WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, October 31, 2008

พันธมิตรกับแนวทางสันติ


คอลัมน์ : ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

โดย -ศุภชัย ใจสมุทร-


เมื่อวันอาทิตที่ 26 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่กรมประชาสัมพันธ์เครือข่ายเสวนาเพื่อสันติธรรม ได้มีการประชุมใหญ่ โดยในวันนั้นได้เชิญ นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ขึ้นกล่าวปาฐกถาหัวข้อ “ยุติความรุนแรง แสวงสันติด้วยการเสวนา”

นายสุเมธ ตันติเวชกุล ได้กล่าวเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรง ต้องช่วยกันหันมารักษาบ้านเมืองให้ปลอดภัย เกิดความสงบสุขของคนในชาติ พร้อมอันเชิญพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานไว้หลังเกิดเหตุการณ์ พฤษภาคม 2535 บางตอนที่ว่า

“ประเทศของเราไม่ใช้ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน เข้าหากันไม่เผชิญหน้ากัน แก้ไขปัญหา เพราะปัญหามีอยู่ ที่เวลาเกิดจะใช้คำว่า บ้าเลือด เวลาคนมีการปฏิบัติรุนแรงมันลืมตัว ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วจะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วใครจะชนะ ไม่มีทาง อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดคือประเทศชาติ”

แต่พลันที่นายสุเมธ ตันติเวชกุล ได้แสดงปาฐกถา ดังกล่าว ในคืนวันที่ 27 ตุลาคม นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลับออกมากล่าวโจมตีบนเวทีพันธมิตรฯ

ประเด็นที่สำคัญที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวก็คือ ให้ นายสุเมธ ตันติเวชกุล หยุดพูดและหยุดแสดงความคิดเห็น แล้วหันมายืนข้างฝ่ายถูกต้องมากกว่าจะมาสอนให้สามัคคีกัน

นอกจากนี้ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังได้แถลงด้วยว่า ตามที่กลุ่มวิชาการและองค์กรภาคส่วนต่างๆ เสนอใช้เวทีสานเสวนาเพื่อคลี่คลายวิกฤตนั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มองว่าความขัดแย้งดำเนินมาไกลเกินกว่าจะมีการเสวนาเกิดขึ้นได้ เครือข่ายคนรักทักษิณ และนปช. ไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาล อีกทั้งยังจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้นการกระทำดังกล่าวจึงไม่สามารถนำมาพูดคุยในวงเสวนาได้ พันธมิตรฯยังคงยืนยันว่า ทางออกของวิกฤตมีทางเดียวคือรัฐบาลนอมินีต้องลาออก แสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ 7 ตุลาคม จึงอยากให้กลุ่มบุคคลที่เสนอสานเสวนายอมรับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นด้วย หากจัดสานเสวนาขึ้น สังคมจะเกิดข้อกังขาว่าเหตุใด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่กระทำความผิดและถูกคำตัดสินของศาลยังไม่ถูกดำเนินคดี

และนี่คือท่าทีอันชัดเจนนขอพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่อแนวทางสานเสวนาเพื่อแสวงสันติ ที่หลายฝ่ายได้พยายามริเริ่ม เพื่อหาแนวทางยุติความัดแย้งในบ้านเมือง ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อการแสดงท่าทีที่เป็นการปฏิเสธเช่นนั้น ย่อมแสดงให้เห็นได้ชัดเจนกันว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มิได้มีแนวคิดในการเจรจาหรือเสวนา หากแต่ยังมีแนวทางการใช้ความรุนแรง เพื่อให้เกิดคามแตกหัก ดังที่เคยสำแดงให้ปรากฏอย่างต่อเนื่อง นับแต่การชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2549 จนถึงปัจจุบันก็ตาม ดังนั้นไม่ว่าบุคคลเช่น นายสุเมธ ตันติเวชกุล ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ยอมรับว่า ทำงานใกล้ชิดเนื้องพระยุคลบาท จะเป็นผู้เสนอและเรียกร้องให้ใช้แนวทางสันติวิธีก็ตามที แต่ที่สุดแล้วก็ได้หามีคุณค่าพอที่จะทำให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเปลี่ยนท่าทีและท่วงทำนองได้แต่อย่างใด ถึงแม้กระนั้นก็ตามเชื่อว่า เครื่อข่ายสานเสวนาเพื่อสันติธรรม คงไม่คิดถอดใจ หากแต่คงต้องหาแนวทางใดที่จะทำให้เกิดความสอดคล้องต้องตรงกัน ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เพื่อให้ความสามัคคีเกิดขึ้นจริง

ในส่วนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น การได้แสงดงคำพูดที่ปฏิเสธแนวทางการเจรจาครั้งนี้ ยิ่งทำให้เห็นได้ว่า แท้ที่จริงแล้วที่กล่าวอ้างเหตุผลที่ชักจูงให้ประชาชนได้ยินได้ฟังถึงความจำเป็นในทางชุมนุมนั้น กลับสวนกับการแสดงให้ปรากฏว่า พันธมิตรฯ เองคือผู้ปฏิเสธแนวทางสันติวิธี และเห็นได้ว่าความอยากความใฝ่ปรารถนาของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่โยงเข้ามาหาตัวตน อยากเพื่อตัวเอง เป็นการอยากได้อยากเอา อยากให้ผลเกิดขึ้นแก่ตนเอง ไม่ว่าจะไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสิ่งใดก็เพื่อให้สิ่งนั้นอำนวยผลประโยชน์ให้แก่ตน ซึ่งหากกล่าวในเชิงศาสนาแล้ว สิ่งที่พันธมิตรฯ มีก็คือ ตัญหานั้งเอง และเมื่อยิ่งพิจารณาถึงพฤติการณ์การกระทำ วิธีคิด และการพูดจาแสดงออกมาของบรรดาแกนนำพันธมิตรฯ ทั้งหลายก็ยิ่งพบว่าบรรดาท่านทั้งหลายดูเหมือนความอยากให้ตัวเองยิ่งใหญ่ ความอยากได้อำนาจ หรือที่เรียกเป็นศัพท์เฉพาะ “มานะ” ยิ่งกว่านั้นยังมีความอยากที่ต้องการเสนอความยึดถือของตัวเอง ตัวเองยึดถืออย่างไรก็จะต้องให้เป็นอย่างนั้นให้ได้ มีอาการคลั่งลัทธิและยึดถืออุดมการณ์อย่างรุนแรง ซึ่งก็คือการมี ทิฐิ โดยความอยากที่ว่าทั้งหมดหาใช่สิ่งซึ่งเป็นความอยากที่เป็นกุศลที่เรียกกันว่า “ฉันทะ” อันเป็นสิ่งที่งดงามสำหรับบ้านเมือง

ดังนั้น ตราบเท่าที่ความอยากของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เราอาจเรียกกันโดยง่ายๆ ว่า “ความเห็นแก่ตัว” ยังเกาะติดแน่นติดตรึงหัวใจอยู่เช่นนั้นแล้ว จึงมิใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะให้การสานเสวนาเกิดขึ้นได้ แม้นั่นคือความต้องการจากประชาชน

แต่การที่พันธมิตรฯ ได้ประกาศยืนยันชัดเจนออกมาเช่นนี้ก็นับว่าดี เพราะจะทำให้ผู้คนที่หลงใหลได้ปลื้ม ชื่นชมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประดุจดั้งพระผู้มาโปรด จะได้รู้เช่นเห็นชาติและตัวตนของพันธมิตรฯ ว่า คำว่า “สันติวิธี” มิได้เคยอยู่ในสารบบของพันธมิตรฯ หรอก จะบอกให้