รศ.ดร.วรพล พรหมิกบุตร อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแกนนำกลุ่มนักวิชาการเพื่อประชาธิปไตยและสันติวิธี กล่าวเพิ่มเติมในคำแถลงการณ์ของกลุ่มนักวิชาการภายหลังจากงานสัมมนาเมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา ณ โรงแรมรัตนโกสินทร์ ว่าจากการวิเคราะห์ภาพเหตุการณ์ที่นายวัชระ เพชรทอง อดีตนักต่อสู้จากรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง นำมาให้สถานีโทรทัศน์ NBT เผยแพร่นั้น พบข้อสรุปว่ารัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังคงถือนโยบายที่ไม่ใช้ความรุนแรง แม้ว่าจะมีกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 นายในภาพใช้กระบองตีผู้ชุมนุม แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตั้งแถวถือโล่ไม่ได้แสดงให้เห็นเลยว่าได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา
และยังวิเคราะห์ถึงการขยายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ประการแรกผู้ที่อยู่เบื้องหลังพันธมิตรฯ มีเจตนาที่จะใช้ความวุ่นวาย จลาจลนำไปสู่การยึดอำนาจ ประการที่สองระดมแนวร่วม เช่น กลุ่มพนักงานรัฐวิสาหกิจ ให้ออกมารวมตัวกันเคลื่อนไหว ซึ่งนำไปสู่ความวุ่นวายในวงกว้าง
และประการสุดท้ายคือองค์กรประชาธิปไตยสามารถชุมนุมโดยปราศจากอาวุธได้เพราะเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นกลุ่มสนับสนุนรัฐบาลก็สามารถทำได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามทุกฝ่ายไม่ควรใช้ความรุนแรงเลียนแบบกลุ่มพันธมิตรฯ
รศ.ดร.วรพล กล่าวว่าที่ออกมาเสนอข้อสรุปนี้ให้สังคมทราบ เนื่องจากกลุ่มพันธมิตรฯ จะออกมายับยั้งประชาชนที่จะออกมารวมสนับสนุนรัฐบาล และพยายามดิสเครดิตรัฐบาล ทั้งนี้ได้วิเคราะห์ต่อไปอีกว่ารัฐบาลเองก็ต้องการเห็นเหมือนกันว่าประชาชนจะออกมาสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากเสียงของประชาชนมากที่สุดหรือไม่
ทั้งนี้ ในวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา กลุ่มนักวิชาการเพื่อประชาธิปไตยและสันติวิธี (คปส.) นำโดย รศ.ดร.วรพล พรหมิกบุตร ผศ.ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ ผศ.เสถียร วิพรมหา ได้ออกแถลงการณ์ 2 ฉบับ ตั้งข้อสังเกตถึงพฤติกรรมของพันธมิตรฯ เรื่องแรก “กรณีการบังคับคดีรื้อถอนเวทีพันธมิตรฯ สะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม 2551 และการขัดขวางการรื้อถอน” ระบุว่านักวิชาการ คปส.ศึกษาภาพเหตุการณ์การบังคับรื้อถอนและการขัดขวางการรื้อถอนเวทีพันธมิตรฯ ข้างต้น โดยอาศัยเทปบันทึกภาพเหตุการณ์ ที่นายวัชระ เพชรทอง นำไปให้สถานีโทรทัศน์ NBT แพร่ภาพในรายงานข่าวภาคดึกเมื่อคืนที่ผ่านมา นักวิชาการ คปส. ใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระเบียบวิธีวิจัยทางนิเทศศาสตร์ตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง ได้ข้อสรุปการวิเคราะห์ความจริงว่า
1. ภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏในบันทึกเทปข้างต้นยืนยันว่า รัฐบาลและสำนักงานตำรวจ
แห่งชาติ (สตช.) ใช้อำนาจสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการบังคับคดีรื้อถอนโดยไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการใช้อาวุธหรือความรุนแรงนอกเหนือไปจากการใช้โล่กำบังผลักดันประชาชนให้ถอยร่น
2. ภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏแสดงให้เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการ 1 คน (จากจำนวนตำรวจชุดปฏิบัติการทั้งหมดประมาณ 400 นาย) กระทำการแตกต่างไปจากเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่นๆ ตามข้อ 1 ข้างต้น ซึ่งเป็นกรณีที่ผู้บังคับบัญชาควรสอบสวนข้อเท็จจริงแถลงต่อสาธารณชน เพื่อป้องกันการยุยงก่อความไม่สงบโดยกลุ่มผู้ไม่หวังดีต่อประชาชนต่อไป
ขณะเดียวกันก็มีแถลงการณ์เรื่อง “ข้อแนะนำต่อองค์กรภาคประชาชนเพื่อรักประชาธิปไตย
และการหลีกเลี่ยงยุทธวิธีสงครามกลางเมืองแบบพันธมิตรฯ” มีความว่า
1.ข้อเท็จจริงตั้งแต่การบุกยึดสถานที่ราชการและการบุกขัดขวางการทำงานของ NBT
ตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมา ส่อแสดงถึงเจตนาในการก่อการจลาจล ซึ่งขณะนี้มีแกนนำรัฐวิสาหกิจจำนวนหนึ่งเข้าร่วมในหลายจังหวัดร่วมกับเครือข่ายแกนนำพันธมิตรฯ ที่บุกยึดทำเนียบรัฐบาล
2.สภาพการณ์ตั้งแต่เช้าวันนี้จนถึงปัจจุบันแสดงถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะล่อลวง
กลุ่มประชาชนผู้บริสุทธิ์และกลุ่มองค์กรผู้คัดค้านพันธมิตรฯ ให้บันดาลโทสะ เคลื่อนไหวออกไปทำลายสถานที่ราชการและเข้าปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อเป็นข้ออ้างป้ายความผิดตั้งแต่ต้นให้แก่กลุ่มบุคคลที่พันธมิตรฯ เห็นว่าเป็นปฏิปักษ์ขัดขวางความพยายามยึดอำนาจของตนและพรรค/พวกที่หนุนหลัง
3. การชุมนุมโดยสงบของประชาชน เพื่อแสดงความเห็นสนับสนุนหรือคัดค้านการกระทำของพันธมิตรฯ อาจกระทำได้ตามกรอบกฎหมายแต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรงไม่ว่าจะเป็นการตอบโต้ต่อมวลชนกลุ่มอื่นหรือต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ และหากมีกลุ่มพลังมวลชนที่อ้างว่าตนเป็นฝ่ายประชาธิปไตยเข้ากระทำการรุนแรงต่อมวลชนฝ่ายพันธมิตรฯ จะถือได้ว่าตกเป็นผู้เสียรู้เสียทีต่อฝ่ายพันธมิตรฯ ที่ต้องการให้เกิดการจลาจล หรือการทำลายล้างต่อบุคคลและทรัพย์สินด้วยความรุนแรง
เพื่อไทย
Monday, September 1, 2008
นักวิชาการเตือนอย่าหลงกลม็อบยั่วยุให้เกิดปะทะ
กลุ่ม “นักวิชาการเพื่อประชาธิปไตยและสันติวิธี” วิเคราะห์การขยายตัวของพันธมิตรฯ เป็นเพราะมีคนจงใจให้ความวุ่นวายขยายตัวนำไปสู่การรัฐประหาร เจตนาล่อลวงให้ผู้บริสุทธิ์ออกไปประจันหน้าจนเกิดการปะทะ แถมยังมีการระดมแนวร่วมเพิ่มความโกลาหลในบ้านเมือง ชี้องค์กรประชาธิปไตยก็สามารถชุมนุมได้ตามรัฐธรรมนูญ แต่ต้องไม่อยู่เหนือกฎหมายอย่างพันธมิตรฯ