ที่มา Thai E-News
โดย จอร์จ บางกะปิ
9 ธันวาคม 2551
ต้องรับว่ากระบวนการดันนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ โดยมีพรรค ปชป.เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ได้รับการสนับสนุนแกมขู่บังคับจากฝ่ายอำนาจนิยม ทั้งกองทัพ พันธมิตรฯ สื่อมวลชน นักวิชาการบางกลุ่ม รวมถึงกลุ่มนายทุนบางราย อาการกระเหี้ยนกระหือรือ วิ่งปาดซ้ายปาดขวาแย่งชิงการนำในการจัดตั้งรัฐบาลของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถือว่า เป็นสิ่งผิดปกติในระบบประชาธิปไตย เป็นลักษณะที่ฝืนธรรมชาติและเบี่ยงเบนหลักการอย่างน่าเกลียดน่าชัง
ชอบธรรมหรือไม่ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะเป็นนายกฯ ในสถานการณ์ที่ยังคลุมครือระหว่างความผิดกับความถูกของฝ่ายอำนาจนิยม ทั้งกองทัพ พันธมิตรฯ นักวิชาการ และแม้แต่ตุลาการภิวัฒน์
เป็นที่รับรู้โดยทั่วไปว่า นายอภิสิทธิ์ และพรรค ปชป. เป็นส่วนหนึ่งหรือมีส่วนโยงใยกับวงจรอำนาจนิยมเหล่านั้น ตั้งแต่วันแรกที่พันธมิตรฯ เริ่มออกมาเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม จนถึงวันแถลงข่าวพลิกขั้วการเมืองเมื่อวันเสาร์ที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมา และถึงวันที่เขาจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีจริงๆ ขึ้นมา ทุกคนจะเข้าใจได้ทันทีว่า นี่คือ “ดอกผล” ของการสร้างความเสียหายต่อสังคมอย่างเป็นระบบของพันธมิตรฯ ผสานกับความนิ่งดูดายของกองทัพ สื่อมวลชน นักวิชาการ และชนชั้นนำในสังคมไทยอย่างกลมกลืน
สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นมาในประเทศเกือบ 6 เดือน ในที่สุดก็คือได้รับคำตอบว่า “นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯ”
พันธมิตรยึดถนนหลวงและทำเนียบรัฐบาล บุกรุกสถานที่ราชการ ก่อการร้ายในเมืองขนาดย่อมๆ จนถึงการบุกยึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิและดอนเมือง เพื่อให้นายอภิสิทธิ์ขึ้นเป็นผู้นำประเทศอย่างชอบธรรมและถูกต้องตามกฎหมาย!
มีคำถามมากมายจากมิตรต่างแดน การกระทำของพันธมิตรฯ ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ผิดกฎหมายของประเทศไทยหรือ?
ผมตอบอย่างข่มขื่น “ไม่ผิดมั้ง” เพราะไม่ว่าจะตั้งข้อหาอะไรกับพวกนี้ พวกเขาก็หลุดพ้นจนหมด มิหนำซ้ำยังทรงอำนาจทางการเมืองถึงขั้นที่ขู่ว่า ถ้าพรรครัฐบาลขั้วเดิมกลับมาบริหารประเทศอีกครั้งก็จะกลับมาแสดงศักดานุภาพถล่มเมืองเป็นคำรบสอง ผลเป็นไงครับ ทั้งกองทัพ สื่อมวลชน นักวิชาการ นักธุรกิจ แสร้งทำเป็นตื่นตระหนกตกใจสุดขีด ต่างร้องเสียงหลงว่า “พลิกขั้วๆๆ” แทนที่จะช่วยกันประณามคนชั่ว กลับกลัวตัวสั่นจนต้องยกสังคมให้พวกนี้ปกครอง
เมื่อคนชั่วร้ายบุกยึดสนามบินได้รับอภิสิทธิ์ไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ แถมยังมีพลังในการต่อรองให้มีการพลิกขั้วการเมือง สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า สังคมไทย พ.ศ.นี้ กลายเป็นสังคมการแบ่งชนชั้นย้อนหลังกลับไปก่อน ปี 2475
พันธมิตรฯ ภายใต้การนำของนายสนธิ ลิ้มทองกุลและพลตรีจำลอง ศรีเมือง เคลื่อนไหวอย่างเป็นคู่ขนานกับพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รุกตัวสู่เป้าหมายอย่างเลือดเย็นเมื่อสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจและภาพพจน์ของประเทศไทยอย่างยับเยินจนยากจะฟื้นฟูภายในเวลาอันสั้น
น่าประหลาดที่กองทัพ สื่อมวลชน นักวิชาการ แม้แต่ตุลาการทั้งหลาย ไม่เห็นว่าการกระทำของพวกเขาเป็นความผิด
รัฐมนตรีท่านหนึ่งถึงกับสบถอย่างเหลืออด “ม๊อบมีเส้น” อธิบายตัวตนของกระบวนการนี้อย่างแจ่มแจ้ง
และคำถามอันแหลมคม “ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งจะกระทำแม้สักเศษเสี้ยวของกระบวนการชั่วร้ายนี้ ผลจะเป็นอย่างไร” คำตอบก็คือ “คงตายกันเป็นพัน” ดังปรากฏเป็นรูปธรรมที่กลุ่มคนเสื้อแดงไปล้อมศาลปกครองในวันตัดสินคดียุบพรรค เมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา แล้วมีทหารหมวกแดงจากป่าหวายพร้อมอาวุธครบมือเดินเข้ามาควบคุมสถานการณ์อย่างองอาจสมชายชาติทหาร!
ทั้งนี้ ทุกอย่างสรุปรวบยอดเมื่อวานนี้ต่อคำถามที่นายจตุพร พรหมพันธ์ สส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย หนึ่งในพิธีกรรายการความจริงวันนี้ ที่ส่งไปยังนายอภิสิทธิ์เกี่ยวกับการไม่มีใบ สด.43 เหมือนชายไทยทั่วไป นั่นหมายถึง การหลบหนีไม่ไปเกณฑ์หารหรือขอสิทธิ์ยกเว้นการเกณฑ์ทหารตามกฎหมายกำหนดของเขาว่า จะอธิบายให้กระจ่างแจ้งอย่างไร เพราะเป็นการกระทำที่แม้จะเนิ่นนานจนหมดอายุความไปแล้ว แต่ชอบธรรมแค่ไหนที่เขาจะเข้ารับตำแหน่งนายกฯ โดยไม่มีการอธิบายเรื่องนี้ให้ผู้คนเข้าใจและสิ้นสงสัย
ไม่มีคำตอบจากปากนายอภิสิทธิ์ มีแต่คำอธิบายคล้ายการปัดความรำคาญจากสมาชิกพรรค ปชป.บางราย ร้ายไปยิ่งกว่านั้น ยังมีคำปกป้องจากกองทัพผ่าน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบอกในทำนองเย้ยหยันรากหญ้าทั่วแผ่นดิน “เป็นเรื่องไร้สาระ” สำทับด้วยเสียงของนายโคทม อารียา นักวิชาการชื่อดังที่ออกมาตัดบทว่า “อย่ามาโจมตีด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ ผมก็ไม่ได้เกณฑ์ทหารเพราะต้องไปเรียนต่างประเทศ แต่ผมก็ช่วยชาติได้”
กรณีของนายโคทม อารียา ผมไม่เคยสนใจเพราะคนๆนี้ก็อยู่ฟากฝั่งเผด็จการมาตลอด และเขาอาจมีคำอธิบายพร้อมอยู่แล้วก็ได้ ที่สำคัญ เขาไม่ได้ถูกเสนอให้เป็นนายกฯ ที่จะต้องปกครองคนไทยในสังคมที่หลากหลาย มีทั้งคนจนสุดจนถึงรวยสุด...ลูกชาวนาไม่มีจะกินจนถึงลูกพระยามีเงินพันล้าน
ลูกคนจนหนีทหารถูกสัสดีตามล่าจนเสียผู้เสียคน เจอที่ไหนแจ้งตำรวจจับเหมือนหมูเหมือนหมา ไม่มีใครกล้ารับเข้าทำงานแม้แต่ตำแหน่งยาม กว่าจะหมดอายุความ เขาคนนี้ก็อายุกว่า 40 ปี หมดโอกาสที่จะเริ่มต้นทำงานที่มั่นคงใดๆ ทั้งสิ้น อย่างดีก็แค่หากินไปวันๆ
ผมไม่โทษคนหนีเกณฑ์ทหารหรอกครับ เพราะหากเขาหนีเขาก็ต้องหมดอนาคต รับราชการและรัฐวิสาหกิจไม่ได้ เอกชนก็ไม่รับ มิหนำซ้ำ จะต้องอยู่แบบหลบๆซ่อนๆ ญาติผู้พี่ของผมคนหนึ่งนี่แหละ หนีการเกณฑ์ทหารเนื่องจากไปมีครอบครัว เขาก็คิดตามประสาปุถุชน ถ้าเขาไปเป็นทหารแล้ว ใครจะเลี้ยงลูกเมียเขา จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คิดสั้นๆ...จนถึงวันนี้เขาต้องเป็นคนไม่มีหลักแหล่ง มีสถานะในสังคมในระดับเกือบต่ำสุด
ตอนที่คุณแม่ของเขาเสียเมื่อหลายปีก่อน เขาต้องแอบไปเผาแม่ตอนกลางคืน เพราะสัสดีจ้องจับเขาอยู่ตลอดเวลา มันน่าอนาถใจสุดจะบรรยาย
เมื่อมาเปรียบเทียบกับกรณีของนายอภิสิทธิ์ เขาไม่เคยปฏิเสธ ไม่ได้หนีเกณฑ์ทหาร เพียงแต่บอกว่าได้รับยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากสมัครไปเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อย นั่นยิ่งน่าสับสน เพราะการจะเข้ารับราชการเขาต้องผ่านการเกณฑ์ทหารหรือได้รับการยกเว้นการเกณฑ์ทหารด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งจะปรากฏบนเอกสารสำคัญที่เรียกว่า สด.43 แต่เขาบอกว่าไปเป็นอาจารย์โรงเรียนทหารจึงได้รับการยกเว้นไม่ต้องเกณฑ์ เป็นตรรกะที่ไม่เข้าท่าและยิ่งจะนำพาให้ผู้คนมองเห็นความฉ้อฉลในวงการราชการ ที่สำคัญ คำว่า “อภิสิทธิ์ชน” “ลูกท่านหลานเธอ” “เส้นใหญ่” มันไม่ใช่แค่คำพูดประชัดประชัน แต่มันเรื่องจริงที่ฝังรากลึกในสังคมจนถึงทุกวันนี้
ยิ่งมาได้ยินคำพูดของบุคคลชั้นนำในสังคม ไม่ว่าจะเป็นโคทม อารียา หรือ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิดซึ่งพูดทั้งๆที่อยู่ในเครื่องแบบทหารเต็มยศ “เรื่องไร้สาระ” ต่อกรณีการหนีเกณฑ์ทหาร มันจึงทำให้ผมและคนอีกมากมายในสังคมตาสว่าง “ประเทศนี้มันเป็นสังคมแห่งชนชั้นโดยแท้” สิ่งที่เราได้ยินมาตลอดชีวิตว่า “คนไทยมีสิทธิและเสรีภาพเสมอภาคกัน” มันคือคำโกหกของผู้ปกครองประเทศมาทุกยุคทุกสมัย
ผมซึมซับคำโป้ปดเรื่องสิทธิเสรีภาพที่เทียมกันในสังคมมาเนิ่นนาน แต่ผมก็พยายามกล้ำกลืนเพราะคิดว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้ บางครั้งก็เอาใจช่วยผู้ปกครอง “พวกเขาอาจจะกำลังทำงานอยู่เพื่อให้เราเท่าเทียมกัน” พยายามมองโลกในแง่ดีว่า ไม่นานคงจะสัมผัสกับสิ่งนี้ แต่วันนี้ผมกำลังจะย่างเข้าสู่วัย 50 ผมกลับเห็นสิ่งที่เป็นตรงกันข้าม
“ความเท่าเทียมในสังคมไม่มีจริงๆ” สถานะบุคคลขึ้นอยู่กับชนชั้น...คนจนคนรากหญ้า ทำอะไรก็ผิดหมด แต่หากคนชั้นนำทำในสิ่งเดียวกัน เขาจะเป็นฝ่ายที่ชอบธรรม
การที่นายอภิสิทธิ์ได้รับการวางตัวที่จะเป็นผู้นำคนต่อไปทั้งๆ ที่ผู้คนยังสงสัยในพฤติกรรมที่เกี่ยวโยงกับกลุ่มพันธมิตรฯ โดยมีกองทัพ สื่อมวลชน คนชั้นนำช่วยกันยืนยันความชอบธรรม แม้แต่เรื่องการหนีเกณฑ์ที่ลูกชาวบ้านอาจจะถูกจับขัง 6 เดือนไปแล้วตั้งแต่โผล่หน้าออกมาให้สังคมแลเห็นเป็นครั้งแรก กลับมีคนในกองทัพออกมาปกป้องเสียเอง มันก็เป็นภาพสะท้อนว่า คนชั้นล่างถูกหลอกมาตลอดชีวิตว่า ประเทศนี้มีสิทธิภาพและเสรีภาพเสมอภาคกันไม่ว่าจนหรือรวย ชาวนาหรือพ่อค้า ข้าราชการ ฯลฯ
บางสิ่งเราเพ้อฝันว่า เป็นสิ่งวิเศษกลับกลายเป็นภาพมายาที่ทำให้หลายคนต้องกลืนเลือดอย่าเจ็บช้ำ
ผู้คนมากมายที่บอกผมอย่างมั่นใจ “เชื่อเถอะ คนที่บุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก” ผมไม่อยากบอกเขาเลยว่า “ฝันไปเถอะ พวกเขาไม่มีวันจะถูกลงโทษ คนที่วิพากษ์วิจารณ์พวกเขาต่างหากอาจจะกลายเป็นผู้ต้องหาเสียเอง”
“ปรากฏการณ์อภิสิทธิ์” ที่คนหนีทหารคนหนึ่งจะก้าวไปสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยนี่แหละ จะเป็นการเปิดผ้าม่านทำให้คนไทยทั้งมวลรวมถึงคนทั่วโลกได้เห็นภาพที่แท้จริงของสังคมไทยที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาเลยตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน