คอลัมน์: คิดในมุมกลับ
“พี่…สงสารรัฐบาลด้วยหรือ”
รุ่นน้องคนหนึ่งถามอย่างซื่อๆ เมื่อได้ยินฉันรำพึงว่าสงสารรัฐบาล…จะไม่ให้สงสารได้อย่างไร อุตส่าห์ลงสมัครรับเลือกตั้ง เดินหาเสียงปราศรัยกันแทบตาย พอได้เข้ามาทำงานสมความตั้งใจ ก็กลับถูกคนแพ้รวมกลุ่มขับไล่เหมือนหมูเหมือนหมาซะงั้น
ที่น่าสงสารมากกว่ารัฐบาลคือ ชาวบ้านตาดำๆ ที่เลือกรัฐบาลเข้าไปทำงาน…1 เสียงเท่ากัน แต่เสียงดังไม่เคยเท่ากัน
รุ่นน้องของฉันคนนี้ สุดท้ายก็อาจคิดเหมือนอีกหลายๆ คน คือ สิ่งเดียวที่เรา (ปัญญาชน) จะสงสารเขา (ชาวบ้าน) ได้ คือสงสารที่เขาไม่รู้ข้อมูล ยากจน จึงจ้องขายเสียง รับเงินไปกากบาทให้รัฐบาลนี้ (และรัฐบาลอื่นๆ)
ฉันไม่อยู่ในอารมณ์จะเถียงกับใคร จึงไม่ได้ถามต่อว่า ชาวบ้านที่เลือกรัฐบาลนี่ไม่ใช่ “ประชาชน” ใช่มั้ย (เพราะถ้าใช่ คงไม่มีใครพูดว่ารัฐบาลต้องลาออกเพื่อเห็นแก่ประชาชน!!!) แล้วคนที่เลือกรัฐบาล ก็ต้องเป็นเพราะมันโง่ มันรับเงิน มันขายเสียงเท่านั้นด้วยใช่ไหม…
เพราะไม่อยู่ในอารมณ์จะทะเลาะกับใครโดยเฉพาะรุ่นน้อง ฉันจึงไม่ได้บอกกลับไปว่า ต้องเป็นปัญญาชน (นักศึกษา นักวิชาการ ชนชั้นกลาง) อย่างพวกมึง (และกู) เท่านั้นใช่ไหมจึงจะเป็น “ประชาชน” ได้ จึงจะมีสิทธิไล่ใครออกจากการเป็นรัฐบาลก็ได้ แม้ว่าใครอีกหลายล้านคนจะเป็นผู้เลือกเข้ามาก็ตาม
ไม่รู้ว่าน้องมันจะเข้าใจหรือเปล่าว่าทำไมฉันจึงสงสารรัฐบาล รุ่นน้องอีกคนที่นั่งไม่ห่างกันก็ประกาศออกมาว่า “เราต้องเป็นกลาง ยิ่งเกิดความรุนแรงเราต้องไม่เข้าข้างฝ่ายใด” อันที่จริงรุ่นน้องคนนี้ยังพูดอีกมากกว่านั้น แต่มันทำร้ายจิตใจเกินไป ฉันจึงไม่ขอนำมาถ่ายทอด
ฉันสงสัยเพียงแค่ว่า หากเราเป็นกลางกันจริงๆ เราจำเป็นแค่ไหนที่ต้องประกาศมันออกมา (รุ่นน้องคนนี้ ภายหลังเขาและเพื่อนๆ ออกแถลงการณ์เพื่อประกาศ ‘ความเป็นกลาง’) ในความเป็นกลางที่มีเพียงหลักการพื้นๆ จำพวกไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง ฯลฯ สุดท้ายแน่ใจหรือว่ามันจะไม่เป็นการเข้าข้างใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง…
หรือเพราะที่จริง ก็อยากจะประกาศเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใจจะขาด แต่กลัวดูไม่สะอาด กลัวดูไม่ดี ไม่เป็นปัญญาชน จึงต้องทำกั๊กไม่อาจเข้าข้างใคร
หรือเป็นกลางเพราะแท้จริงในสมองก็ไม่มีข้อมูลอะไร ว่างเปล่า แต่กลัวไม่เป็นข่าว กลัวตกกระแส จึงต้องออกมาเกาะกระแสประกาศจุดยืนแบบกลางๆ กับเขาด้วยคน
ไม่รู้ ไม่ได้ถาม จึงได้แต่กลับมาสำลักความเป็นกลางของคนรอบข้างอยู่จนนาทีนี้นี่แหละ
ปฏิญา ยอดเมฆ