ ซิตี้
ก็เขาอยากดูไหมล่ะ แมนฯ ซิตี้ คือ มันไม่ได้เป็นช่องกีฬาช่องเดียวในโลกหรือในประเทศไทย เพราะฉะนั้นการมีอะไรขึ้นมาเนี่ย ช่องกีฬาต้องลงไปแข่งขันการได้มาซึ่งสิทธิการถ่ายทอดสดในการนำเสนอรายการ เพราะฉะนั้นจะออกมาเป็นทีมไหนอย่างไรนั้น มันไม่สามารถไปกำกับตัวเองได้ในตอนนี้
เอาว่าอย่างนี้ก็แล้วกัน เมื่อตั้งสถานีกีฬาขึ้นมาแล้ว ถึงตอนนั้นก็จะรู้เองว่าเนื้อหาสาระมันก็จะโอนอ่อนไปเรื่อย มันก็จะปรับตัวไปตามความสนใจในตอนนั้น ทำไมไปนึกถึงบอลอย่างเดียวล่ะ ทำไมไม่นึกถึงปัญจสีลัต ทำไมไม่นึกถึงตะกร้อลอดห่วง ทำไมไม่นึกถึงเรื่องของแข่งโรเลอร์เบส ทำไมไม่นึกถึงเรื่องสเก็ตน้ำแข็งล่ะ ทำไมไม่คิดถึงเรื่องแคมปิ้งล่ะ ทำไมต้องไปดูนกล่ะ ทั้งหมดนี้เป็นกีฬาทั้งนั้น ซึ่งสามารถที่จะมีอยู่ในจอทีวีได้ด้วย
มีแนวทางในการนำเสนอความเป็นไทยไปสู่ต่างประเทศอย่างไรบ้าง
ความเป็นไทยคงต้องแทรกอยู่ในทุกอณูของสื่อในประเทศไทย แต่ต้องยอมรับว่าเราต้องพัฒนาความเข้าใจในความเป็นไทยด้วยกันนะ ความเป็นไทยของผู้ใหญ่อายุ 40 ปีขึ้นไป กับความเป็นไทยของเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีลงมา อาจจะไม่เหมือนกัน แต่ทั้งสองคนก็เป็นไทย เด็กที่ตัดผมสกินเฮด กับผู้ใหญ่ที่ไว้ผมทรงมหาดไทย ก็เป็นคนไทยทั้งคู่
แล้วจะใช้ความเป็นไทยของใครในจังหวะไหน เหล่านี้มันเริ่มต้นจากการที่ว่า เราต้องอย่าห่วงมากเกินไป ว่าเราจะต้องนำเอาค่านิยมของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในเมืองไทยมาเป็นมาตรฐานและบังคับให้คนไทยกลุ่มอื่นๆ ต้องทำตาม ผมเชื่อว่าความเป็นไทยที่เราดำรงเอกราชอยู่ได้ เพราะเราปรับตัวได้ทุกยุค มีอะไรมาใหม่คนไทยรับแหลก แต่ก็ทิ้งเร็ว ทำให้คนไทยเนี่ยเป็นเห่อแฟชั่น แต่ก็ไม่เห่อนาน และก็รับของใหม่แล้วก็ทิ้งของเดิมไป วัฒนธรรมรับเร็วทิ้งเร็ว มันทำให้คนไทยรักษาเอกลักษณ์ของตนเองได้ค่อนข้างดี
นั่นก็คือ คนไทยไปเรียนเมืองนอกกี่ปี คบฝรั่งกี่คน ถึงเวลาก็เป็นไทยอยู่นั่นเอง ตรงนี้เป็นเรื่องที่แปลกประหลาด แม็คโดนัลด์ มาขายแฮมเบอร์เกอร์อยู่เมืองไทย เมืองฝรั่งที่ไหนๆ เขาก็ต้องใส่ถาดแล้วไปเทเอง คนไทยตั้งหลายสาขาแม็คโดนัลด์ต้องหาคนมารับใช้เก็บไปทิ้งให้ เพราะฉะนั้นนิสัยไทยก็ไม่เปลี่ยนหรอก ถึงแม้จะรับเขามาก็ตาม เพราะฉะนั้นอย่าห่วงเลย เพียงแต่ห่วงว่าให้รักษาของดีๆ ไว้มากๆ
ภาพลักษณ์ของอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์คนใหม่จะต้องเป็นอย่างไร
อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ก็ควรจะมีวิสัยทัศน์ในเรื่องของเทคโนโลยีสื่อเป็นหลัก ให้รู้ว่าสื่อมีแนวโน้มพัฒนาเทคโนโลยีไปด้านไหน ก็ควรจะลงทุนในการซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ในการวางแผนด้านสถานีโทรทัศน์วิทยุ หรือเว็บไซต์ของตัวเองในขณะนั้น
อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ไม่ควรจะโกง อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ไม่ควรที่จะอิงแอบเผด็จการ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ไม่ควรกะล่อน อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ควรที่จะรักงานราชการของตัวเองเท่าๆ กับรักประชาชนที่ต้องการการพัฒนาตัวเอง และสุดท้าย อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ที่ดีก็ควรที่จะตระหนักชัดว่าอำนาจในการควบคุมสื่อของตนเองมันเริ่มจะลดน้อยถอยลงไปแล้ว ควรจะเริ่มหาทางร่วมมือกับสื่อใหม่หรือสื่อภาคเอกชนมากขึ้น เพื่อดำรงฐานะของการเป็นกระบอกเสียงของภาครัฐต่อไป
จะมีแนวทางในการจัดระเบียบสื่ออื่นๆ อย่างไรบ้าง
ยังไม่เคยพูดเรื่องการจัดระบบสื่อ ต้องรอให้พร้อมก่อน ในขณะที่เราพัฒนาสื่อภาครัฐให้ตอบโจทย์การพัฒนาประสิทธิภาพของตัวเอง เราต้องไว้ใจให้ประชาชนพัฒนาขึ้นมา เพื่อเป็นนักรบให้เราในการกำจัดสิ่งที่เป็นผักตบชวาของสื่อมวลชนเหล่านี้ ซึ่งเอาไปถักไปทออะไรก็ไม่ได้ คือผักตบชวาของจริงยังเอาไปถักทออะไรได้ แต่ว่าผักตบชวาแบบนี้เนี่ยเอาไปให้อะไรกินก็เป็นพิษ เพราะฉะนั้นเราต้องทำสองอย่างพร้อมกัน
นั่นก็คือ การพัฒนาสื่อภาครัฐให้ตอบโจทย์มากที่สุด ขณะเดียวกันก็หวังว่าผลจากการนั้น จะทำให้สังคมลุกขึ้นมาเปรียบเทียบว่าสื่อไหนที่เป็นสื่อมวลชนที่เขายอมรับได้ แล้วสื่อไหนที่เป็นเพียงยาพิษที่มันเคลือบอยู่ในรูปสื่อ เพราะว่าประชาชนเองก็รักตัวเอง รักลูกหลาน รักครอบครัว คงไม่อยากที่จะรับประทานยาพิษในคราบสื่อ
การโยกย้าย นายปราโมช รัฐวินิจ พ้นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ถูกมองว่าเป็นการเช็กบิล
ผมไม่ได้บอกว่าอธิบดีปราโมชโกง หรือว่ารับใช้เผด็จการ ผมบอกว่า อยากให้ท่านมาช่วยงานพัฒนาโครงการโทรทัศน์อาเซียน ถ้าหากว่าเป็นการเช็กบิล พูดอย่างเดียวไม่ได้ เพราะฉะนั้นจากตรงนี้ก็คิดว่าน่าจะเป็นที่เข้าใจแล้วก็วิพากษ์วิจารณ์ในกรอบที่สมควร เพราะถ้าหากว่าผมเชื่อว่าเป็นเหตุอื่น ก็คงมีการตั้งกรรมการสอบสวน เพราะฉะนั้น ลองคิดดูแล้วกันว่าที่ทำด้วยวิธีการอันนุ่มนวลนี้ เพราะอะไร ไม่ได้มีปัจจัยอื่น เพราะส่วนตัวก็ชอบกันดี สนิทกัน
นายจักรภพ เพ็ญแข
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ให้สัมภาษณ์พิเศษ นสพ.ประชาทรรศน์
วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551