คอลัมน์ : บทบรรณาธิการ
การประชุมรัฐสภา เมื่อวานนี้ เป็นการประชุมฉุกเฉินเพื่อแก้ไขปัญหา “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” สร้างความวุ่นวายภายในประเทศไทยของเรา โดยเป็นการประชุมร่วมระหว่าง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และ สมาชิกวุฒิสภา
ความเห็นของการที่ประชาชนแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ อันสำคัญ
พรรคฝ่ายค้าน คือ พรรคประชาธิปัตย์ และ สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการลากตั้ง เห็นด้วยกับการกระทำของพันธมิตรฯ อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู โดยอ้างการเมืองภาคประชาชน งดเว้นที่จะพูดถึงการใช้ความรุนแรงในการบุกยึดสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที และบิดเบือนว่ามีอาวุธเพียงไม้ธรรมดาเท่านั้น โดยห้ามใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งที่รู้ว่าทำผิดกฎหมาย คนกลุ่มนี้เสนอให้ ยุบสภา ลาออก เพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่
กลุ่มพรรคฝ่ายรัฐบาล อันประกอบไปด้วย พรรคพลังประชาชน ร่วมกับแกนนำกับ 5 พรรคร่วมรัฐบาล ที่แสดงจุดยืน ไม่เห็นด้วยกับพันธมิตรฯ แต่คนกลุ่มนี้แยกเป็น 2 ความคิดเห็นในการแก้ไขปัญหา คือ แก้ปัญหาด้วยสันติวิธี กับ การใช้ ความเด็ดขาดในการแก้ไขปัญหาซึ่งเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ประชาชน ฟังการอภิปรายแล้ว... งง ... !!! เป็นไก่ตาแตก
ทั้งนี้เพราะ รัฐสภา เป็นสถานที่ออกกฎหมายของประเทศชาติ เพื่อมาบังคับใช้กับประชาชนคนไทย 63 ล้านคน เพื่อเป็นกรอบกติกาในการทำให้ชาติบ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อยของคนในสังคม
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ... พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่พูดอยู่เสมอถึง “การบังคับใช้กฎหมาย” ของทุกคนอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม กลับกลืนน้ำลาย ห้ามใช้กฎหมายปราบปรามคนป่วนบ้านป่วนเมืองเหล่านี้ โดยมีถ้อยคำที่เป็นวาทะกรรมทางการเมืองแปลกประหลาดว่า “คุ้มไหมกับการได้ถนนเส้นเดียว แต่จะเกิดความไม่สงบไปทั่วประเทศ”
การใช้ “หลักกู” โลไปเลมาแบบนี้ วันหนึ่งเป็นรัฐบาลบอกว่าจะต้องเคร่งครัดการบังคับใช้กฎหมาย เลยเอาหมา 4 ตัว มากัดกลุ่มผู้ชุมนุมคนเดียวที่ปีนข้ามทำเนียบรัฐบาล ตอนนั้นบอกต้องทำตามกฎหมาย ห้ามบุกรุกสถานที่ราชการ
วันนี้ ไม่ได้เป็นรัฐบาล เป็นฝ่ายค้าน กลับสนับสนุนคนทำผิดคิดชั่ว พกพาอาวุธ บุกสถานที่ราชการ คุกคามสื่อสารมวลชน พอเจ้าหน้าที่ไปดำเนินการกับคนป่วนบ้านป่วนเมืองเหล่านี้กลับห้ามปราม
มีการแอบอ้างการเมืองภาคประชาชน ทั้งที่คนที่เข้ามาร่วมชุมนุมนั้นเป็นคนจากภาคใต้ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ มีฐานมวลชนใหญ่ที่นั่น