WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, December 9, 2008

การเมืองไทยยุคหลังปี 2551 ไม่มีอนาคตและที่ยืนให้กับ สส.ที่ทรยศต่อประชน

ที่มา thaifreenews

บทความโดย...ลูกชาวนาไทย

ผมไม่ได้ตกใจกับข่าวการทรยศของ สส.กลุ่มเนวิน โดยหันไปสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 เท่าใดนัก เพราะหากพวกเขาทรยศจริงๆ พวกเขาก็ไม่ได้ทรยศต่อทักษิณ แต่เป็นการทรยศต่อประชาชนที่ลงคะแนนให้พวกเขาในวันที่ 23 ธันวาคม 2551 ต่างหาก เมื่อพวกเขาทรยศต่อประชาชน สำหรับยุคนี้ที่ประชาชนคนรากหญ้ามีการตื่นตัวทางการเมืองสูงมากแล้ว การเช็คบิลของประชาชนในการเลือกตั้งครั้งต่อไปก็คงตามมา และคงเป็นการล้างบางทั้งยวง ยิ่งกว่าคำพิพากษาตัดสิทธิ์ทางการเมืองของ ศาลรัฐธรรมนูญเลยทีเดียว

ยุคศตวรรษที่ 21 ไม่มีที่ยืนให้กับนักการเมืองที่ทรยศต่อประชาชนหรอกครับ ชะตากรรมของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสุวิทย์ คุณกิติ คงมีให้เป็นเป็นตัวอย่างอยู่อย่างชัดเจน

คนทรยศไม่ว่าสมัยใดของประวัติศาสตร์ไม่มีทางเจริญหรอกครับ

หากใครสังเกตพฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชน ตั้งแต่การเลือกตั้งใหญ่หลังปี 2540 เป็นต้นมา จะเห็นแนวโน้มได้อย่างชัดเจนว่า "พฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชนเปลี่ยนไป" และเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เรียกภาษาวิชาการว่า เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติ เลยทีเดียว คือ หลังจากปี 2540 เป็นต้นมา ประชาชนจะมีแนวโน้มที่จะเลือกพรรค มากกว่าเลือกตัวบุคคล ซึ่งหากเราดูผลการเลือกตั้งใหญ่ ปี 2544, 2548,2549 และ 2550 จะเห็นได้ว่าประชาชนเลือกพรรคมาโดยตลอด โดยเฉพาะเขตภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคใต้ มีเพียงบางจังหวัดในภาคกลาง เช่นสุพรรณบุรี อ่างทอง เท่านั้น ที่ประชาชนยังนิยมเลือกตัวบุคคลมากกว่าพรรค

การทรยศของ สส.กลุ่มเพื่อนเนวิน นั้นตั้งอยู่บนความหวังของพฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชน ก่อนปี 2540 ที่คนจะเลือกเป็นตัวบุคคลมากกว่าเลือกพรรค และพวกเขาคิดว่า เขาสามารถคุมเสียงของคนอีสานได้ พวกเขาคิดว่าคนอีสานเลือกตัวบุคคล ไม่สนใจพรรค นโยบายพรรค พวกเขาก็จะสามารถเอาเงินไปฟาดหัววันเลือกตั้งได้ จ่ายหัวละ 1,000 บาท หิ้วเงินไปทุ่มวันเลือกตั้งก็ชนะแล้ว

หรือไม่พวกเขาก็ใช้แบบจำลองของ “สุพรรณบุรีโมเดล” เพื่อดึงคนที่นิยมเลือกพรรคไปแล้วให้กลับมาเลือกตั้งบุคคล โดยพัฒนาจังหวัดแบบสุพรรณบุรี แบบเดียวกับนายบรรหาร ศีลปะอาชา

นับว่าเป็นความคิดที่ย้อยหลัง ทวนเข็มพัฒนาการทางการเมืองอย่างยิ่ง และยึดติดกับสภาพของสังคมยุคก่อนปี 2540 และมองว่า “มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์โลกที่มีการปรับตัวเร็วที่สุด” จะไม่มีการเปลี่ยนพฤติกรรมเลย ซึ่งความเชื่อนี้ ขัดแย้งกับธรรมชาติของมนุษย์ที่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และมีการเรียนรู้ตลอดเวลา และมนุษย์นั้นเมื่อเรียนรู้ไปแล้ว พฤติกรรมจะเปลี่ยนไปอย่างถาวร

ก็ลองดูครับว่าทฤษฎีผมจะผิด หรือเปล่า และผมเชื่อว่า "บารมีของนายเนวิน ชิดชอบต่อคนอีสานนั้น ต่ำกว่าบารมีของนายบรรหารต่อคนสุพรรณบุรีมาก" โอกาสที่จะรักษาฐาน แบบคนศรัทธาตัวบุคคลมากกว่า พรรคนั้นน้อยมาก

สาเหตุที่คนเปลี่ยนพฤติกรรมการเลือกตั้งนั้นอธิบายไม่ยาก ส่วนหนึ่งมาจากการเรียนรู้เอง หลังปี 2540 ที่ รัฐบาลของนายกฯทักษิณ ชินวัตร สร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ ทำให้คนศรัทธา เลือกพรรคไทยรักไทยจนเกินครึ่งหนึ่ง และหลังจากนั้นคนก็เรียนรู้ว่า การลงคะแนนเป็นพรรคนั้น ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ และอำนาจต่อรองของเขาเป็นอย่างยิ่ง คนรู้ว่า หนึ่งคะแนนเสียงของพวกเขานั้นมีคุณค่า สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของพวกเขาได้ เมื่อพวกเขาออกเสียงแบบเดียวกันทั้งภูมิภาค รัฐบาลก็จะทำทุกอย่างตามที่พวกเขาต้องการ และ สส.ในส่วนตัวบุคคลนั้นมีความหมายน้อยกว่าพรรคมาก เพราะ สส.โดยตัวบุคคลไม่สามารถผลัดดันนโยบายอะไรที่เป็นรูปธรรมได้ ผลประโยชน์จากการเลือก สส.รายบุคคล ก็แค่เงินวันไปเลือกตั้ง กับ ถนนหนทางเล็กน้อยเท่านั้นเอง ซึ่งปัจจุบัน มี อบจ./อบต. ตอบสนองไปหมดแล้ว

ชาวบ้านต้องการสวัสดิการสังคม เช่น การรักษาพยาบาล กองทุนหมู่บ้าน หรือนโยบายประชานิยมต่างๆ แบบรัฐบาลของนายกฯทักษิณ ชินวัตรมากกว่า ซึ่งการจะได้นโยบายแบบนี้ต้องเลือกเป็นพรรค ไม่ใช่ตัวบุคคล

ประการที่สองที่ทำให้พฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชน เปลี่ยนไปคือ ประชาชนเสียงส่วนใหญ่ในปี 2550 นั้นไม่ใช่ประชากรกลุ่มเดียวกับ ประชากรปี 2520-2540 อีกต่อไปแล้ว คนส่วนใหญ่ในสังคมยุคนี้ เกิดหลังจากปี 2500 ซึ่งหากพวกเขาเกิดในปี 2500 จนถึงวันนี้ พวกเขาก็อายุ 50 ปีแล้ว และกลายเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมในทุกจังหวัดไปแล้ว

คนที่เกิดหลังปี 2500 ในชนบท จะมีโลกทรรศน์ที่แตกต่างจากประชากรที่เกิดก่อนหน้านี้ เพราะพวกเขาจะเข้าเรียนในระบบโรงเรียนสมัยใหม่ ที่เกิดขึ้นและขยายตัวเข้าไปถึงทุกหมู่บ้าน หลังยุคแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปี 2504 ในรัฐบาลจอมพลสฤษฏ์ ธนะรัช ระบบโรงเรียนสมัยใหม่ แยกเด็ดขาดจากวัด ทำให้โลกทรรศน์ของคนชนบทยุคใหม่ เจือจางแนวคิดแบบดังเดิมไปมาก พวกเขามีความคิดใกล้เคียงกับคนชั้นกลางในเมืองมากกว่า

ความหวังหนึ่งของ สส.กลุ่มเพื่อนเนวิน คือ หากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สามารถอยู่ได้ 3 ปี พวกเขาก็สามารถเจือจางศรัทธาของประชาชนที่มีต่อนายกฯทักษิณลงไปได้ คนก็จะไปเลือก ตัวบุคคลมากกว่าพรรค เหมือนเดิม ผมว่าช่างเป็นความคาดหวังที่โง่เขลาอย่างยิ่ง

รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์นั้น ไม่มีทางที่จะเรียนแบบนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยได้เลย ถึงจะเรียนแบบบางอย่าง ก็เป็นประชานิยมจอมปลอม ที่หลอกลวงคนรากหญ้าที่ฉลาดขึ้นมากแล้ว

ทำไมผมคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถดำเนินนโยบายประชานิยมได้ ผมไม่คิดว่าจะเกี่ยวกับความสามารถหรือไม่ใช่ความสามารถของพรรคประชาธิปัตย์ แต่มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับ “อุดมการณ์ทางการเมือง” ของประชาชนที่เป็น “ฐานเสียงสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์” ต่างหาก

ฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นฐานเสียงที่สำคัญคือ คนชั้นสูง/คนชั้นกลาง ที่ต่อต้านนโยบายประชานิยม คนเหล่านี้ ไม่ชอบนโยบายประชานิยม อาจเห็นว่าเป็นนโยบายที่ไม่ดีอะไรก็แล้วแต่ และพวกเขาก็ต่อต้านพรรคไทยรักไทย ที่ใช้นโยบายนี้ ดังนั้นการที่พรรคประชาธิปัตย์จะดำเนินนโยบายประชานิยม เพื่อเอาใจคนรากหญ้าที่เป็นฐานคะแนนของ “กลุ่มเพื่อนเนวิน” นั้นเป็นไปได้น้อยมาก อย่างมากเขาก็อนุมัติงบประมาณให้กลุ่มเนวิน พัฒนาจังหวัด เช่น ถนนหนทางเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ความต้องการของคนรากหญ้า

คนรากหญ้าต้องการนโยบายประชานิยม

ดังนั้น รัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่มีทางที่จะเอาใจคนทั้งสองกลุ่มนี้ โดยไม่เสียคะแนนนิยมไปอย่างแน่นอน อีกอย่างนโยบายประชานิยม ต้องหาเงินเข้าคลังเก่ง แต่ภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ปชป. ไม่มีทางทำได้แน่นอน และสุดท้ายก็มุ่งที่จะรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจอยู่ จนไม่มีนโยบายอะไรใหม่ออกมากที่จะทำให้ กลุ่มเพื่อนเนวินรอดพ้นจากการถูกสังหารหมู่ทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้

คนรากหญ้าที่โดน สส. กลุ่มเพื่อนเนวินทรยศ จะไม่มีทางยอมให้อภัยและผ่อนปรนให้กับ กลุ่มเพื่อนเนวินที่ทรยศต่อพวกเขา หันไปสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้เป็นนายกฯอย่างแน่นอน คนอีสานนั้นเกลียดพรรคของคนใต้ เข้ากระดูกดำ เหมือนที่คนใต้เกลียดพรรคไทยรักไทย เข้ากระดูกดำ การที่ สส.ของคนอีสานหันไปสนับสนุนพรรคที่เขาเกลียด ย่อมเป็นความคลั่งแค้นอย่างที่ยากที่จะมีอะไรไปทัดทานผ่อนปรนลงไปได้

อีกอย่างพรรคเพื่อไทย ที่เป็นทายาทตัวจริงของพรรคไทยรักไทย ของนายกฯทักษิณ ชินวัตร ต้นตำรับประชานิยมตัวจริงก็ยังอยู่ และก็จะหาเสียงย้ำโจมตี กลุ่มเนวินที่ทรยศตลอด สุดท้ายพวกทรยศก็คือ ซากทางการเมืองดีๆ นี่เอง

ไม่ว่าจะคิดแค่ระยะกลางหรือระยะยาว การกระทำของ สส.กลุ่มเพื่อนเนวิน คือ การฆ่าตัวตายทางการเมืองชัดๆ อนาคตทางการเมืองได้จบลงไปแล้ว พวกเขาไม่มีที่ยืนในเวทีการเมืองในอนาคตอีกต่อไปแล้ว

หากพวกเขาอยากไปสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ พรรคที่คนอีสานเกลียดเข้ากระดูกดำ พวกเขาควรเรียกค่าตัวให้สูงเข้าไว้ สูงกว่าตัวเลขที่ผมได้ยินคือ 40 ล้าน กินคำเดียวให้ใหญ่พอ เพราะต่อไปนี้ เกียรติยศ ศักดิ์ศรี บารมี ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างหนึ่งนอกจากเงินตรา ก็ได้สูญสิ้นไปอย่างแน่นอนแล้ว เงิน 40 ล้าน แลกกับเกียรติภูมิ หากคิดว่ามันคุ้ม ก็เชิญตามสบาย

ประชาชนอย่างพวกผม ก็จะได้ล้างบาง ส.ส. แบบนี้ให้หมดสิ้นไปเสียที เรามีคนอื่นๆ ในเขตเลือกตั้งที่พร้อมจะเป็นตัวแทนของพรรคคนรากหญ้าอีกเยอะครับ