คอลัมน์ : โต๊ะข่าวประชาทรรศน์
นายสนธิ ลิ้มทองกุล
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
นายพิภพ ธงไชย
นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์
นายสมศักดิ์ โกศัยสุข
นายสุริยะใส กตะศิลา
นายเทิดภูมิ ใจดี
นายอมร อมรรัตนานนท์
นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์
นี่คือรายชื่อแกนนำของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 9 คน แต่นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ จะเรียกว่า กลุ่มพันธมิตรทำลายประชาธิปไตย ตามที่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เรียกขานในรายการสนทนาประสาสมัคร ซึ่งถือว่าเป็นการตั้งชื่อได้ตรงกับพฤติกรรมที่ทำไว้ตั้งแต่ก่อตั้งกลุ่มขึ้นมา
รายชื่อคนทั้ง 9 คนนี้ จะต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่จะบันทึกไว้ที่ใด เช่น บนหน้ากระดาษ หรือหนังหมา ก็แล้วแต่ความสะดวก แต่ให้บันทึกไว้ว่า คนทั้ง 9 คน ได้ถูกศาลอาญาออกหมายจับข้อหาร่วมกันสะสมกำลังพลหรืออาวุธเพื่อเป็นกบฏ (ม.114 ปอ.) กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวิธีอื่นใด อันมิใช่ในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ
นั่นคือเป็นผู้ต้องหากบฏอย่างสมบูรณ์แบบ แต่มีความสามารถขัดคำสั่งศาล ขัดขืนการจับกุมโดยการปลุกระดมพาประชาชนเข้าไปยึดทำเนียบรัฐบาล อันเป็นศูนย์กลางอำนาจของประเทศไทย
เมื่อศาลแพ่งได้ให้การคุ้มครองชั่วคราวให้ 9 กบฏออกจากทำเนียบรัฐบาล ตามที่ข้าราชการทำเนียบรัฐบาลไปร้องต่อศาลแพ่ง
แต่เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีนำหมายศาลไปปิดเพื่อให้กลุ่ม 9 กบฏปฏิบัติตามคำสั่งศาล กลับถูกกองโจรศรีวิชัยป้องกันขัดขวางทุกวิถีทาง จึงเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ร่วมเดินทางไปกับเจ้าหน้าที่บังคับคดีตามคำร้องขอ
การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับโล่มนุษย์ที่ 9 กบฏได้จัดตั้งไว้ เมื่อภาพข่าวแพร่กระจายออกไป จึงเป็นเหยื่ออันโอชะให้ 9 กบฏประกาศฟ้องร้องกับประชาชนที่ได้รับรู้ข่าวสารจากภาพข่าวทางสถานีโทรทัศน์
ในที่สุดศาลแพ่งได้มีคำสั่งตามที่ทนายความของกลุ่มพันธมิตรทำลายประชาธิปไตยอุทธรณ์ ให้ 9 กบฏและสมุนยึดทำเนียบรัฐบาลได้ต่อไป
ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาความปลอดภัยอยู่ในทำเนียบรัฐบาลต้องยกขบวนกลับที่ตั้ง เป็นเหตุให้ตึกสันติไมตรี ตึกไทยคู่ฟ้า ถูกงัดประตู
เมื่อ 9 กบฏยึดทำเนียบรัฐบาลได้เบ็ดเสร็จตั้งแต่สนามหญ้าจนบริเวณภายในตึกสันติไมตรี และตึกไทยคู่ฟ้า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายกรัฐมนตรีเงา นำสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ไปตรวจเยี่ยมการยึดทำเนียบรัฐบาลของ 9 กบฏ สมทบกับสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่งที่เดินทางไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม จนถึงวันวาน ทำให้ผมได้ข้อสรุปให้กับตัวเอง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่เราได้ใช้กันมาตั้งแต่ปี 2475 นั้น ถึงเวลาแล้วที่จะต้องยกเลิก แล้วหันไปใช้การปกครองแบบการเมืองใหม่ของกลุ่มพันธมิตรทำลายประชาธิปไตย
โดยให้ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งมี 30 เปอร์เซ็นต์ ให้ ส.ส. ที่มาจากการแต่งตั้ง 70 เปอร์เซ็นต์ และต้องระบุไว้ในรัฐธรรมนูญให้ชัดเจนว่า จะต้องให้พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หากไม่เป็นตามนี้ กลุ่มพันธมิตรทำลายประชาธิปไตยจะต้องชุมนุมประท้วงกันไม่มีที่สิ้นสุด โดยจัดสรรตำแหน่งต่างๆ ให้กับ 9 กบฏตามความต้องการ
และ...เพื่อเป็นการตอบแทนกองทัพธรรมของสันติอโศกที่ปักหลักประท้วงร่วมกับกลุ่มพันธมิตรทำลายประชาธิปไตยมาตั้งแต่ต้น ให้บรรจุลัทธิสันติอโศกเป็นลัทธิประจำชาติ
นี่คือข้อสรุปที่ผมฉุกคิดขึ้นมาก่อนนอนหลับสนิท โดยไม่รับรู้ข่าวสารใดๆ เมื่อคืนวันที่ 9 กบฏสามารถยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นที่ตั้งได้อย่างถูกต้อง และสามารถตั้งเวทีปราศรัยให้มีการถ่ายทอดสดปลุกระดมด้วยคำหยาบคายได้ตลอด 24 ชั่วโมง
เอกฉัตร