คอลัมน์ : โต๊ะข่าวประชาทรรศน์
บิ๊กโบ๊ต
31 ตุลาคม 2551 ครบรอบการจากไปเป็นเวลา 2 ปี ของ ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ และเป็นเวลากว่า 2 ปี นับเนื่องจากการปฏิวัติรัฐประหาร ที่นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เมื่อ 19 กันยายน 2549
ที่จนป่านนี้บ้านเมืองก็ยังไม่ฟื้นตัว
ยังฝากร่องรอยอัปยศ ฝากกับดักการเมืองเอาไว้มากมาย รวมทั้งบรรดา “ทายาท” เผด็จการทั้งหลายท่ามกลางกลุ่มคน “เสื้อแดง” ที่ยังคงทวงถามหาประชาธิปไตย และยังต้องรวมตัวกันไว้ให้มั่น พร้อมต้านรัฐประหารที่ยังมีข่าวลือกระเส็นกระสายไม่เว้นแต่ละวัน
และเชื่อว่าจะเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ หากทหารคิดอ่านจะปฏิวัติกันอีกครั้ง เพราะคงเป็นเรื่องที่บรรดานักประชาธิปไตย หรือผู้คนที่เคารพในกติกาประชาธิปไตยทั้งหลาย คงจะไม่ยอมให้ใครเข้ามาปู้ยี่ปู้ยำประเทศชาติได้อีก
แบบเดียวกับวีรกรรมของ ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ที่ยอมเอาชีวิตเข้าแลก เพื่อบอกเล่าให้โลกรู้ว่าไม่ก้มหัวให้เผด็จการทหาร ที่ใช้กำลังมากกว่าใช้สมอง รวมทั้งการเสียชีวิตของลุงนวมทองก็มีคุณค่าต่อวิถีประชาธิปไตย และมากพอที่จะเรียกว่า “วีรบุรุษ”เพราะเป็นการประกาศแลกเลือดเนื้อกับความถูกต้องในบ้านเมือง เป็นความจงใจที่จะ “ชน” กับเผด็จการนับตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2549 หลังการรัฐประหารเพียงไม่กี่วัน
ที่ลุงนวมทองตัดสินใจขับรถแท็กซี่ที่เป็นเครื่องมือหาเลี้ยงชีวิต พุ่งเข้าใส่รถถัง แม้ว่าชีวิตของประชาชนพลเมืองธรรมดาตัวเล็กๆ และเสียงแผ่วๆ อย่างลุงนวมทอง จะไม่สามารถทำให้บรรดาทหารได้สำเหนียก
แถมยังมีนายทหาร “ปากเสีย” บางคน ออกมาหมิ่นเกียรติ หมิ่นศักดิ์ศรี ไม่เชื่อว่าจะมีคนที่ยอมตายได้เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นที่มาของเหตุการณ์น่าสลดใจของบรรดาผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลาย แต่ขณะเดียวกัน “มัน” ไอ้คนที่พูดพล่อย จนลุงนวมทองต้องใช้ชีวิตพิสูจน์ให้เห็น ไม่เคยปรากฏว่าได้แสดงความรับผิดชอบ ไม่เคยเห็นมีการยืดอกรับหรือแสดงความเสียใจแบบชายชาติทหาร ไม่รู้ว่าโรงเรียนนายร้อย จปร. ที่สอนให้เคร่งครัดเรื่องเกียรติ วินัย และศักดิ์ศรี มันทำให้มองคุณค่าความเป็นคนแตกต่างกันไปหรืออย่างไร
เหล่านั้นเป็นข้อสงสัยที่ถูกถามมานาน แต่อาจไม่มีใครหวังคำตอบ ในเมื่อสิ่งที่สืบเนื่องต่อมาเห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าการปฏิวัติรัฐประหารเป็นเรื่องของผู้กระหายอำนาจ
รวมทั้งเป็นเรื่องของการแสวงหาผลประโยชน์ โดยไม่สนผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนและชาติบ้านเมือง
แม้ว่าการจากไปของลุงนวมทองจะเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของทั้งครอบครัว และของระบอบประชาธิปไตย
แต่อย่างน้อยก็เป็นบทพิสูจน์ชัดว่า การปฏิวัติรัฐประหาร โดยเฉพาะเมื่อคราว 19 กันยายน มีคนไม่เห็นด้วยอีกมาก
ไม่ใช่อย่างที่พยายามอวดอ้างว่าเป็นการยึดอำนาจโดยสงบ แล้วก็เอาโคโยตี้มาถ่ายรูปกับรถถัง อวดอ้างไปทั่วโลกราวกับเป็นเรื่องน่าภูมิใจ
ในวันที่ผ่านมากลุ่ม นปช. ได้ไปยื่นเรื่องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร มีสาระสำคัญ 2 เรื่องหลักๆ
ประการแรกให้เชิดชูเกียรติลุงนวมทองเป็นวีรบุรุษประชาธิปไตย
ซึ่งเชื่อว่าสามารถทำได้โดยไม่ขัดเขิน เพราะทุกคนประจักษ์ในข้อเท็จจริงอยู่แล้วว่า เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยหัวใจ
ไม่ใช่การออกไปร่วมแก๊งป่วนเมือง หรือทำงานให้พวกกบฏทำลายชาติไม่ใช่เดินสะดุด “ตีน” ตัวเอง แล้วระเบิดที่พกมาด้วยก็เกิดตูมตามขึ้นมา
ส่วนประการที่สอง ที่ขอให้ประกาศเอาวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี เป็น “วันต้านรัฐประหารแห่งชาติ” เป็นเรื่องที่ดีมากในหลักการ
แต่อยากจะขัดคอในรายละเอียดสักนิดว่า ในความเป็นจริงแล้ว การต้านปฏิวัติรัฐประหารคงไม่สามารถจะเลือกเอาวันหนึ่งวันใดได้ และคงต้องช่วยกันเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา
กลับกัน...เปลี่ยนเอาวันนี้มาประณามพวกยึดอำนาจ ทำลายชาติบ้านเมือง จะดีกว่ามั้ย...
ถึงวันนี้...ขอให้วิญญาณลุงนวมทองไปสู่สุคติ หมดความวิตกกังวลได้ครับ เพราะวันนี้คนไทยตื่นตัวกันแล้ว
หากมีปฏิวัติรัฐประหาร หรือเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากล พวกเราจะพร้อมเพรียงกันที่ท้องสนามหลวงทันที...!!