คอลัมน์: สามเหลี่ยมดินแดง
** กลับมารายงานตัวขุดคุ้ย คุยข่าว ณ พล ประจำการทำหน้าที่ บนหน้า 5 หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์รายวัน ฉบับประจำวันที่ 3 กันยายน พุทธศักราช 2551 วันที่คนกรุงเทพฯ อยู่ท่ามกลางการประกาศภาวะฉุกเฉิน หลังกลุ่มพันธมิตรทำลายประชาธิปไตย ชุมนุมป่วนเมืองมาครบรอบ 101 วัน และสมใจ พวกมัน เพราะมีคนตายสังเวยความ บ้าเลือดไปแล้ว 1 ราย
** ณ พล ขอเชิญชวนยืนไว้อาลัยให้กับ ณรงค์ศักดิ์ กอบไธสง เหยื่อพวกโจรกบฏนอกกฎหมาย แม้จะไม่ใช่รายแรกที่ถูกอำนาจเถื่อนทำร้าย แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะถึงขั้นมุ่งหมายเอาชีวิตกันเช่นนี้ เป็นบทเรียนให้กลุ่มต่อต้านฯ และให้ประชาชนพินิจพิจารณา ว่าคำประกาศของม็อบชั่ว ที่อ้างการใช้สิทธิชุมนุมอย่างสงบโดยปราศจากอาวุธ ตาม ม.63 เป็นเรื่องโกหกตอแหลมาตั้งแต่ต้น
** ไม่เพียงแค่ไม้กอล์ฟจำนวนมหาศาล ไม้เบสบอล ท่อนไม้ หรือแม้แต่กระบองตอกตะปูเอาไว้โดยรอบ ที่ตำรวจบุกทลายคลังแสงสะพานมัฆวาน จนเกิดการกระทบกระทั่ง กลายเป็นเรื่องเอามาจุดชนวน ปลุกเร้าให้เกิดความโกลาหลเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นชัดๆ ว่ามีการพกอาวุธมีด อาวุธปืนเอาไว้พร้อมที่จะประจัญหน้ากับกลุ่มคนที่คิดเห็นแตกต่าง หรือแม้แต่การต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจหากจะมีการเข้าสลายการชุมนุม
** แม้ว่า สุริยะใส กตะศิลา จะกล้าออกมาแก้ต่างน้ำขุ่นๆ ว่าเป็นเรื่องของ พวก นปก. ที่ไล่ยิงกันเอง แต่ก็คงไม่ได้ช่วยให้ภาพลักษณ์ โจรกบฏ ดีขึ้นได้ เพราะแม้แต่ เด็กอมมือ ก็ยังรับไม่ได้กับวาทะของพวก ผู้ใหญ่อมตีน ที่กล้าโกหกหน้าด้านๆ เหมือนเมื่อคราวมีโจร 85 คน บุกปล้นสถานีโทรทัศน์ NBT ทำลายข้าวของทางราชการป่นปี้
** ทวนความจำกันอีกที คนหนึ่งชื่อ นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ เป็นรองผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ส่วนอีกคนชื่อ นัสเซอร์ ยีหมะ เป็นแกนนำทีมการ์ด แต่ สุริยะใส เองก็ยังเคยอ้างว่าเป็นฝีมือของ นปก. ปฏิเสธว่าไม่มีความเกี่ยวข้อง แต่กลับส่ง นิติธร ล้ำเหลือ ทนายความพันธมิตรฯ ไปยื่นขอประกันตัวเฉพาะ 2 โจรที่ว่า ตามมาด้วยการเข้าไปดูแลผู้ต้องหาของ นิพิธ อินทรสมบัติ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่อ้างว่าเข้าไปดูแลในฐานะนักกฎหมาย
** ที่สำคัญทั้ง สุริยะใส-นิติรัตน์-นัสเซอร์ ยังผูกเชื่อมกันด้วยความเป็นศิษย์เก่า สนนท. แบบเดียวกับ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ออกมาพูดจาหน้าตาเฉยว่า การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นยาแรง แต่กลับไม่มองย้อนว่าสิ่งที่คนพวกนี้ก่อขึ้นมันเป็นโรคร้ายของชาติบ้านเมืองแค่ไหน ถ้าหาก อ.ปริญญา คิดจะวางตำแหน่งของตัวเองไว้ที่ความเป็นนักวิชาการ ก็คงจะต้องมองสถานการณ์บ้านเมืองด้วยพื้นฐานความเป็นจริงมากกว่านี้ และมากกว่าการทำตัวเป็นคอมเมนเตเตอร์ขาประจำสถานีไทยพีบีเอส โดยเฉพาะในช่วงของ กรุณา บัวคำศรี
** ในวันที่พันธมิตรฯ ออกมาชุมนุมป่วนเมือง ทำผิดกฎหมายสารพัด ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยอย่าง พ.ร.บ.จราจร ไปจนถึงหมิ่นประมาท หมิ่นสถาบันเบื้องสูง รวมทั้งข้อหากบฎ และขัดคำสั่งศาล กลับมีข้ออ้างสวยหรูว่าเป็น “อารยะขัดขืน” อ้างว่ารัฐบาลต้องรับผิดชอบ เพราะเป็นชนวนให้เกิดการชุมนุม แต่พอถึงคราวกลุ่มต่อต้านฯ ออกมาเคลื่อนไหว เพราะไม่พอใจพฤติกรรม ดิบ-เถื่อน-ถ่อย กลับไม่หันไปพิจารณาตัวเอง แต่ก็ยังเที่ยวโทษคนโน้นคนนี้ไม่เลิกรา
** การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ท่ามกลางหมายจับในข้อหากบฎของ 9 แกนนำ พร้อมกับการทำผิดกฎหมายสารพัดเรื่องราวต่อเนื่องทุกวี่ทุกวัน และดูจะเหิมเกริมมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดประกาศไม่เคารพกฎหมาย ไม่ฟังคำสั่งศาล ปลุกระดมให้เกิดการสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง เอาประชาชนเป็นตัวประกันด้วยการประกาศสร้างความเดือดร้อน เสียหายทุกรูปแบบ เพื่อต่อรองกับรัฐบาล ยังจะเชื่อได้อย่างไรว่าคนพวกนี้เป็นคนรักชาติ รักแผ่นดิน
** แม้ว่า ณ พล จะไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินมาตั้งแต่ต้น เพราะคิดว่ายังมีกระบวนการอันเป็นที่พึ่งได้อีกหลายหนทาง แต่พ้นจากศาลมาถึงรัฐสภา ก็ยิ่งน่าผิดหวัง เพราะฝ่ายค้านหนึ่งเดียวอย่างพรรคประชาธิปัตย์ กับกลุ่ม สว.ลากตั้ง อันมีที่มาบอกยี่ห้อชัดเจน แถมด้วย รสนา โตสิตระกูล ส.ว. กทม. อีกคน กลับฉกฉวยโอกาสถล่มรัฐบาล กดดันนายกฯ และอุ้มชูกลุ่มพันธมิตรฯ และโทรทัศน์ถ่อย ราวกับเป็นวีรบุรุษ
** ฉะนี้ เมื่อสถานการณ์รุนแรงมากขึ้นทุกขณะ และทางออกหลายทางถูกปิดตาย ผิดตรงไหนที่รัฐบาลจะต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อยุติปัญหา เพราะหากรัฐบาลยังมัว หน้าบาง ปล่อยให้มีการชุมนุมปลุกระดม ข่มขู่ตัดน้ำ ตัดไฟ ต่อไปต่างหาก ที่จะยิ่งเป็นการทำร้ายคนทั้งชาติ...ขนาดโจรโขมยรถ พ่อค้ายาบ้า ที่ลุกขึ้นมาสู้กับตำรวจ ถูกวิสามัญฆาตกรรม ยังไม่เห็นมีใครว่า แล้วคนที่คิดทำร้ายบ้านเมือง ทำลายคนทั้งประเทศถึงขนาดนี้ หากมันจะต้องหัวร้างข้างแตกกันบ้างจากการเข้าปราบปรามตามกฎหมาย เพื่อให้บ้านเมืองเป็นสุข ณ พล ก็ไม่เห็นเสียหาย
** ฝากบอกพี่น้องประชาชนคนไทย ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องตื่นตระหนก เพราะทุกมาตรการที่รัฐบาล มอบหมายให้ฝ่ายทหารเข้ารับผิดชอบ ไม่ได้มุ่งหวังให้พี่น้องได้รับความเดือดร้อนเหมือนอย่างพฤติกรรมของพวกมารป่วนเมือง และเชื่อว่าสถานการณ์กำลังจะคลี่คลายและเข้าสู่ภาวะปกติในที่สุด
** ย้ำกันอีกทีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มีสาระห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกันเกินกว่า 5 คนขึ้นไป หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย และ ห้ามการเสนอข่าวที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร จนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ รวมไปถึงประกาศที่อาจจะมีตามมาตามที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินเห็นสมควร
** แม้ว่าท่าทีของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ที่ได้รับมอบหมายให้เข้ามาเป็นหัวหน้าทีมกอบกู้สถานการณ์ จะชวนให้กังวล เพราะหลายคนคาดหวังจะเห็นความเฉียบขาด ฉับไว แต่ก็ยังน่าดีใจที่ ผบ.ทบ. ย้ำหลักการประชาธิปไตย และย้ำว่าจะยืนเคียงข้างประชาชน ซึ่งหมายถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่ใช่คนเพียงแค่หยิบมือที่ออกมาชุมนุมถามหา การเมืองใหม่ ซึ่งขัดกับหลักการประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง และยังเชื่อว่า ผบ.ทบ. จะยุติปัญหาได้โดยเร็ว ก่อนที่พันธมิตรฯ จะยิ่งกำเริบหนัก เพราะย่ามใจว่าอยู่เหนือทุกอำนาจใดๆ ในบ้านเมือง และถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่ากลัวเหลือเกิน...ว่าประเทศชาติ จะลุกเป็นไฟ
ณ พล