WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, December 11, 2008

ส่องกล้องมอง “ทฤษฎีกระจกแตก” ถึงดอนเมือง... “ดอนแม่”!!!

ที่มา ประชาทรรศน์




คอลัมน์ : ประชาทรรศน์วิชาการ

โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

...แฟนๆ แห่กันเข้าสั่งซื้อหนังสือเล่มสำคัญ ชื่อ “นินทาประชาธิปัตย์ (ฝ่ายค้าน-ดักดาน)” ใน vattavan.com จนเว็บล่ม
หากท่านเข้าเว็บไม่ได้ กรุณาโทร.สั่งได้ ที่หมายเลข 086-2593-939

ระหว่างที่บ้านเมืองของเรากำลังอยู่ในช่วงการค้นหา “นายกรัฐมนตรี” คนใหม่ เพื่อมาจัดตั้งรัฐบาลให้เรียบร้อย เพื่อบ้านเมืองจะเดินหน้าต่อไปได้ หลังจากที่ถูกพวกกบฏก่อการร้าย ซึ่งนำโดย นายพลจำลอง ศรีเมือง กับพวก ได้ทำให้ประเทศชาติถึงกาลพินาศฉิบหายอย่างใหญ่หลวงที่สุดในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ การดำเนินคดีกับเหล่าอาชญากรพวกนี้ หากใครยังไม่ตระหนักก็ขอให้ทราบว่า ได้มีการจับจ้องมองจากนานาประเทศในสังคมโลก จึงขอให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรซึ่งเป็นกลไกทางกฎหมายของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการ หรือศาล ขอจงช่วยกันทำงานเพื่อผดุงหลักกฎหมายของบ้านเมืองอย่างเต็มที่ อย่าได้ให้ใครมาวางอำนาจว่า “ข้าฯ เป็นอำมาตย์ใหญ่!” มาบิดเบือนความจริงและความเป็นธรรม ที่ทั้งชาวไทยและเทศต่างอยากรู้ และต้องการพิสูจน์ทราบเป็นอันขาด ปฏิกิริยาของชาติต่างๆ ที่ออกมาสู่สื่อทั้งหลายล้วนแต่ต้องการที่จะให้ผู้กระทำผิดฐานก่อการกบฏและก่อการร้ายได้รับโทษ และชดใช้ให้สาสมกับการกระทำของพวกมัน ดังนั้น จงอย่าได้ราข้อให้ชาวบ้านเห็นเป็นอันขาด เพราะถ้ามีการกระทำเช่นว่า ขอบอกไว้ตรงที่นี้เป็น ‘คำตาย’ ว่า ผมจะไม่รั้งรอที่จะวิพากษ์วิจารณ์ให้ดุเดือดและรุนแรง อย่างที่ได้กระทำมาแล้ว หลายครั้งหลายหน!

เห็นเหตุการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างนี้แล้ว นึกถึงนิทานของ ‘อีสป’ ซึ่งเคยเป็นแบบเรียนของเด็กๆ ด้วย วันนี้ขอนำมาทบทวนกันอีกครั้ง ‘อีสป’ นั้นเป็นชื่อคน เกิดในเอเชียไมเนอร์ ก่อนพระพุทธเจ้าไม่นานนัก แต่ไม่น่าเชื่อว่า ชายที่รูปร่างอัปลักษณ์ผิดมนุษย์ คือ จมูกบี้ ปากแบะ ลิ้นคับปาก หลังงุ้ม ผิวดำมืด ที่ชื่อ ‘อีสป’ มักจะพูดเสียงอยู่ในลำคอ ฟังไม่ค่อยออกว่าพูดอะไร แต่ผู้คนที่ได้ฟังนิทานจากอีสป มักติดอกติดใจในวิธีการเดินเรื่อง เนื้อหา ข้อคิด คติเตือนใจ ด้วยเหตุนี้เอง คนสำคัญๆ ของกรีก มักจะเชิญอีสปเป็นแขกให้ไปเล่านิทานให้ฟังอยู่เสมอๆ ท่านผู้อ่านเชื่อไหมว่า ‘ทาส’ คนนี้แหละครับ ที่มีคนในโลกพูดถึงชื่อเขาทุกวัน ติดต่อกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ซึ่งเป็นเวลานานยาวเกือบจะสามพันปีเข้าไปแล้ว ทุกๆ วันในโลกของเรามีการสอน การสัมมนา และถกแถลงในเนื้อหาสาระกันโดยสม่ำเสมอจากผู้ที่ศึกษา และนิยมชมชอบในนิทานสอนใจของอีสป ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่นับถืออิสป...ทำไมน่ะหรือครับ? คำตอบคือ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ที่ผู้คนในโลกจะพูดถึงชื่อและคำสอนของใครทุกคน ทุกๆ วัน เป็นเวลายาวนานกว่า 2,500 ปี นอกจากพระพุทธองค์แล้ว ก็มีอีสปนี่แหละครับ แต่ชื่อและนิทานสอนใจของทาสผู้ยิ่งใหญ่ พูดกันมายาวนานกว่าพระสมณะโคดมเสียอีก เพราะอีสปเกิดก่อนที่พระพุทธเจ้าของเราจะทรงมีพระประสูติกาลนั่นเอง คนไทยเราเปรียบความเสียหายมหาศาลที่เกิดจากเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ว่าเป็น "น้ำผึ้งหยดเดียว" เพราะอีสปได้แต่งเรื่องนี้เอาไว้ เป็นเรื่องราวของน้ำผึ้งหยดเล็กๆ ที่หยดลงพื้น แต่แล้วได้ก่อความขัดแย้งมากมายมหาศาล บานปลาย เป็นสงครามใหญ่โต เรื่องนี้ต้องฟังนิทาน จึงจะเห็นภาพ... ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งแต่ก่อนชาวบ้านทุกคนต่างรักใคร่กลมเกลียว สามัคคีปรองดองกันด้วยดี จนอยู่มาวันหนึ่ง มีคนหาบน้ำผึ้งเดินผ่านหมู่บ้านแห่งนี้ และบังเอิญเขาทำน้ำผึ้งหยดแหมะลงบนพื้นดินหนึ่งหยด...เพียงหนึ่งหยดเท่านั้นจริงๆ จิ้งจกตัวหนึ่งคลานมาพบ ก็ตรงเข้าแลบลิ้นแผลบๆ เลียเป็นอาหาร แมวดันไปเจอจิ้งจกเข้า ก็รีบกระโดดเข้าตะครุบ ครั้นเจ้าหมาเห็นแมวก็เข้ามาไล่กัด เจ้าของแมวเห็นหมามากัดแมวของตน เลยเอาไม้ไล่ตีเอาๆ เจ้าของหมาได้ยินเสียงหมาร้อง “เอ๋ง” จึงวิ่งออกมาดู พอรู้ว่าไอ้ตูบของตัวถูกเพื่อนบ้านไล่ตี เกิดโกรธขึ้นมา จึงตรงเข้าชกต่อยเจ้าของแมว ฝ่ายญาติของเจ้าของแมวได้ยินเสียงการต่อสู้ จึงรีบออกมาช่วย ญาติฝ่ายเจ้าของสุนัขเห็นพรรคพวกของตัวเองถูกทำร้าย ก็เร่งรีบออกมาช่วยเช่นกัน การพันตูกันในการต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด จากการใช้มือใช้ไม้กลายเป็นมีด ปืน และอาวุธอีกนานาชนิด ไม่เว้นแม้แต่ครกกระบากสากกระเบือ ก็ยกออกมาทุ่มใส่หัวกบาลกัน จนมีการบาดเจ็บล้มตายกันขึ้น ผู้คนในหมู่บ้านแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคือ พวกเข้าข้างเจ้าของหมาและพวกที่เข้าข้างเจ้าของแมว เมื่อฝ่ายหนึ่งเห็นว่าพวกตนเป็นรอง เพลี่ยงพล้ำจนเหลือกำลังน้อยกว่า ก็ออกไปชักชวนญาติหรือเพื่อนๆ ของตนที่อยู่ต่างหมู่บ้านมาช่วย ในที่สุดก็กลายเป็น...สงครามกลางเมือง! กว่าเจ้าเมืองจะส่งคนมายุติศึกได้ ผู้คนก็ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก นั่นไม่ใช่อะไรอื่นเลย แต่เป็นเพราะต่างคนต่างฝ่ายนั้น ขาดการยับยั้งชั่งใจและไม่รู้จักการพิจารณาเหตุผล หากเจ้าของสุนัขและเจ้าของแมวได้นั่งคุยกัน เจรจาสอบถามเรื่องราวซึ่งกันและกัน คงจะทำความเข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุ ก่อนที่จะหุนหันพลันแล่นลงมือฟาดกบาลกัน เพราะคนเรานั้น หากทำอะไรไปตามอารมณ์แล้ว เหตุการณ์คงจะลุกลามบานปลาย เหมือนดังกรณีของ ‘น้ำผึ้งหยดเดียว’ ดังที่เล่ามาให้ฟัง
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ เห็นเป็นนิทานปรัมปรา แต่มีคติสอนใจอย่างนี้ ได้ทำให้ผู้ศึกษาวิชาอาชญาวิทยาระดับสูง ถึงขั้นต้องร่ำเรียนถกแถลงกันเลยทีเดียว จนมีนักอาชญาวิทยาฝรั่ง คิดทฤษฎีสำหรับวินิจฉัยเหตุร้ายต่างๆ ในสังคม ขึ้นมาทฤษฎีหนึ่ง เรียกว่า "ทฤษฎีกระจกแตก” (The Broken Window Principle บางทีก็เรียกกันว่า The Broken Window Theory)

ความจริงแล้วทฤษฎีนี้ ไม่ใช่ของใหม่ เพราะมาจากงานเขียนเนิ่นนานมาเกือบ 200 ปีแล้วของ Fr?d?ric Bastiat ตั้งแต่ปี ค.ศ.1850 เป็นเรียงความเรื่อง Ce qu'on voit et ce qu'on ne voit pas (That Which Is Seen and That Which Is Unseen) ใจความของทฤษฎีนี้มีอยู่ว่า

ถ้าบ้านใดก็ตาม ปล่อยหน้าต่างที่ถูกขว้างแตกไว้โดยไม่ซ่อม คนผ่านไปใครมาเห็นเข้าก็จะเข้าใจว่าบ้านนั้นหรือละแวกนั้นไม่มีคนดูแล ไปๆ มาๆ ก็จะมีพวกมือบอนมากขึ้น กระจกก็แตกจำนวนมากขึ้น คล้ายส่งสัญญาณทำนอง "อ้ายเสือ เอาวา!" เชื้อเชิญให้คนก่อการมิดีมิร้ายได้โดยย่ามใจ

ในไม่ช้าละแวกนั้น ก็จะกลายเป็น ‘แดนมิคสัญญี’ ไปโดยปริยาย เพราะกระจกแตกที่เป็น "น้ำผึ้งหยดเดียว" นั่นแหละ

ดังนั้น นักอาชญาวิทยาจึงสรุปว่า หากจะลดปริมาณอาชญากรรมอย่างจริงจัง ผู้มีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบ ความมั่นคงภายใน จะละเว้นหรือละเลยต่อการดูแลรักษากฎหมายในรายละเอียดที่เล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้เลย เพราะรายละเอียดเหล่านั้น จะส่งสัญญาณ 'ยั่ว' ให้คนอยากละเมิดกฎหมายมากขึ้น!

ในทางกลับกัน ถ้าดูแลรายละเอียดได้เป็นอย่างดี เรื่องผิดกฎหมายใหญ่ๆ ก็จะลดน้อยหรือหายไปเลย ทั้งนี้เพราะพวกเขาจะเกิดความยับยั้งชั่งใจ จนไม่กล้าจะกระทำความผิด หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเมือง

ไม่เชื่ออย่าหลบหลู่เชียว เรื่องนี้ในเม็กซิโกมีตัวอย่างให้เห็นกันมามากแล้ว จะยกมาเล่าให้ฟังกัน ว่ากันว่า รถประจำทางในย่านเสื่อมโทรมของเม็กซิโก ซึ่งแต่ไหนแต่ไรก็ถูกผู้โดยสารกระทำเอาสารพัด ทั้งเป็นกระโถนขากน้ำลาย ทั้งใช้เบาะเป็นเขียงลองคมมีด (เหมือนไอ้พวกพันธมาร มันกรีดเบาะเก้าอี้ในทำเนียบ) หรือเป็นผ้าใบให้วาดหรือเขียนคำสดุดีและ “สดุร้าย” ต่างๆ นานา และมีทีท่าว่าจะเป็นต่อไปเรื่อยๆ นั้น แต่ท่านเชื่อไหมครับว่าเหตุการณ์อย่างนั้น ได้พลิกสภาพเพียง...
ดอกไม้ช่อเดียว...เท่านั้น!

เหตุการณ์นั้นได้ยุติลง เพราะอยู่มาวันหนึ่ง กระเป๋ารถเมล์คันที่ว่า นึกอดรนทนไม่ได้ขึ้นมา จึงลุกขึ้นขัดถูรถเป็นการใหญ่ ซักผ้าคลุมเบาะให้ขาวสะอาด ตลอดจนพรมน้ำหอมจนจรุงกลิ่นไปทั้งคันรถ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น...

อีคนคนนี้แกยังไปหาช่อดอกไม้สดมาประดับหน้ารถไม่ให้ซ้ำกันในแต่ละวัน กุหลาบบ้าง คาร์เนชั่นบ้าง เพื่อรับหน้าผู้โดยสารตรงประตูทางขึ้นอีกด้วย เท่านั้นเองแหละครับ

วันรุ่งขึ้น บรรดาผู้โดยสารมือดี (มือบอน) ขาประจำ พอเห็นดอกไม้กับสภาพรถเอี่ยมอ่องเข้าก็อายม้วนไปเลย หน้าไหนหน้านั้น มีแต่ค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งที่อย่างสุภาพ น้ำลายในลำคอเหมือนแห้งไปจนขากไม่ออก ส่วนมือไม้ที่เคยซุกซนก็กลับวางอยู่บนตักเรียบร้อย นี่แหละครับ...
อานุภาพของ...ทฤษฎีกระจกแตก!

ทฤษฎีนี้ ยังมีการทดลองกันอีกในสหรัฐ
ศ.พิลิป ซิมบาร์โด นักจิตวิทยาผู้มีชื่อเสียงแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้ทำการทดลองในปี พ.ศ.2512 เพื่อแสดงให้เห็นว่าทฤษฎีกระจกแตกเป็นพฤติกรรมที่มาจากจิตใต้สำนึกพื้นฐานของมนุษย์ อีตาศาสตราจารย์คนนี้นำรถ โอลด์สโมบิล รุ่นปี 1959 ไปจอดไว้ในย่าน Bronx มหานครนิวยอร์ก โดยถอดแผ่นป้ายทะเบียนออกและเปิดฝากระโปงรถทิ้งไว้ด้วย และเพื่อเป็นการเปรียบเทียบกัน แกเอารถรุ่นเดียวกันอีกคันหนึ่งไปทิ้งไว้ใน Palo Alto, California ซึ่งเป็นย่านเศรษฐีมีสตางค์ แค่เพียง 3 วันเท่านั้น รถคันที่จอดอยู่ในย่านบรองซ์ ถูกรื้อทำลายหมดทั้งคัน ส่วนรถที่จอดอยู่ในย่านปาโล อัลโต อยู่ในสภาพเรียบร้อยเป็นเวลาเกินกว่าหนึ่งสัปดาห์

ศ.ฟิลิป จึงดำเนินการทดลองต่อไป โดยตัดสินใจใช้ค้อนทุบ ให้รถมีรอยชำรุดแล้วสังเกตว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผลปรากฏว่า รถที่จอดอยู่ในสภาพเรียบร้อยมากว่าสัปดาห์เริ่มถูกรื้อทำลาย และในเวลาต่อมาไม่กี่ชั่วโมง ก็ถูกจับพลิกหงายท้อง

มนุษย์เรานั้นตระหนักดีว่า การที่จะรักษาสิ่งใดให้คงอยู่ในสภาพที่พึงประสงค์ เป็นเรื่องสิ้นเปลืองกำลังการเงินและงบประมาณ ดังนั้น การทดลองทุบรถยนต์ให้เกิดความเสียหาย เพื่อล่อใจให้เกิดการรื้อทำลาย ก็เพื่อพิสูจน์ว่า

เมื่อเกิดสิ่งไม่พึงประสงค์ขึ้นแล้ว แต่ไม่มีใครใส่ใจใยดีรีบเข้าจัดการกับปัญหา ก็จะเป็นการจุดประกายให้การทำสิ่งไม่พึงประสงค์นั้นลุกลามต่อไปเหมือนไฟไหม้ ไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่ในสังคมที่จัดว่ามีระเบียบ เช่น ถิ่น ปาโล อัลโต แคลิฟอร์เนีย

ท่านผู้อ่านลองใคร่ครวญดูเถิดว่า กะอีแค่ปล่อยกระจกให้แตกบานเดียว ยังก่อให้เกิดความเสียหาย ความวุ่นวาย และจลาจลไปได้ทั้งหมู่บ้านแล้ว

ดังนั้น ถ้าเป็น 'ขื่อแป' ของบ้านเมือง อย่างกฎบัตรกฎหมายทั้งหลายของประเทศเรา ถ้าไม่ดูแลกันให้ดีๆ ปล่อยให้ไอ้พวกม็อบกาลีสุดอัปรีย์ มันเหยียบย่ำ กระทำเอาตามชอบใจจนเละเทะ เหมือนทำเนียบรัฐบาล อย่างที่ไอ้พวกกบฏก่อการร้ายมันทิ้งร่องรอยฝากเอาไว้ให้ผู้คนทั้งแผ่นดินได้เห็น ด้วยความสลดใจยิ่ง จนต้องมาฟื้นฟูบูรณะกันใหม่ ถึงแม้สิ่งของและภูมิทัศน์จะกลับคืนมาได้ก็ตาม แต่ร่องรอยของมัน...
ทั้งกรีดทั้งบาด เป็นร่องลึกในจิตใจของชาวไทยเราทุกผู้ทุกนาม!

ดังนั้น เมื่อยามกระจกของบ้านชาติไทย ซึ่งเป็นมาตุภูมิของชาวไทย ถูกเขวี้ยงจนแตก พวกเราที่เป็นคนรักชาติ รักบ้านเมือง เคารพกฎหมาย จึงต้องร่วมมือร่วมใจ ไม่ปล่อยให้บ้านเมืองกลายเป็น “สลัม” ตามความหมายของทฤษฎีที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟังและหากไอ้พวกกบฏ มันจะรวมหัวก่อการร้าย ทำลายชาติบ้านเมืองกันขึ้นมาอีก
เราต้องไม่ยอมให้ ‘พวกมัน’ ทำซ้ำอีกเป็นอันขาดเชียวนะครับ!

น่าเสียใจตรงที่ชาวไทยจะไปคาดหวังจะให้พวกทหารมาช่วยทำให้เลย เพราะที่ผ่านมาหลายเดือนนี้ ประชาชนเห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า คนพวกนี้เขาไม่รู้จักหน้าที่ ขนาดผู้ก่อการร้ายยึดทำเนียบรัฐบาล ห่างจากที่ตั้งกองทัพบกและกองทัพภาคที่หนึ่งไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตร แต่พวกนายทหารบังคับบัญชา...
...กลับวางตัวเพิกเฉย ล่องลอยอยู่เหนือปัญหา งอทั้งมือ งอทั้งตีน ไม่รู้ร้อนรู้หนาว!

ใช่แต่แค่นั้น กลับมีข่าวร่ำลือกันหนักแม้ในสื่อต่างประเทศว่า นอกจากไม่ช่วยกันรักษาชาติบ้านเมือง ยังถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลัง ทั้งชักทั้งเชิด ให้ไอ้พรรคการเมืองที่มันหนุนการก่อการร้าย จนเขารู้กันไปทั้งโลก ให้ขึ้นมามีอำนาจบริหารประเทศ โดยไม่ยินดียินร้ายต่อสายตาชาวไทย ทั้งไม่ใส่ใจใยดีต่อสายตาของสังคมนานาชาติเลยแม้แต่น้อย
คิดว่าผู้คนในโลกที่เป็นอารยะแล้ว เขาจะไม่กดดันหรืออย่างไร?

ต้องพูดกันแบบชัดเจนต่อไป เหมือนปลิ้นหนังหุ้มหัวออกมาล้างให้ดุเดือดถึงเลือดเข้าเลือดออกอีก แฟนๆ ที่ชอบความมัน(ส์) แบบ “วาทตะวัน” ต้องคอยติดตามกัน!

ใช่แต่กองทัพบก แม้กองทัพอากาศก็ไม่ต่างอะไรกันเลย เพราะไอ้พวกกบฏและก่อการร้ายมันเฮโลบุกยึดถิ่นดอนเมือง ฐานสำคัญของทัพฟ้า ที่ ประมุข แสงอร่าม แต่งเพลงเอาไว้ ตั้งแต่เป็นนักเรียนนายเรืออากาศว่า

“เรืออากาศมีดอนเป็นมารดา มอบชีวาสุกใสให้รุ่งเรือง...” ...และ...“ลูกดอนมีภาระมั่นอันผ่องใส คือปกป้องคุ้มครองอธิปไตย”
จึงอยากจะถามกันทื่อๆ อย่างลูกผู้ชายชาติไทยด้วยกันว่า

“ไอ้พวกกบฏก่อการร้าย มันบุกเหยียบหน้าถึง ‘ดอนเมือง’ ถิ่นที่เป็นมารดาของ นายเรืออากาศและทหารอากาศทั้งปวง แล้วทำไมพวกเอ็งจึงทำเป็นง่อยแดก ไม่ยอมกระดิกกระเดี้ย เข้าช่วยเหลือชาติบ้านเมืองกันบ้าง?...
...เห็นเอาแต่บินลาดตระเวน เหวี่ยงวงสวิง สนุกสนานกันอยู่แต่ในสนามกอล์ฟ
‘ธูปะเตมีย์’ แล้วยืนมองดูพวกมันยึดและรุมกระทืบ ‘ดอนเมือง’ ซึ่งเป็น ‘ดอนแม่’ ของพวกเอ็งหน้าเฉยตาเฉย อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรกันเลย...

...แล้วอย่างนี้จะให้ชาวบ้าน เขาคิดกันไงกะพวกเอ็งวะ!!!??