คอลัมน์ : โต๊ะข่าวประชาทรรศน์
โดย เอกฉัตร
“รักบ้านเมืองต้องรักให้ฉลาด ใช้อารมณ์ใช้ความรุนแรงไม่ได้ เพราะระบบนิติธรรมที่สร้างกันอยู่ทุกวันนี้จะสร้างกี่แบบก็ได้ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานธรรมาภิบาลรองรับ นอกจากนี้ ความแตกต่างทางความคิดไม่ใช่ปัญหา จะต้องหลีกเลี่ยงความรุนแรง และเราต้องเดินหน้าตกลงกันเพื่อรักษาบ้านเมืองของเราไว้ให้ได้”
ตามพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า “ประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน เข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากันแก้ไขปัญหา เพราะปัญหามีอยู่ที่เวลาเกิดจะใช้คำว่าบ้าเลือด เวลาคนมีการปฏิบัติรุนแรงมันลืมตัว ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทางอันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ
“ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ถ้าสมมุติว่าเฉพาะในกรุงเทพมหานครเสียหายไป ประเทศก็เสียหายทั้งหมด แล้วก็จะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะอยู่บนกองซากปรักหักพัง ผมคิดว่าไม่ล้าสมัยและยังใช้ได้อยู่เสมอ อย่าให้พระองค์ต้องรับสั่งแบบนี้อีกครั้ง”
นี่คือคำพูดตอนหนึ่งของนายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในการแสดงทัศนะในงานประชุมใหญ่เครือข่ายสานเสวนาเพื่อสันติธรรม ซึ่งผมคัดลอกมาจากหนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ ฉบับวันพุธที่ 29 ตุลาคม 2551 เพื่อให้ท่านได้อ่านกันอีกครั้ง ว่ามีตอนไหน ประโยคใดที่ทำให้ ฯพณฯสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรพันธมาร โกรธหน้าเหมือนยักษ์กินน้ำร้อน เหมือนกับว่าใครไปเหยียบหางหรือถูกตีตรงหน้าแง จึงได้ขึ้นเวลาสำรอกคำพูดด่าและข่มขู่นายสุเมธ ตันติเวชกุล ตามสไตล์ของคนที่เป็นนักรบหน้าไมค์ปลุกระดมบนเวทีในทำเนียบรัฐบาล
“มีความพยายามเคลื่อนไหวจาบจ้วงสถาบัน แต่กลับออกมาให้ทุกฝ่ายสามัคคีกัน สิ่งที่ ดร.สุเมธ คิดและออกมาพูดทำประโยชน์ให้ประเทศอย่างไร ดีที่สุดต้องหุบปาก อย่าทะลึ่งมาออกความเห็นอีกต่อไป เพราะจะถูกสวนกลับไปอีกทุกครั้ง หาก ดร.สุเมธยังออกมาเสนอความคิดเห็นอย่างนี้อีก จะเจอตอบโต้เป็นหน้าๆ ออกมาอีกหนึ่งหมัด จะถูกสวนกลับไปอีกยี่สิบหมัด”
“เป็นที่น่าเสียดายที่ ดร.สุเมธถือเป็นคนทำงานใกล้ชิดเบื้องยุคลบาท ควรออกมาแสดงความคิดเห็นหรือออกมาพูดห้ามปรามคนที่คิดทำลายล้างสถาบัน หยุดการกระทำดังกล่าว ที่ออกมาพูดว่าให่หยุดทะเลาะกันได้แล้ว อยากจะถามว่าใครอยากจะไปทะเลาะกับมัน สิ่งที่พันธมิตรพยายามและทำอยู่นี้คือต้องการปกป้องสถาบัน ดังนั้น ดร.สุเมธ อย่ามาทะลึ่งออกมาแสดงความคิดเห็นอีก ดร.สุเมธคนนี้ชอบใช้สถานภาพของตนเองที่ทำโครงการหลวง และชอบออกมาแสดงความคิดเห็น มีคนอย่าง ดร.สุเมธที่ชอบอ้างตัวว่าเป็นคนใกล้ชิดเป็นผู้ดูแลโครงการหลวง แต่ไม่สนใจอะไรกับผู้ที่ทำจาบจ้วง จึงเป็นผู้ที่ทำให้สถาบันอ่อนแอ”
“มีคนอย่าง ดร.สุเมธ นายโคทม อารียา และอีกมากที่ชอบพูดว่าบ้านเมืองแบ่งเป็นสองฝ่าย เป็นการมองแบบคนโง่ ที่ถูกต้องคือบ้านเมืองแบ่งเป็นพวกที่อยู่ข้างความถูกต้องและไม่ถูกต้อง แทนที่จะอยู่ข้างความถูกต้อง กลับมาทำตัวเป็นศาสดาสอนให้สามัคคีกัน คนพวกนี้เป็นคนที่ชอบตีกินและคอยจังหวะออกมาแสดงความคิดเห็น โดยอยากจะเป็นฮีโร่ขี้ม้าขาว อยากให้ ดร.สุเมธ หยุดพฤติกรรมการตีกินอย่างนี้อีก และอยากให้พี่น้องพันธมิตรฯ เจอนายโคทม ที่ไหนให้เอามือตบไล่ไปเลย”
เป็นคำพูดบางตอนของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ผมคัดลอกมาจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันพุธที่29 ตุลาคม เพื่อให้ท่านได้พิจารณาถึงความกักขฬะ โดยไม่ได้หวังว่าจะให้ท่านตัดสินอย่างไร เพราะผมเชื่อว่าท่านคงตัดสินใจได้นานแล้วว่า นายสนธิเป็นคนอย่างไร
ใครที่เห็นแตกต่างไปจากตัวกู ต้องเปิดสงครามสั่งสอนอย่างที่ นายสุเมธ ตันติเวชกุล ได้รับ
นี่ไงคือเหตุที่พลังเงียบทำตัวเงียบเชียบ ไม่อยากเปลืองตัว
เพราะฉะนั้นเลิกพูด เลิกคิดที่จะดำเนินให้เกิดความสมานฉันท์ ให้หันหน้าเข้ามาหากันเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศไทย ซึ่งใครก็รู้ว่าต้นตอของปัญหามาจาก นายสนธิ ลิ้มทองกุล
ในเมื่อตัวต้นเหตุของปัญหาไม่ยอมรับในสิ่งที่กระทำ และไม่ต้องการสมานฉันท์ ใครที่คิดจะสร้างความสามัคคี สร้าสมานฉันท์ ก็จะถูก ฯพณฯ สั่งให้ลูกสมุนตามล่าด้วยมือตบ อย่างที่ประกาศให้ตามล่านายโคทม อารียา หนึ่งในคณะทำงานสานเสวนาเพื่อสันติธรรม
ผมเชื่อว่าการทุกคำพูดของนายสนธิ แม้จะพูดด้วยอารมณ์โกรธเหมือนถูกใครเหยียบหางก็ตาม แต่ยังมีสติ เพราะไม่ได้แบ่งคนออกเป็นสองฝ่าย คือพวกที่สนับสนุนพันธมิตรพันธมารเป็นพวกจงรักภักดี ถ้าไม่ใช่ก้อไม่จงรักภักดี อย่างที่เคยประกาศไว้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่าน
แต่จะมาแบ่งคนออกเป็นสองฝ่ายจงรักภักดีกับไม่จงรักภักดี ในขณะที่ด่านายสุเมธ ปาวๆ นั้น คงจะเขินอาย เพราะใรก็รู้ว่า นายสุเมธทำงานโครงการหลวง ใต้เบื้องยุคลบาท ไม่ใช่เป็นการแอบอ้างอย่างที่นายสนธิ ป้ายสี
จนถึงวันนี้ผมยังเชื่อและมั่นใจว่าคนไทยทุกคนมีความจงรักภักดีต่อสถาบันไม่เสื่อมคลาย เพราะเราถูกฝังหัวมาตั้งแต่เกิด ใครที่มาแบ่งพวกแบ่งฝ่ายต้องถือว่าเป็นความคิดที่อุบาทว์อัปรีย์ที่สุดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้น็นความ