ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย เปิดมิติใหม่ทางการเมืองไทย ด้วยการลงนามในหนังสือด่วนที่สุด ที่ มท.0100/ 889 เรื่อง ขอทราบข้อมูลและข้อเสนอแนะ โดยเรียนเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ มีเนื้อหาใจความว่า
“ด้วยปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาระดับชาติ ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญ และตระหนักในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยรัฐบาลได้น้อมนำหลักการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานหลักการการแก้ไขปัญหาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อันได้แก่ ในการเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา ซึ่งหลักการดังกล่าวจำเป็นที่ทุกภาคส่วน ต้องร่วมมือร่วมใจกัน เพื่อแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งผมตระหนักดีว่าท่านเป็นผู้หนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญและข้อมูลในเรื่องดังกล่าว
จึงใคร่ขอข้อมูลและข้อเสนอแนะจากท่าน เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในวัน เวลา และสถานที่แล้วแต่ท่านจะเห็นสมควร หรือเพื่อความสะดวกจัดส่งข้อมูลเป็นเอกสารให้ก็ได้ จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาให้ความอนุเคราะห์ด้วยจักเป็นพระคุณยิ่ง”
เหลือเชื่อไหม กับ ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งสวมบทบู้ล้างผลาญเป็นงานถนัด กลับมาเล่นบทประนีประนอมยอมกัน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาชาติรุดหน้าต่อไป
ที่ว่าเป็นมิติใหม่ทางการเมือง คือการแก้ไขปัญหาโดยไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ยอมรับฟังข้อเท็จจริง และ ข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาจากหลาย ๆ ฝ่าย ก่อนนำข้อมูลมาตัดสินใจในการทำงานต่อไป
อยู่ที่ว่าท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งจะต้องมีการนำเรื่องเข้าสู่ ที่ประชุมกรรมการบริหารและ ส.ส.ของพรรค ว่าจะดำเนินการตามคำร้องขอหรือไม่
ปัญหาข้อเท็จจริง คงไม่ต้องพูดกันมาก ต่างคนต่างรู้ดีว่าอะไรคืออะไร อย่ามัว “สาวไส้ให้กากิน”วิธีการ และ การแก้ไขปัญหาต่างหาก คือ สิ่งที่ต้องหยิบยกขึ้นมาพูดจากัน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นมรรคเป็นผล จะทำอย่างไร มากกว่า
นโยบายและมาตรการของพรรคประชาธิปัตย์ ในการหาเสียงเลือกตั้ง 2 ครั้งหลังนี้ยังต้องปรับเปลี่ยน เพราะมีการไปประกาศปฏิญาณในการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัด ในช่วงยุคนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค พอมาถึงยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีนโยบายในการหาเสียงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่แปลกแตกต่างกันออกไป
การใจกว้าง เปิดโอกาสให้ คณะรัฐมนตรี(เงา) ของฝ่ายค้าน เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติ จึงเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญไม่น้อย
ที่จริงเรื่องนี้เสี่ยงกับการถูกโจมตีทั้งทางเปิด และทางใต้ดิน ว่า เป็นการเสียหน้า ต้องไปพึ่งพาข้อมูลของฝ่ายค้าน เป็นรัฐมนตรีทั้งทีจะ ไร้กึ๋น ไร้น้ำยา ซึ่งเป็นความคิดที่อาจจะผิดก็ได้ เพราะการเปิดสถานการณ์การเมืองยุคใหม่แบบนี้ ในเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วน ไม่มีอะไรจะเสียหายในการจะนำไปโจมตี ใครหยิบยกเรื่องดังว่านี้ขึ้นมา นั่นต่างหากที่ควรจะถูกด่ากลับไป ไอ้พวกไม่รักชาติ ไอ้พวกคิดหาประโยชน์ทางการเมืองเพียงอย่างเดียว
หากมองอีกทางคือพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีฐานเสียที่มั่นคงในภาคใต้ ตั้งแต่ จังหวัดชุมพร ลงไปถึง ยะลา ปัตตานี และ นราธิวาส เป็นการเปิดโอกาสให้ตนเองได้แสดงฝีไม้ลายมือว่าจะมีมากน้อยแค่ไหนอย่างไร เป็นการวัดกึ๋น วัดฝีไม้ลายมือ
หาก พรรคประชาธิปัตย์ จะยื่นข้อเสนอใดๆ เช่นการเป็น หัวหน้าคณะทำงาน ประธานคณะกรรมการ ในการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสร้างมรรคผลให้เกิดกับการทำงานครั้งนี้ เชื่อว่า ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย จะใจกว้าง เพราะทุกคนทุกฝ่ายอยากเห็นการแก้ไขปัญหาสำเร็จลุล่วง
หากการแก้ไขปัญหาในภาคใต้ทำได้สำเร็จจริง เครดิตย่อมจะเกิดจากทั้ง พรรคการเมืองทุกพรรคนี่แหละ ไม่ต้องแย่งผลงานกัน เพราะ ทุกพรรคการเมืองต้องเป็นส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาชาติ
ที่ผ่านมา 4-5 ปี หน่วยราชการหลายแห่ง เข้าไปทำหน้าที่ แต่ยังไปไม่ถึงเป้าหมายสำคัญนั่นคือความเข้าใจ เข้าถึง และ พัฒนา ส่งผลให้การขยายตัวในขอบเขตปัญหามันกินลึกเข้าไปถึงเนื้อใน
ขบวนการโจรก่อการร้าย แอบอ้างศาสนา ทำลายชีวิตและทรัพย์สิน ของผู้บริสุทธิ์ หลายพันชีวิต มุ่งหวังเพื่อจะทำสงครามจิตวิทยา ทุกรูปแบบทั้งการยั่วยุ การสร้างสถานการณ์ การปลุกปั่น การปลุกระดม สร้างความแตกแยก ทั้งในระดับพื้นที่ และระดับนานาชาติ ทั้งหมดนี้โจรก่อการร้ายต้องการการสร้างความชอบธรรม เพื่อเข้ายึดพื้นที่มาปกครองตนเอง
ขณะที่คำสั่งจากหน่วยราชการ ที่ลงไปในระดับปฏิบัติมีปัญหา ส่งผลกระทบเป็นช่องโหว่ ! ในการปฏิบัติการในพื้นที่ หลายอย่าง
รัฐบาลหลายรัฐบาล ไม่กล้าใช้มาตรการเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด ในการเข้าไปจัดการปัญหาให้ถึงแก่นแท้อย่างจริงจัง ปัญหาจึงถูกบ่มเพาะปัญหาจนเรื้อรัง ยากจะเยียวยาแก้ไข
เราจึงน่าจะให้ พรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทย ได้เข้าไปทำงานเหล่านี้บ้าง หากทำสำเร็จ ความเชื่อมั่น ความศรัทธา ต่อนักการเมือง ต่อพรรคการเมือง จะเกิดกับพี่น้องประชาชน เป็นคุณานุประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชน
ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ไข หากเราร่วมมือร่วมใจกัน สร้างชาติ สร้างอนาคต โดยไม่แบ่งเขาแบ่งเรา
นี่แหละคือการเมืองแนวใหม่ ยึดหลักความสมานฉันท์เป็นที่ตั้ง เอาผลประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง ผลประโยชน์ส่วนตัว ผลประโยชน์ทางการเมือง เอาไว้เป็นลำดับรอง ๆ ลงมา
เป็นตัวอย่างอันดีให้กับพี่น้องประชาชน ในการสมานฉันท์ ในการเป็นเอกภาพ ในการหวงแหนปฐพีผืนแผ่นดินเกิด เราจะรักษาปกป้องไม่ให้ใครมาแย่งชิงพื้นที่ไปแม้แต่ตารางนิ้วเดียว พื้นที่ที่บรรพบุรุษไทยเราได้สละเลือดเนื้อและชีวิต ปกป้องรักษาเอาไว้ให้ลูกหลานของเรา ถึงเวลาที่เราจะร่วมกันทำงานเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติและผู้บุกรุกผืนแผ่นดินไทย ในทุกรูปแบบ และ ทุกวิถีทาง