ที่มา ประชาทรรศน์
* ม็อบโกเต๊กซ์ตัวเร่งตกงาน-ศก.ไทยติดลบ
“ณรงค์ชัย อัครเศรณี” ประเมินความเสียหายจากการยึดสนามบินของม็อบชั่วพันธมิตรฯ ระบุเฉพาะการท่องเที่ยวรายได้หดไปกว่าครึ่ง เสียหายไม่น้อยกว่า 8 แสนล้านบาท แถมอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจน่าจะอยู่แค่ 0.75% เพราะที่ผ่านมาฝากความหวังไว้กับการท่องเที่ยวเป็นหลัก แถมการชุมนุมของ พธม. ยังเป็นตัวกระตุ้นให้คนตกงานเร็วขึ้น ขณะที่ม็อบเทวดาออกโรงฟ้องกลับ “หมอเหวง” อ้างแจ้งความเท็จ พูดหน้าตาเฉยไม่ได้ทำให้สนามบินเสียหาย การชุมนุมทุกอย่างทำไปตามสิทธิในรัฐธรรมนูญ ขู่รวดไม่เว้นตำรวจใครแตะต้อง จ่อฟ้องกลับเรียงตัว
* นปช.จี้นายกฯคนใหม่สะสางคดีม็อบพันธมิตรฯ
แม้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ จะยุติการปิดล้อมสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง พร้อมประกาศสลายตัวการชุมนุมทางการเมืองที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์โลกคือ 193 วัน ไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงทิ้งร่องรอยความเสียหายเอาไว้อย่างประเมินค่าไม่ได้ และส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน โดยไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาในการเยียวยาอีกมากน้อยแค่ไหน
มีการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจจากสำนักเศรษฐกิจต่างๆออกมามากมายโดยต่างก็มองแนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้าด้วยความกังวล
ท่องเที่ยวเจ๊ง-ศก.วอดวาย
ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี นักเศรษฐศาสตร์คนดังจาก บ.ซีมิโก อดีตประธานบริหารเอ็กซิมแบงก์และอีกหลายตำแหน่ง ได้ออกมา ให้ตัวเลขคาดการณ์ทางเศรษฐกิจล่าสุดว่า หากการเมืองยังวุ่นวายอีก อัตราเติบโตเศรษฐกิจปี 2552 อาจติดลบ
เพราะขณะนี้ประเมินว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะเติบโตแค่ 0.75% แต่ถ้ามีรัฐบาลเร็วตัวเลขอาจจะขึ้นไปถึง 1% ทั้งนี้ก่อนเกิดเหตุการณ์ปิดล้อมสนามบิน สำนักต่างๆทั้งของรัฐและเอกชน ต่างมองว่าเศรษฐกิจปีหน้าที่ถูกกดดันจากความเสี่ยงของวิกฤติเศรษฐกิจโลกและปัญหาการเมืองในประเทศระดับหนึ่ง ว่าจะเติบโตระหว่าง 2.5-5% โดยฝากความหวังไว้กับ รายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
แต่หลังจากเกิดเหตุ ตัวเลขคาดการณ์ถูกลดลงเหลือเพียง 0-2% เท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำสุดนับจากปี 2544
พธม.ทำฉิบหาย8แสนล้าน
เหตุผลที่แนวโน้มเศรษฐกิจปีหน้าไม่สดใสนัก เพราะความเสี่ยงจากการปิดล้อม 2 สนามบิน สุวรรณภูมิและดอนเมืองของพันธมิตรฯ ระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายนถึง 2 ธันวาคม ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และทำให้แนวโน้มเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ทุกอย่างพินาศในชั่วเวลาข้ามคืน จากเดิมที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้าไทย 13-14 ล้านคน ก็ลดลงเหลือเพียง 6-7 ล้านคน หรือหายไปครึ่งหนึ่งโดยประมาณซึ่งคิดเป็นมูลค่าราว 8 แสนล้านบาท
นอกจากนี้แหล่งข่าวนักวิชกากรแรงงานยังระบุด้วยว่านอกจากกลุ่มพันธมิตรฯ จะทำลายเศรษฐกิจเสียหายย่อยยับแล้ว ยังเป็นตัวเร่งให้มีปริมาณการตกงานสูงขึ้นและเร็วขึ้นอีกด้วย โดยจากประมาณการเดิมที่คาดว่าจะมีคนตกงานเฉียด 1 ล้านคนในปีหน้า ขณะที่พบว่ามีจำนวนนับแสนคนแล้วที่ตกงานและอาจสูงถึง 1.5 ล้านคนในปีหน้า
ตร.เดินหน้าเล่นงานนายทุนม็อบ
ด้านพล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า กรณีการส่งรายชื่อบริษัทห้างร้านจำนวน 66 บริษัทที่ตำรวจสันติบาลมีข้อมูลว่า อาจให้การสนับสนุนทางการเงินกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กระทำการปิดล้อมท่าอากาศยานทั้ง 2 แห่ง ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อ ปปง.เพื่อตรวจสอบ เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ยังไม่ใช่การตัดสินหรือพิจารณาแล้วว่า บริษัททั้งหมดมีการกระทำผิดจริง
โดยระหว่างนั้น หากบริษัทห้างร้านใดมีพยานหลักฐานว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มพันธมิตรฯ ก็สามารถชี้แจงต่อ ปปง.ได้ ซึ่งเมื่อตรวจสอบในทางลึกแล้ว ปปง.อาจเห็นว่ามีไม่ถึง 66 บริษัท ที่กระทำผิดตามข้อมูลของตำรวจสันติบาลก็เป็นได้ ขอให้ผู้ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่าวิตกกังวล เพราะตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ระบุไว้ชัดเจนในมาตรา 61 ว่า ถ้ากรรมการผู้จัดการ หรือ บุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลสามารถพิสูจน์ได้ว่า ตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น ก็ไม่ต้องรับผิด
ตรวจสอบรายชื่อการ์ดม็อบชั่ว
ทางด้าน พ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์ พรหมสวัสดิ์ ผู้กำกับการ สน.ดอนเมือง เปิดเผยความคืบหน้ากรณีพบศพชายถูกฆ่ามัดมือยัดใส่ถุงดำอยู่ภายในคลังสินค้าสนามบินดอนเมืองว่า ในวันนี้ทางพนักงานสอบสวนจะประสานไปยังแกนนำพันธมิตรฯ เพื่อให้มีการตรวจสอบรายชื่อการ์ดพันธมิตร ส่วนกำหนดเวลาที่จะทราบว่าเป็นการ์ดพันธมิตรหรือไม่ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ แต่ต้องตรวจสอบไปยังแกนนำผู้ที่ตนรับผิดชอบสำรวจรายชื่อและตัวบุคคลอย่างละเอียดอีกครั้ง ผู้กำกับการ สน.ดอนเมือง ยังกล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบพยานหลักฐานเพิ่มเติมขณะนี้ยังไม่สามารถระบุแน่ชัดได้ว่าผู้ตายเป็นการ์ดพันธมิตรแน่นอน เนื่องจากตรวจสอบสภาพศพผู้ตายพบเพียงแต่งกายลักษณะคล้ายการ์ดและพบเพียงแหวนรุ่นนักเรียนนายร้อยอบรม ซึ่งเป็นการทำเลียนแบบขึ้นมาเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มีญาติของผู้ตายมายืนยันศพดังกล่าว
ณัฐวุฒิจี้นายกฯ อภิสิทธิ์ฟัน พธม.
ส่วนนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รักษาการโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงจุดยืน หากได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วควรดำเนินการเอาผิดกับกลุ่มพันธมิตรฯ และ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติหลังบุกยึด สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งหากไม่ดำเนินการก็แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้สนับสนุนให้สร้างความเสียหายแก่ประเทศ พร้อมกันนี้ได้เรียกร้องไปยังอดีต ส.ส.พรรคพลังประชาชนที่ไปสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี คิดดีแล้วหรือที่ไปสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเห็นว่าท้ายที่สุดแล้วจะไม่เหลือใครแม้แต่ประชาชนที่ให้การสนับสนุน
ม็อบด้านฟ้องกลับหมอเหวง
หลังจากที่เมื่อวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำสมาพันธ์ประชขาธิปไตย ได้ไปยื่นฟ้องร้อง 24 แกนนำพันธมิตรฯ ที่ปิดสนามบินสร้างความเสียหายให้ประเทศชาติน้ะน
ในวันที่ 11 ธันวาคม กลุ่มพันธมิตรฯ ก็ได้ออกมาฟ้องแก่เกี้ยวกล่าวหาว่า นพ.เหวง แจ้งความเท็จ
โดยเมื่อเวลา 11.30 น. ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 11 ธันวาคม 2551 เวลา 11.30 น. นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความ ได้รับมอบอำนาจจาก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับพวกรวม 12 คน เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นพ.เหวง โตจิราการ ประธานสมาพันธ์ประชาธิปไตย นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ ประธานที่ปรึกษาสมาพันธ์ประชาธิปไตย นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ นายประสิทธิ์ ค่ายกนกวงศ์ นายเมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ นางทรงชัย วิมลภัตรานนท์ และนางสุนันทา ธรรมธีระ เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ร้องทุกข์กล่าวโทษข้อความอันเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 และ 173
อ้างหน้าตาเฉยไม่ได้ปิดสนามบิน
ตามคำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา เวลา 12.00 น. จำเลยที่ 1-3 ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 2-7 ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ต.จตุพร งามสุวิชากุล พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ให้สอบสวนดำเนินคดีซึ่งเป็นความผิดอาญากับโจทก์ทั้ง 12 คน ในข้อหากระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อระบบขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ ซึ่งการกระทำนั้นมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลให้กระทำการหรือไม่กระทำการใด หรือสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนอันเป็นความผิดฐานก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135 / 1 (2 )
โดยการแจ้งความร้องทุกข์ จำเลยที่ 1 กล่าวหาว่า การที่พันธมิตรฯ ปิดล้อมสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ ซึ่งได้นำชายฉกรรจ์ที่มีอาวุธครบมือเข้ายึดหอบังคับการบิน ถือว่าเข้าข่ายการก่อการร้ายสากล ที่ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจของประเทศอย่างมหาศาล และชาวต่างชาติก็ได้รับผลกระทบไม่สามารถเดินทางเข้าออกประเทศได้ และยังเป็นเหตุให้มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต้องเสียชีวิตโดยประสบอุบัติเหตุขณะนั่งรถโดยสารไปต่อเครื่องที่สนามบินเชียงใหม่ เพราะไม่สามารถขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิได้
โดยเชื่อว่าการกระทำของพันธมิตรฯ จะกลายเป็นแบบอย่างให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายสากลใช้ลอกเลียนแบบอีกด้วย ซึ่งข้อความดังกล่าวล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น เพราะความจริงแล้ว กลุ่มพันธมิตรฯ เดินทางไปที่สนามบินทั้งสองแห่งเมื่อวันที่ 25 พ.ย.เพื่อกดดันนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ที่กำลังจะเดินทางกลับจากประเทศเปรู โดยพันธมิตรฯ ไม่มีเจตนาปิดกั้นและไม่ได้เข้ายึดหอการบิน ซึ่งสนามบินสุวรรณภูมินั้น นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ประกาศปิดสนามบินก่อนที่กลุ่มประชาชนจะเดินทางไปถึงสุวรรณภูมิ ส่วนสนามบินดอนเมืองประชาชนก็ชุมนุมอยู่บริเวณนอกอาคารไม่ได้เข้าไปรันเวย์หรือหอบังคับการบิน
พูดเต็มปากไม่ได้ทำเสียหาย
ดังนั้นการกระทำของพันธมิตรฯ จึงไม่เข้าองค์ประกอบตามมาตรา 135 / 1 (2) แต่อย่างใด และหลังจากที่พันธมิตรฯ ส่งมอบสนามบินทั้ง 2 แห่งแล้ว เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ตั้งแต่เวลา 06.00 น. สนามบินดอนเมืองสามารถเปิดให้บริการตามปกติได้ โดยเที่ยวบินแรกเป็นของสายการบินไทย
นอกจากนี้ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รักษาการ รมว.คมนาคม ได้ให้สัมภาษณ์วันที่ 3 ธ.ค.ว่า ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบความพร้อมและความปลอดภัยของสนามบินสุวรรณภูมิพบว่าเครื่องมือต่างๆ ของท่าอากาศยานอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้
ดังนั้นโจทก์ทั้ง 12 คน จึงไม่ได้ทำความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม โดยจำเลยทั้งเจ็ดรู้ดีอยู่ว่า โจทก์ทั้ง 12 คนและประชาชนใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นเหตุยกเว้นความผิดตามมาตรา 135 / 1 (2) วรรคท้ายที่บัญญัติว่า การกระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือ หรือได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย
ศาลรับคำฟ้องไว้เพื่อไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ ในวันที่ 30 มี.ค.2552 เวลา 09.00 น.
ขู่ฟ้องตำรวจถ้าแจ้งข้อหารุนแรง
ภายหลังนายสุวัตร ทนายความ กล่าวยืนยันว่า การกระทำของพันธมิตรฯ ไม่ใช่การก่อการร้าย เพราะไม่มีการระเบิดทำลายระบบขนส่งใดๆ ซึ่งนอกจากคดีนี้แล้วสัปดาห์หน้าเตรียมจะยื่นฟ้อง นพ.เหวง กับพวกอีกคดีต่อศาลแขวงพระนครเหนือในความผิดฐานเดียวกันด้วยที่ได้ร้องทุกข์แจ้งความเท็จต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และในการแจ้งความร้องทุกข์นั้นหากพบว่า นพ.เหวง กับพวกได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนอีกซึ่งเป็นความเท็จ ก็จะนำคดีมายื่นฟ้องต่อศาลอาญาอีกคดีหนึ่งด้วย ซึ่งพันธมิตรฯ พร้อมจะฟ้องกลับทุกคดีหากมีการกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริง
ส่วนกรณี พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. จะเร่งดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ หลังจากที่นายเสรีรัตน์ ผอ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิร้องทุกข์ และคดีที่ นพ.เหวง กับพวก กล่าวหาว่าพันธมิตรฯ ทำผิดข้อหาก่อการร้ายนั้น นายสุวัตร์ กล่าวในวันเดียวกันนี้ว่า ตนได้ยื่นหนังสือถึง นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รักษาการนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รักษาการ รมว.มหาดไทย พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.จงรัก เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริตตามหลักนิติธรรม ในการดำเนินคดี โดยพันธมิตรฯ ยืนยันว่าการกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญที่เป็นเหตุยกเว้นความผิดตาม มาตรา 135 / 1 (2) จึงให้ยกเลิกการตั้งข้อกล่าวหาดังกล่าว ซึ่งหากยังมีการตั้งข้อหาเกินจริงเหมือนที่เคยทำมาแล้วในข้อหากบฏ พันธมิตรฯ จะฟ้องกลับอาญากับทุกคนทันที
จ้องเล่นงานจงรักถ้าฟ้องปปง.
นายสุวัตร ยังกล่าด้วยว่า สำหรับกรณีที่ พล.ต.อ.จงรัก พยายามจะยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบการบริจาคเงินให้กับกลุ่มพันธมิตร ฯ ว่าเข้าข่ายความผิดก่อการร้ายนั้น พล.ต.อ.จงรัก รู้ดีอยู่แล้วว่า การกระทำของพันธมิตรฯ ไม่ใช่ความผิดก่อการร้าย ดังนั้นหากยังจะดึงดันยื่นเรื่องต่อ ปปง. อีก พันธมิตรฯ จะฟ้องกลับ พล.ต.อ.จงรัก ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 ที่เป็นเจ้าพนักงานกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม เพื่อให้บุคคลอื่นได้รับโทษทางอาญา
แม่ค้าโอดบอยคอตสินค้าพธม.
ขณะเดียวกันมีรายงานว่านางกรุณา คำหมาย ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ พันตำรวจตรี พิชิต เขตสกุล สารวัตรเวร โดยกล่าวหาว่า ถูกนายวีรพล วีรชาติญานุกูล ซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่ตลาดนัด ยูดี บาซา ที่ตนเองได้ทำการเช่าขายสินค้า โดยกลุ่ม นายวีรพล ได้ทำการตัดกุญแจและขนทรัพย์สินของตนไป
พื้นที่ที่ตนเองเช่าอยู่ ตนได้เช่าไว้จำนวน 5 ล็อก โดยจะเปิดขายสินค้าประเภทพวกเสื้อผ้า ซีดี และได้นำสินค้าที่เกี่ยวกับพันธมิตรฯมาจำหน่ายและจ่ายแจก ร่วมกับสินค้าอื่น อาทิ สายรัดข้อมือ ต่างหู มือตบ เสื้อยืด ฯลฯ และวีซีดี
ทั้งนี้ในสัญญา ไม่ได้ระบุไว้ว่าจะต้องขายสินค้าอะไร เมื่อพบว่านำสินค้าที่เกี่ยวกับพันธมิตรฯมาจำหน่ายจ่ายแจก ทางเจ้าของตลาดนัด จึงสั่งให้เลิกขายสินค้านั้น ต่อมาตนได้ปิดร้านชั่วคราว เพื่อไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯที่กรุงเทพฯ แต่พอกลับมจะเปิดร้านเพื่อค้าขายต่อ ก็พบว่ามีคนมาจำหน่ายสินค้าแทนตนแล้ว โดยทางเจ้าของตลาด ไม่ได้แจ้งตนแต่อย่างใด
นางกรุณา กล่าวต่อว่า ตนได้กลับมาจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2551 ตนได้เข้าไปสอบถามว่าสินค้าที่ตนนำมาขายนั้นอยู่ที่ไหนแต่กลับไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งนายวรพล ให้คำตอบว่าจะยอมชดใช้เงินทุกบาทที่ได้ลงทุนไป แต่พอมาถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2551 เมื่อสอบถามความคืบหน้าอีกครั้ง กลับได้รับคำตอบว่า จะชดใช้เพียงครึ่งเดียวตนจึงได้เข้ามาแจ้งความดังกล่าว