คอลัมน์ : บทบรรณาธิการ
หลายคนบอกว่า บ้านเมืองทุกวันนี้กำลังจะกลายเป็นระบอบอนาธิปไตย อันหมายถึงการที่คนจำนวนหนึ่งที่ต้องการให้เกิดสภาวะที่ไร้อำนาจรัฐ ยกเลิก ปฏิเสธอำนาจรัฐ ไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ กติกาของประเทศ โดยไม่ฟังเหตุฟังผลอันใด...
ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นปัญหาให้กับคนไทยทั้งชาติในขณะนี้
ปัญหาของวิกฤตการณ์ “พันธมารธิปไตย” ใช้มาตรการ “ป่วนเมือง” ได้มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาจากรัฐบาลในแนวทางละมุนละม่อมมาโดยลำดับ ผ่อนหนักผ่อนเบา เพราะฝ่ายหนึ่งต้องการสร้างปัญหาให้มีการปะทะสูญเสียเลือดเนื้อ จากคนไทยด้วยกันเอง
เจตนาของเขาระบุชัดแจ้งในการดำเนินการแนวทางอันไร้อารยะในการแก้ไขปัญหา เช่น การปีนรั้วทำเนียบรัฐบาล และส่วนราชการอื่นๆ เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม และที่สำคัญคือการคุกคามสื่อสารมวลชน คือสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที นอกจากนี้สื่อสารมวลชนหลายสำนักได้ถูกดำเนินการคุกคามสื่ออย่างหนักหน่วง ไม่ว่าจะเป็น อสมท. ไทยพีบีเอส ไทยรัฐ มติชน ข่าวสด เรียกได้ว่า โดนกันทั่วหน้า
อาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ใช้การปลุกระดมประชาชนด้วยถ้อยคำสำราก ความถ่อย ความสถุล ไร้สกุลรุนชาติ ต่ำช้าสามานย์ บนเวทีพันธมารมาหลายครั้งหลายหน ยังหันมา พูดจาในลักษณะสำรากถ้อยคำถ่อย สถุล กับสื่อสารมวลชนทำเนียบรัฐบาล
นักวิชาการหลายคนอาจจะพยายามหาความชอบธรรมให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ โดยมักจะออกมาการันตีให้กับอาชญากรสำคัญของชาติบ้านเมืองที่โดนข้อหา “กบฏ” และมีการกระทำการขัดคำสั่งศาลหลายครั้งหลายหน โดยไม่คำนึงถึงหลักวิชาการในการยึดความถูกต้องตามหลักการบังคับใช้กฎหมาย
ประเทศชาติ ในขณะนี้อยู่ในสภาพ “ไร้ขื่อแป” หากเป็นสมัยโบราณย่อมใช้คำว่า “แผ่นดิน” เป็น “ทุรยศ” จากน้ำมือของพันธมารธิปไตยเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ขณะที่อำนาจรัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหารไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆ ได้
ขณะที่อำนาจฝ่ายตุลาการได้ถูกท้าทายครั้งใหญ่ ตัดสินคดีความภายใต้พระปรมาภิไธย แต่กลับมีคนในสังคมไม่เชื่อถือเชื่อฟัง
เท่านั้นยังไม่พอ ยังก่อหวอดให้รัฐวิสาหกิจนัดหยุดงาน เพียงเพื่อจะเอาความเดือดร้อนของประชาชน ผู้คนในประเทศไทย เป็นตัวประกันเท่านั้นเอง
จากจะใช้ถ้อยคำว่า “อนาธิปไตย” ภายใต้คำแก้ตัวว่า เป็นการชุมนุมแบบ สงบ สันติ อหิงสา คงจะสวยหรูเกินไปสำหรับกลุ่มคนพวกนี้เสียแล้ว
วันนี้ประเทศไทยจะต้องเดินหน้า ทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ไม่ใช่จะให้การเมืองถอยหลัง ไปสู่ยุคป่าเถื่อน ไปสู่ยุคไร้เหตุผล ไปสู่ยุคที่มนุษย์จะเป็นคนไร้ความคิด ใช้แต่พละกำลังห้ำหั่นกันเอง แตกต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน
กลุ่มพันธมารธิปไตยสำคัญตัวผิดว่าเป็นตัวแปรทางการเมือง เพียงเพราะใช้ปฏิบัติการทางการเมืองที่รุนแรง ไม่ต่างอะไรกับสถานะของโจรกบฏปล้นชาติปล้นแผ่นดิน
ทั้งที่ยังบัญญัติและดำรงความคิดเรื่อง การเมืองใหม่ ที่จะให้ ส.ส. มาจากการลากตั้ง 70% และมาจากการเลือกตั้งเพียง 30% ซึ่งถือเป็นการท้าทายอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยอย่างมาก
เป็นการเมืองที่สมควรจะเรียกชื่อเสียงเรียงนามเสียใหม่ว่า “อนาถธิปไตย” เพราะการกระทำที่คิดในลักษณะสำคัญตนผิดว่าเป็นตัวแปรทางการเมือง เป็นความคิดที่น่าอเนจอนาถของคนสิ้นคิดเสียจริงๆ