การโยกย้าย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส พ้นจากการทำงานในตำแหน่ง ผบ.ตร. คงไม่สามารถเอาไปเทียบเคียงกับ นายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ นายปราโมช รัฐวินิจ อดีตอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ได้
เพราะ 2 คนหลังเป็นการโยกย้ายไปทำหน้าที่สำคัญ ตามความเหมาะสมแก่ความรู้ความสามารถ ไม่ได้มีการระบุความผิดหรือความบกพร่องในการทำหน้าที่
ต่างจาก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ที่มีข้อกล่าวหาอย่างน้อย 3 ประการ ทั้งการเช่ารถเพื่อใช้ในราชการตำรวจมูลค่าเฉียดหมื่นล้านบาท ที่กระบวนการในการดำเนินการกินเวลาเพียงแค่ 69 วัน และยังมีเรื่องของตัวเลขที่น่าสงสัย และความคุ้มประโยชน์ดังข้ออ้างว่าจะนำมาใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งที่รถบางคันยังจอดนิ่งอยู่กับที่ เพราะบางพื้นที่ไม่มีแก๊สเอ็นจีวีจะเติม หรือบางโรงพักก็ถึงกับส่งรถคืน เพราะไม่รู้ว่าจะเอารถไปจอดไว้ทำไม
หรือจะเป็นเรื่องของการใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ไม่เพียงเฉพาะแค่การแสดงสันดานพื้นฐานออกมาเท่านั้น แต่ประเด็นที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ สบถออกมานั้น มีความเกี่ยวโยงกับการงดกิจกรรมรื่นเริงเพื่อร่วมไว้อาลัย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ซึ่งไม่บังควรอย่างยิ่ง
แต่จนถึงขั้นนี้แล้ว พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ก็ยังไม่ได้สำนึกในความผิด และยังคงออกมาแสดงวาจาไม่เหมาะสม ที่บ่งบอกถึงวุฒิภาวะอีกหลายถ้อยคำ
ไม่ว่าจะเป็นการย้ำถึงคำพูด "ควายหรือเปล่า" ที่นักข่าวถามว่าอาจเป็นถ้อยคำที่บางคนอาจไม่ชอบ และถูกสวนมาว่า "แต่ลูกน้องผมชอบ ไปหนักกบาลใครหรือเปล่า"
หรือจะเป็นคำกล่าวในเชิงอาฆาตมาดร้าย ทั้งที่ระบุว่า "ยังมีเวลาอีกยาวนาน วันข้างหน้าเผื่อจะได้ถล่มใครกะเขาบ้าง" หรือจะเป็น "ผมมีพวกมากแค่เป่านกหวีดก็ออกมาเต็มไปหมดแล้ว"
ที่สำคัญเมื่อนักข่าวถามถึงการตั้งกรรมการสอบสวน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ก็พยายามอธิบายความและทิ้งท้ายว่า "มีแต่ไอ้โง่ที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง" ชวนให้คนที่ได้ยินเข้าใจเอาเองว่าหมายถึงคนที่ออกคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวน ซึ่งก็ย่อมหมายถึง นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี
ทั้งคำพูดและท่าทีของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไม่เพียงบอกเล่าตัวตนหรือพื้นฐานความคิดที่แท้จริงหรืออาจรวมถึงการมองย้อนไปถึงปูมหลังเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงการไม่รู้จักยอมรับความจริง ไม่เคารพในกฎเกณฑ์กติกา
ในเมื่อเกิดความบกพร่อง ผิดพลาดในการทำงาน ก็ต้องเช้าสู่กระบวนการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติและเป็นกติกาสากล
หากผิดก็ต้องรับโทษทัณฑ์กันไปตามกฎหมาย แต่หากไม่ผิดก็สามารถกลับไปรับตำแหน่งได้ เหมือนดังที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย บอกไว้ หากว่ายังมีความเหมาะสมกับงานในตำแหน่งสำคัญเช่นนั้นอยู่
เพียงแต่ว่าการที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังคงออกมาฟาดงวงฟาดงามากเท่าไร แสดงความไร้วุฒิภาวะมากเท่าไร ก็ดูจะเห็นความเหมาะสมในการกลับไปนั่งในตำแหน่ง ผบ.ตร. ลดน้อยลงเท่านั้น
เพราะคนกักขฬะ หยาบคายไม่ให้เกียรติผู้คนทั้งลูกน้อง และเจ้านาย จะไปอยู่ที่ไหนผู้คนก็รังเกียจ และที่สำคัญการที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ออกมาพูดจาด้วยท่าทีก้าวร้าวเช่นนี้ หากรัฐบาลขืนปล่อยไว้ก็จะพานทำให้ถูกมองได้ว่าบ้านนี้เมืองนี้ ไม่มีกฎ ไม่มีกติกา ใครนึกอยากจะออกมาพูดจาจิกด่าใครก็ได้ตามอำเภอใจ
ผมว่านอกเหนือไปจากการตั้งกรรมการสอบสวนความผิดทั้ง 3 ประการ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี และหมายรวมถึงประเด็นอื่นๆ ตามที่กรรมการเห็นสมควรแล้วการแสดงกิริยา วาจาอันไม่เหมาะสมแก่ความเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ควรเป็นเยี่ยงอย่างแก่ข้าราชการชั้นผู้น้อยหรือลำดับชั้นที่ลดหลั่นลงมา ก็ยังสมควรจะต้องมีการตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงอีกกระทงหนึ่ง
เพราะการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ และเอ่ยถึงผู้บังคับบัญชาด้วยถ้อยคำก้าวร้าวรุนแรง ถือเป็นความผิดที่ยิ่งใหญ่ ซึ่ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ย่อมรู้ดีว่าข้าราชการตำรวจที่เคร่งครัดในวินัยและลำดับชั้นการบังคับบัญชา ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน
ตัวอย่างก็มีปรากฏอยู่แล้วว่าหากตำรวจชั้นผู้น้อยประพฤติตัวไม่เหมาะสมแก่ความเป็นตำรวจไม่ว่าจะด้วยประการใดๆ ก็ตาม เจ้านายก็ยังสั่งขังกันมาแล้ว
รวมทั้งยังเป็นที่รู้กันดีว่าหากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นผู้รักษากฎหมายกระทำผิดเสียเอง การรับโทษทัณฑ์ก็ยังเข้มงวดกว่าชาวบ้านทั่วไป และไม่มีเหตุให้ลดหย่อนผ่อนปรน
แล้วนี่นายตำรวจใหญ่มาทำตัวไม่เหมาะสมเสียเอง หากรัฐบาลไม่ตั้งกรรมการสอบสวนหรือลงโทษกันเสียบ้าง นอกจากจะกลายเป็นตัวอย่างเลวๆ ให้คนอื่นเอาอย่างแล้ว คนทำผิดก็จะไม่รู้จักเข็ดหลาบและสร้างปัญหาได้อีกในภายหลัง
ทางที่ดีต้องตั้งกรรมการขึ้นมาสอบวินัยเอาผิดกันให้ชัดเจนไปเลย
...แล้วก็อย่าลืมตบปากสักที ข้อหาที่ "ปากเสีย"...!!
บิ๊กโบ๊ต (แทน)
////////////////
คอลัมน์:ละครชีวิต...จากหนังสือพิมพ์รายวันประชาทรรศน์
ฉบับประจำวันที่ 4/03/2551