WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, September 1, 2008

รธน.50 แค่ชิมอาหารก็ผิด!ประเทศถอยหลัง พ.ศ.2490


คอลัมน์: 1 ปีรัฐธรรมนูญ 50 (3)

จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ตอกย้ำรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นฉบับที่ทำให้การเมืองไทยถอยหลังไปยิ่งกว่าปี 2490 เสียอีก รัฐบาลอ่อนแอ พรรคการเมืองอ่อนแอ สังคมอ่อนแอ ยันต้องแก้ไขด่วนก่อนที่บ้านเมืองจะพังไปมากกว่านี้ พ้อกระบวนการยุติธรรมชอบใช้คำว่า...เชื่อว่า...ทั้งที่ควรจะพิสูจน์ข้อเท็จจริง และบางกรณีมี 2 มาตรฐาน เช่น จับเงิน แต่โดนใบเหลือง ย้ำ 309 นิรโทษกรรมให้กับสถานการณ์ล่วงหน้าไม่ได้

เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 พวกเขาพาประเทศย้อนหลังกลับไปประมาณปี 2400 กว่าๆ แต่กว่าเท่าไรนั้นกะไม่ถูก แล้วที่มันเกิดรัฐธรรมนูญ 2550 นั้นเพราะว่า โลกนี้มันบังคับว่าจะประเทศไทยจะปกครองโดยที่ขาดรัฐธรรมนูญไม่ได้ เขาเลยต้องมีรัฐธรรมนูญ ต้องมีเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นต้องถือว่าก้าวหน้ากว่าเมื่อตอน 19 กันยายน 2549 แต่ว่ามันไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นมาเป็นปี 2550 นะ แต่มันยังคงเป็นปี 2400 กว่าๆ อยู่ดี

นับจาก 19 สิงหาคม วันที่มีรัฐธรรมนูญ 2550 แต่ละวันๆ มันถอยหลังไปเรื่อยๆ การเมืองไทยนั้นถอยหลังไปเรื่อยๆ ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องแปลก คือประเทศอื่นพอพรุ่งนี้มันก้าวหน้าไปอีกขั้น แต่ของเรานั้นพอวันนี้อยู่ตรงนี้ พรุ่งนี้ถอยหลังกลับไปอีกแล้ว เพราะรัฐธรรมนูญ 2550 เขาบัญญัติไว้อย่างนั้น คือต้องการให้บ้านเมืองมันถอยหลัง ความเป็นประชาธิปไตยมันจะต้องลดน้อยลงเรื่อยๆ อันนี้คือสาระของรัฐธรรมนูญที่หลายๆ คนพยายามพูดกันตลอด

ทำไมผมพูดอย่างนั้น คือรัฐธรรมนูญฉบับนี้เขาเขียนไว้เพื่อให้อำนาจจะต้องไม่อยู่ในมือของคนที่มาจากการเลือกตั้ง อำนาจที่ได้รับรากมาจากประชาชน จะต้องไม่มีอยู่จริง แต่อำนาจจะต้องไปอยู่กับผู้ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ทั้งมาจากข้าราชการฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เช่น ฝ่ายตุลาการ ทั้งในรูปที่เป็นองค์กรที่สรรหากันมา ทั้งในรูปที่เป็น ส.ว. ที่สรรหากันมา ซึ่งเชื่อมโยงกันระหว่างข้าราชการที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ฝ่ายตุลาการบางส่วน กับผู้ที่มาจากการสรรหา แล้วให้ผลัดกัน สรรหากันไปสรรหากันมา คืออำนาจอยู่ในมือของกลุ่มคนเหล่านี้ เสร็จแล้วมามีอำนาจในการกำหนดบทบาทในความเป็นมาเป็นไปของบ้านเมือง ผ่านกติกาที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ และผ่านกลไกที่ถูกรัฐธรรมนูญสร้างขึ้น

องค์กรที่ไม่อิสระหลายองค์กร เกิดขึ้นยังคงทำหน้าที่ด้วยความไม่เป็นอิสระอย่างเข้มแข็งต่อเนื่องมา อันนี้คือสิ่งที่บอกว่าถอยหลัง เพราะว่าองค์กรที่เกิดขึ้นมันไม่มีความเป็นอิสระ คือถ้าอิสระต้องอิสระในความหมายว่า ไม่ใช่ข้าราชการตั้ง ไม่ใช่กองทัพตั้ง ไม่ใช่องค์กรใดองค์กรหนึ่งที่เป็นข้าราชการตั้ง แต่จะต้องมีกระบวนการสรรหามีที่มา แต่ของเรานั้นองค์กรอย่างบางองค์กรที่หยุดทำหน้าที่ไปแล้ว อย่าง คตส. ถึงแม้จะเลิกไปแล้วแต่ก็ยังโอนคดีไปให้ ป.ป.ช. ซึ่ง
ป.ป.ช. มาจากพวกยึดอำนาจเลือกไว้โดยเฉพาะ คัดเลือกเอาไว้เฉพาะคนที่เห็นตรงกับตัวเอง คือต้องการโค่นล้มทำลายกลุ่มการเมืองหนึ่ง เข้ามาเป็น ป.ป.ช. เสร็จแล้วพอถึงเวลาที่จะต้องสรรหาตามรัฐธรรมนูญ เขาไปเขียนบทเฉพาะกาลว่า พวกนี้เป็นต่อไปได้อีกจนกว่าจะครบวาระ บางองค์กร 7 ปี บางองค์กร 9 ปี

เช่น กกต. บอกว่าสรรหามาก่อนแล้ว ง่ายๆ ถ้าองค์กรไหนไม่ลงรอยกับ คมช. เลิกไป องค์กรไหนบุคคลไหนที่เข้ากันได้ ประสานกันดีเป็นมา เสร็จแล้วให้เป็นต่อกันอีก 7 ปี 9 ปี ทำให้องค์กรเหล่านี้หลายองค์กร จริงๆ แล้วไม่ใช่องค์กรอิสระ ในความหมายที่พยายามจะพูดกันว่าต้องมีองค์กรอิสระ ที่เข้ามาตรวจสอบรัฐบาล มันหนักหนากว่าเมื่อตอนที่มีรัฐธรรมนูญปี 2540 มากมายหลายเท่า ที่บอกว่าองค์กรต่างๆ ถูกแทรกแซง แต่ ศาลฎีกาตัดสินให้พระราชกฤษฎีกาของรัฐบาลทักษิณฉบับ 1 ล้มไป สั่งคุ้มครองชั่วคราวระงับผลการเลือกตั้ง ที่พรรคไทยรักไทยกำลังชนะอยู่ ศาลรัฐธรรมนูญที่บอกว่าถูกแทรกแซง สั่งให้การเลือกตั้งที่พรรคไทยรักไทยชนะเป็นโมฆะ แล้วมาบอกว่าถูกแทรกแซง แต่ตอนนี้มาตั้ง องค์กรประเภทที่ว่า อีกมือหนึ่งถือปืน อีกมือหนึ่งถือปากกาเขียนตั้งกันเลย

ทุกวันนี้ รัฐธรรมนูญ 2550 เดินหน้า กลไกของเขาเดินหน้ามาเรื่อยๆ คตส. ที่ตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะ ทำงานกันไปโดยไม่ต้องคำนึงถึงกฎหมายพิจารณาคดีความอาญา เช่น ผมไปให้การในฐานะพยาน ผมให้การเสร็จแล้ว ผมจะกลายเป็นผู้ต้องหาได้หรือไม่ เขาบอกว่าได้ แล้วผมถามว่า อ้าว...ถ้าได้แล้วทำไมไม่ให้ผมมีทนาย เขาตอบไม่ได้ แต่ว่าเขาให้มีเจ้าหน้าที่ที่เป็นฝ่ายเลขาฯ ในขณะที่ผมเป็นรองนายกฯ เข้าไปนั่งด้วย เพื่อจะให้ข้อมูล แต่ผมไม่ได้กลัวอะไร เพราะทั้งหมดผมไม่ได้มีปัญหา ผมบอกเขาว่า ผมไม่ได้มีปัญหา คุณถามอะไรมาผมตอบได้ แต่ผมสงสัย ผมถามและขอบันทึกไว้ เพื่อคนอื่นเขามาแล้วเขาอยากมีทนาย แต่คุณไม่ให้มีทนาย แล้วสุดท้ายกลายเป็นผู้ต้องหา ซึ่งตามหลักจะต้องให้มีทนายได้ อย่างนี้เป็นต้น

ยังมีอีกหลายอย่าง เช่น ข้าราชการที่ไปให้การอาจจะถูกบอกว่า คุณต้องให้ความร่วมมือ มิเช่นนั้นจะต้องถูกให้ออกจากข้าราชการ ถูกให้ออก อย่างที่เขาสั่งไปได้ ไอ้เรื่องทำนองนี้คือ ผมพูดนี้พูดในฐานะผู้เสียหาย ผมจะต้องตกไปเป็นจำเลยแล้ว คดีหวยบนดิน เพราะว่าทั้ง ครม. ถูกดำเนินคดี ทั้งๆ ที่สรุปแล้วว่าเงินนั้นไม่ได้มีการเอาไปใช้ผิดวัตถุประสงค์แม้แต่บาทเดียว แต่จะดำเนินคดี พูดในฐานะผู้เสียหาย เพราะว่าที่คุณสอบกันแบบนี้ผมจะไปร้องกับใครได้ มาไล่ดูแล้ว เป็นอย่างที่ อ.ประสิทธิ์ พูดว่าไปร้องศาลไหน นี่ไม่ได้ว่า คตส. ตรวจสอบโดยผิดหลักกฎหมายวิธีพิจารณาคดีความอาญา เพราะว่าได้รับการคุ้มครองล่วงหน้าไว้โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 309

คือ จะทำผิดกฎหมายอะไรคุ้มครองหมด นี่คือการนิรโทษกรรมล่วงหน้า แล้วมันรวมถึงเรื่องผิดกฎหมายด้วย เวลานี้กลายเป็นว่า คนที่ถูกดำเนินคดีโดย คตส. ไม่รู้ว่าจะไปร้องกับใคร ร้องไม่ได้เพราะว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 309 คุ้มครองล่วงหน้าไว้ เรื่องนี้ก็แปลก ประเทศไทยนี้ย้อนหลังไปลงโทษคนได้ อย่างที่พวกผมโดนมาแล้ว

เสร็จแล้ว พวกที่เชื่อมโยงกับเผด็จการ กลับล่วงหน้าไปคุ้มครอง แต่กับพวกผมย้อนกลับไปลงโทษ แต่พวกเดียวกันนิรโทษกรรมให้ แถมตามไปคุ้มครองให้อีกเรื่อยๆ เลย แบบว่าทำไปเรื่อยๆ เลยตามใจชอบ อันนี้คือรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ผมบอกว่า แต่ละวันการเมืองไทยมันยิ่งถอยหลังลงไปทุกวัน

การยุบพรรคกำลังจะเกิดขึ้น อันนี้มันเป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่เขาเขียนไว้แล้ว เขาต้องการให้เกิดอย่างนี้ เขายุบพรรคตอนไทยรักไทย ใครๆ ดูจะรู้ว่ามันจะถูกยุบ เขาบอกว่าถ้าไม่ยุบจะยึดอำนาจทำไม กว่าจะยุบได้ต้องสาธยายยาวมาก ใช้เวลาครึ่งวัน ว่า มีนายคนหนึ่ง ที่อ้างว่าเป็น พยานกับคนคนหนึ่งข้างที่ทำการพรรค แล้วพยานคนนั้นบอกว่า หลังจากนั้นขึ้นมาที่ทำการพรรค ไม่มีหลักฐานว่ามาพบใคร แต่เชื่อว่าต้องมาพบแน่ ไม่อย่างนั้นจะมากินข้าวที่ข้างพรรคทำไม

ไปที่กระทรวงกลาโหม เขาเอาวิดีโอมาดูกัน ดูแล้วไม่พบเวลาที่นายคนนั้น คือ พยานที่บอกว่าไปรับเงินจากรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ไม่มีภาพ ไม่มีหลักฐาน แต่เชื่อว่าเนื่องจากไปอยู่นาน ไปนั่งอยู่ที่นั่นนาน ย่อมมีเวลาพอที่จะพบกัน ถามกลับไปอีกว่า ในระหว่างนั้นรัฐมนตรีที่เขาไปพบได้พบกับใครบ้าง เขาก็บอกว่าพบหลายเรื่อง เรื่องงานด้วย แล้วก็มีรอง ผวจ. ทางอีสานคนหนึ่งมาพบ เพื่อจะเชิญไปงานประจำปีอะไรสักอย่าง ตุลาการบอกว่า การมาพบเพื่อจะเชิญไปงานประจำปีนั้น พบกันไม่กี่นาทีก็พอแล้ว ย่อมมีเวลาเหลือที่จะไปพบกับนายคนนั้นอีก อันนี้ก็คือ “เชื่อได้ว่า...”

เสร็จแล้วก็มีนายทหารคนหนึ่งไปให้เงินกรรมการพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ก็บอกว่าทหารนั้นไม่ใช่นักการเมือง ไม่มีวัตถุประสงค์อะไรเพื่อการเมือง ย่อมจะทำเพื่อนายตัวเองที่เป็นนักการเมือง แม้ไม่มีหลักฐานคำสั่ง แต่เชื่อว่ารัฐมนตรีคนนี้เป็นคนสั่ง แล้วรัฐมนตรีคนนี้ใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค เชื่อว่าหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีจะต้องเกี่ยวข้องด้วย อันนี้โยงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งบอกว่า เป็นอันเชื่อได้ว่าพรรคนี้ได้ประโยชน์ เลยสั่งให้ยุบพรรค

คือ ผมเคยอภิปรายในสภามาหลายรอบ เป็นทั้งฝ่ายค้าน ทั้งรัฐบาล แต่คำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญในวันนั้น ถ้าให้พวกผมได้พูดบ้างสัก 2 ชั่วโมง ผมเชื่อว่าประชาชนทั้งประเทศจะเชื่อฝ่ายผม ตอนนั้น ไม่ได้พูด พูดแค่ 10 นาที โทรทัศน์ทุกช่องตัดออกหมดเลย แต่มีบางช่องหลุดมาหน่อยหนึ่ง แต่พอวันหลังจะมาพูดมันไม่ได้แล้ว ที่พูดวันนี้จริงๆ ไม่ได้ต้องการจะรื้อฟื้นเรื่องเก่า แต่พูดเพื่อที่จะเปรียบเทียบให้ฟังว่า อันนั้นต้องชักแม่น้ำทั้ง 5 ใครตามไม่ทัน ฟังจนเคลิ้มไป แต่มาวันนี้ไม่ต้องแล้วครับ ไม่ต้องไปไล่ดูว่าเชื่อว่าอย่างนั้น

อันนี้เชื่อว่าอย่างนี้ ไม่ต้อง แค่บอกว่ากรรมการบริหารคนใดคนหนึ่ง รู้เห็นเป็นใจ หรือปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในการเลือกตั้ง ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นทุจริตการเลือกตั้ง ให้ยุบพรรคการเมืองนั้นเสีย เสร็จแล้วก็บอกว่า ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครอง โดยไม่ใช่วิถีทางแห่งประชาธิปไตยตามที่ได้บัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 แล้วก็บอกว่า ในกรณีที่มีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น แล้วให้ตัดสิทธิหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหาร ห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมือง 5 ปี นับตั้งแต่วันที่มีคำสั่งยุบพรรคการเมือง

ตอนนี้เลยมีบางท่านออกมาบอกว่า อาจจะเป็นไปได้ที่พรรคถูกยุบ แต่กรรมการอาจจะไม่ถูกเพิกถอนสิทธิ ตอนนี้นักการเมืองหลายคนก็มีความฝันบ้างแล้ว แต่มันเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ ทั้งนั้น ผมเคยพูดมานานแล้วว่า อ่านรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 แล้วเนี่ย ไม่ว่าเอาใครไปเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ต้องยุบพรรคที่ได้ใบแดง และตัดสิทธิการเมืองหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค 5 ปี ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้

อันนี้ไม่ได้พูดว่าอยากให้เป็นแบบนี้ แต่รัฐธรรมนูญมันเขียนแบบนี้ คนบอกว่าพรรคพลังประชาชนยุบไหม ถูกเพิกถอนสิทธิไหม ผมบอกเลยว่า ถูกถอนสิทธิล้านเปอร์เซ็นต์ ส่วนพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาฯ ไม่ถึงล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะรัฐธรรมนูญมันเขียนไว้แบบนี้

มีอยู่คนหนึ่ง รองหัวหน้าพรรค พรรคการเมืองหนึ่ง ไปโดนใบแดง อีกคนหนึ่งกรรมการพรรค อีกพรรคการเมืองหนึ่ง ถูกเอาไปโยงกับแม่ค้า ซึ่งบอกว่ามีการไปซื้อเสียง ไปเป็นหัวคะแนนให้ มีเงินกว่าหมื่นบาท แต่ในวันที่ใกล้ๆ กันมีบางพรรคถูกจับได้ว่าไปใช้เงินกว่า 1 ล้านบาท ได้แค่ใบเหลือง แต่แม่ค้าคนที่ว่าอยู่ชัยนาท ถูกจับหมื่นกว่า กรรมการบริหารพรรคคนนั้นได้ใบแดง มันไม่มีหลักเกณฑ์เรื่องความหนักเบา มันอยู่ที่ว่าจะได้เสียง 4 เสียงจาก กกต. หรือเปล่า เอาง่ายๆ แค่ 500 บาทก็โดนใบแดงได้ ถ้า กกต. ลงมติ 4 ใน 5 เสียง

แล้วเมื่อแดงแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ก็ยุบพรรค พอยุบพรรคเสร็จเกิดอะไรขึ้น จากคน 3 คน ส่งผลทำให้นายกรัฐมนตรีที่ประชาชนเลือกตั้งมากว่า 10 ล้านคน ต้องพ้นจากการเป็นนายกฯ คณะรัฐมนตรีต้องออกตามไปด้วย เสร็จแล้วนายกฯ และรัฐมนตรีส่วนใหญ่ถูกเพิกถอนสิทธิเป็นเวลา 5 ปี เกิดการเลือกตั้งซ่อมอีกหลาย 10 เขต ระหว่างนั้นต้องเลือกนายกฯ ใหม่ เลือกนายกฯ ในตอนนั้นจะรอเลือกตั้งซ่อมหรือไม่ ไม่มีใครรู้ รัฐธรรมนูญไม่ได้ว่าไว้ เพราะตอนร่างต่างฝ่ายต่างเขียน ฝ่ายหนึ่งดูเรื่องยุบพรรค อีกฝ่ายหนึ่งดูเรื่องตั้งนายกฯ ไม่ได้มาเกี่ยวข้องกันเลย ทีนี้พอเลือกนายกฯ ในสภา ได้นายกฯ แล้ว ปรากฏว่าพอหลังเลือกตั้งซ่อมเสร็จ เสียงเกิดเปลี่ยนไป นายกฯ กลายเป็นนายกฯ เสียงข้างน้อย ไม่มีเสถียรภาพอย่างยิ่ง

การเมืองไทยวันนี้ ใครมองเข้ามาเขาก็รู้ว่ามันวุ่นวายไปหมด นายกฯ จะไป ครม. จะไม่รอด ใครจะมาเป็นอีกไม่รู้ มาเป็นแล้วเลือกตั้งกลับเข้ามาใหม่ ยุบพรรคอีก เรื่องมันทำง่าย แค่หาทีมตำรวจไม่กี่คน ตำรวจไปหาผู้ต้องหายาเสพติดมาสักคน แล้วมาต่อรองว่า ให้การว่ากรรมการพรรคสักคนหนึ่งมาซื้อเสียง 500 บาท เท่านั้นได้เสียง กกต. 4 ต่อ 1 ยุบพรรคอีกรอบหนึ่ง

ล่าสุดนี้เห็นข่าวว่า พรรคบางพรรคจะไม่ถูกยุบแล้ว ทำไมถึงไม่ถูกยุบ ทำไมถึงไม่ได้ใบแดง เหตุผลเดียวกับพรรคไทยรักไทย ตอนยุบไทยรักไทยบอกว่า ถ้าไม่ยุบไทยรักไทยแล้วจะปฏิวัติไปทำไม ยึดอำนาจมาเสียแรงเปล่า อันนี้เหมือนกัน อันนี้ต้องไม่ยุบพรรคที่กำลังโดนตรวจสอบอยู่ เพราะถ้ายุบพรรคนี้ เขายึดอำนาจมาเสียแรงเปล่าสิ เหตุผลเดียวกัน

การเมืองไทยต่อไปจะเป็นอย่างนี้ รัฐบาลไทยจะอ่อนแอไปเรื่อยๆ รัฐมนตรีแต่ละคนโดนไปคนละเรื่องสองเรื่อง เมื่อก่อนเราบอกว่า รัฐบาลนี้เอาไว้ไม่ได้ กินอิฐ กินหิน กินปูน เอาไว้ไม่ได้ แต่ เดี๋ยวนี้แค่ชิมก็ไปแล้ว ไม่ได้กินของหลวงนะ แค่ ชิมอาหารเขาเตรียมมาเอง มันถอยหลังแค่ไหนล่ะท่านคิดดูเอาเอง

ผมชอบร้องเพลง “เพลงมนต์การเมือง” ที่เขาร้องว่า กินอิฐ กินหิน กินปูน กินทราย นั่นเมื่อปี 2490 กว่าๆ อันนี้มันย้อนไปไกลกว่านั้นอีก เพราะว่าแค่ชิมก็ไปแล้ว รัฐบาลง่อยเปลี้ยเสียขาไปด้วย เรื่องการต่างประเทศ ทำอะไรไม่ได้อย่างที่ อ.ประสิทธิ์ ว่าไว้ เจรจาอะไรก็ไม่ได้ ต้องมาเข้าสภาก่อน แล้วต่อไปนี้เขาเชิญไปเซ็นเรื่องการป้องกันการก่อการร้าย เรื่องเร่งด่วนมาก กำลังมีผู้ก่อการร้ายบุกเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้รีบเจรจา ปรากฏว่ามีประเทศไทยประเทศเดียวที่ไม่ร่วมเซ็น เพราะว่าเซ็นไม่ได้

ถ้าเซ็นกลับมาถูกถอดถอนทั้ง ครม. ถูกถอดถอนโดยใครล่ะ โดย ส.ว. แค่ขยับเท่านั้น ส.ว. ลงชื่อกันกว่า 100 คนแล้วครับ เพราะว่ามียืนพื้นแล้ว 74 หาอีกไม่กี่คนครบ 100 คน 90 คนถอดถอนได้แล้ว นี่มันแสดงให้เห็นว่า อำนาจมันไม่ได้อยู่ที่ประชาชนเลย เขาเลือกตั้งมากันทั่วทั้งประเทศ สุดท้าย ส.ว. สรรหา 74 คน ซึ่งเขาต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแน่ เพราะว่าการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตย จะต้องยกเลิก ส.ว. ที่มาจากการสรรหา 74 คน เขาต้องยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามอยู่แล้ว หาพวกอีกไม่กี่คน ถอดถอนรัฐบาลได้ โดยไม่ต้องไปดูรายละเอียดอะไร เสียงข้างมากอีกนั่นแหละ ได้ 90 เสียงถอดถอนได้ นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น

ทั้งหมดนี้มันไม่ใช่เป็นอุบัติเหตุอะไรเลยนะครับ แต่มันเป็นเรื่องที่เขาออกแบบมาโดยเฉพาะ ต้องการให้เกิดอย่างนี้ ต้องการให้มีรัฐบาลอ่อนแอ พรรคการเมืองอ่อนแอ ระบบพรรคการเมืองอ่อนแอ ผู้มาจากการเลือกตั้งทั้งหลาย ทั้งในฝ่ายนิติบัญญัติ ทำอะไรไม่ได้ อยู่ในอุ้งมือของผู้ที่มาจากการสรรหาแต่งตั้ง เป็นคนกำหนดได้หมด ใครจะอยู่ ใครจะไป ใครจะเป็นรัฐบาลต่อไปได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับคนพวกนี้หมด อันนี้ถึงได้บอกว่ามันถอยหลังไปเมื่อปี 2400 กว่าๆ พรุ่งนี้ถอยหลังกว่าวันนี้ ทีนี้เราจะทำอย่างไร มันไม่มีทางออกอื่น เมืองไทยถ้าจะพัฒนาต่อไปได้ ไม่ใช่ถอยหลังไปเรื่อยๆ ก็คือ จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่แก้ไม่ได้ ไม่แก้จะถอยหลังไปเรื่อยๆ เสียหายไปเรื่อยๆ ยับเยินไปเรื่อยๆ

ทีนี้เขาบอกว่า แก้เมื่อไรเกิดเรื่อง แต่นี่ยังไม่ทันแก้ เขาเป่านกหวีดแล้ว บอกว่า 7 วัน คนกลางๆ ที่เขาไม่อยากเห็นความรุนแรงเขาจะบอกว่า ถ้าอย่างนั้นถอยจะดีกว่าไหม อย่าไปแก้เลยเพื่อเห็นแก่ความสงบของบ้านเมือง ความจริงพูดก็พูดเถอะครับ เข้าใจผิดในข้อเท็จจริง พวกพันธมิตรฯ เขาไม่ได้เคลื่อนไหวเพื่อค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างเดียว เดิมทีเข้าบอกว่าเพื่อเล่นงานทักษิณ พอทักษิณออกไปนอกประเทศ เขาประกาศว่าไม่เกี่ยวกับทักษิณ แต่เขาต้องการล้มรัฐบาล ต้องการให้นายสมัครลาออกเสีย เพราะฉะนั้นแก้ไม่แก้เขาเคลื่อนไหวอยู่ดี จนกว่า จนกว่าอะไร จนกว่าพรรคในดวงใจเขาจะมาเป็นรัฐบาล

ถ้าเราไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ ข้อเสียที่เห็นชัดๆ ก็คือ 1.บ้านเมืองจะเสียหายไปเรื่อยๆ และในที่สุดวันข้างหน้าสังคมไทย ประชาชนจะเดือดร้อนมาก แล้ววันนั้นทุกคนจะเข้าใจว่าทำไมต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถึงวันนั้นก็จะเกิดความขัดแย้งในสังคมยิ่งกว่าทุกวันนี้

อีกข้อหนึ่งคือ ถ้าเราไม่แก้ด้วยเหตุผลที่ว่า กลัวว่าพันธมิตรฯ จะมาชุมนุม แล้วจะเกิดความรุนแรง แล้วเราต้องยอมพันธมิตรฯ เท่ากับว่าเราได้ยกประเทศให้กับพันธมิตรฯ ไปแล้ว จะมากำหนดอะไรได้หมด ตกลงประเทศไทยจะปกครองโดยใครกันแน่ เพราะฉะนั้นถ้าเรายังยืนยันในหลักการว่า อำนาจจะต้องอยู่ที่ประชาชน บ้านเมืองต้องเป็นประชาธิปไตย ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ว่าจะแก้อย่างไรที่จะไม่ไห้เกิดความรุนแรง อันนี้ต้องช่วยกันคิดนะครับ