WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Sunday, January 18, 2009

นายอานันต์ จันก๋าวี “ผมได้เห็นสันดานดิบพวก พธม.” ( คอลัมน์ : เหยื่อพันธมิตรฯ )

ที่มา ประชาทรรศน์

คอลัมน์ : เหยื่อพันธมิตรฯ
เจษฎา เมตตา



ช่วงเวลาอันเลวร้าย 193 วัน ที่ตามมาด้วยความ “หายนะ” ของบ้านเมือง จากน้ำมือของ “พันธมิตรฯ” มุ่งหมายก่อการร้ายสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง เรียกร้องสิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยเอาบ้านเมืองเป็นตัวประกัน หลังจากที่ก่อนหน้านั้นเคยเปิดทางให้เผด็จการทหารเข้ามาก่อกรรมทำเข็ญจนสำเร็จเมื่อปี 2549
ถึงแม้ว่าการก่อกรรมทำเข็ญครั้งล่าสุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่บาดแผลและความบอบช้ำได้ทิ้งร่องรอยไว้มากมาย จนเกือบถือได้ว่าเป็นกลียุคของประเทศชาติก็คงไม่ผิด กลุ่มคนทั้งเก้าผู้อยู่เหนืออำนาจรัฐและกฎหมาย ได้ฝังรากลึกไว้ชอนไชระบอบประชาธิปไตยและสังคมไทยอย่างมิอาจประเมินความเสียหายได้หมดสิ้น
ผลกระทบเหล่านั้นกระเทือนไปถึงทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจที่ต้อง “ฉิบหาย” ไปหลายแสนล้านบาท ซึ่งยังไม่นับถึงชื่อเสียงของประเทศที่ต้อง “อับอายขายหน้า” ไปถึงระดับนานาชาติ
ด้านสังคม ที่ต้องเผชิญหน้ากับสารพัดภัยคุกคาม โดยเฉพาะการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งส่งผลไปถึงเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่มีความคิดแตกต่างทางการเมือง
อิทธิพลทั้งหมดทั้งหลายเหล่านี้ ยังคุกคามถึง “ความยุติธรรม” ที่ไม่อาจยื่นมือเข้าไปจัดการพวก 9 มารสังคมเหล่านี้ได้ รัฐบาล หน่วยงานความมั่นคง หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย ยังต้องพลาดท่ากลายเป็น “แพะรับบาป” ในสายตาของสังคม
“เหยื่อพันธมิตรฯ” จึงเป็นเวทีบอกเล่าเรื่องราวความคับแค้นของพวกเขาเหล่านั้น ที่ไม่สามารถระบายออกไปให้ใครได้รับรู้ว่า “ฝันร้ายที่พวกเขาต้องเผชิญ พฤติกรรมความเลวระยำที่พวกเขาได้รับจนไม่สามารถจะลำดับชั้นได้ว่าควรจะอยู่ขั้นไหน” จากน้ำมือของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
นายอานันต์ จันก๋าวี ชายผู้เกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการพลาดท่าเสียทีให้พวกเดรัจฉานสังคม ภายใต้ชื่อ “การ์ดพันธมิตรฯ” ซึ่งคอยทำหน้าที่เป็นหัวหมู่ทะลวงฟันทุกคนที่มีแนวคิดไม่ตรงกับพวกเขา ซึ่งถูกล้างสมองมา “ให้เชื่อทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่มีข้อโต้แย้ง”!!!...
นายอานันต์ เราให้ฟังว่า “ผมเป็นชาว จ.เชียงราย เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ พักอยู่แถวๆ ลาดพร้าว เป็นคนที่ชอบติดตามเรื่องการเมืองมานานแล้ว ก็เลยออกมาร่วมชุมนุมที่ท้องสนามหลวง
โดยคืนก่อนเกิดเรื่อง เวลาประมาณ 23.50 น. หลังจากที่ผมมาร่วมรำลึกถึงวีรชนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จึงย้อนกลับไปที่ท้องสนามหลวง จนเลิกการชุมนุมก็เดินมาตามทางคนเดียว กะว่าจะมากินข้าวแถวอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แล้วก็เดินมาถ่ายรูปเก็บไว้ด้วย
เสร็จแล้วผมก็มายืนรอรถเมล์ เพื่อกลับลาดพร้าว ระหว่างนั้นจู่ๆ ก็มีชายฉกรรจ์ 3 คนขับรถเก๋งมาเทียบตรงฟุตบาธ ซึ่งคนหนึ่งลงมาจากรถเดินตรงมาหาผม เอาด้ามปืนตีที่เบ้าตาผม และเตะผม อีกคนเข้ามาล็อกหลัง หลังจากที่เขาซ้อมผมจนสะใจแล้วก็เอาตัวผมขึ้นรถไป ตอนที่พาไปเขาก็ล็อกแขนคนละข้าง แล้วเอาปืนจี้เอวคนละกระบอก จากนั้นพากลับเข้าไปสะพานมัฆวานฯ แล้วเข้าทำเนียบเลยครับ เข้าไปที่เต็นท์ของเขาที่เป็น สน.พันธมิตรฯ นี่แหละครับ
พอไปถึงเขาก็พาตัวผมไปที่ห้องแรก ซึ่งผมคิดว่าเป็นห้องสอบสวน เข้าไปในห้องแล้วต้องรายงานตัวก่อนครับ รายงานตัวเสร็จเขาก็ถามกันเองว่าได้ตัวผมมาจากไหน อีกคนก็บอกว่าได้มาจากปากทาง ตรงห้องสอบสวนนั้นจะมีลานกว้างอยู่ มีประตูทางเข้า เขามีกันอยู่เป็นสิบคน
เขาเอาตัวผมมาทิ้งไว้แล้วพวกที่พาผมมาเขาบอกว่าเดี๋ยวจะไปล่าอีก ต้องออกไปล่าอีก แล้วเขาก็ออกไปจากเต็นท์
ผมอยู่ที่นั่นถูกสอบแล้วสอบอีกหลายขั้นตอน บางคนอยากจะทำร้ายร่างกายก็เดินเข้ามาทำร้ายดื้อๆ บางคนเดินมาตบแล้วและพูดจาหยาบๆ คายๆ ซึ่งมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
จากห้องรายงานตัวเต็นท์นั้นจะแบ่งออกเป็น 3 ล็อก ล็อกที่ 2 จะเป็นห้องไต่สวน ก็มีคนหลายคนเข้ามาสอบถามผมอีก ตรงนี้ดุมาก พูดไม่ถูกใจก็ทำร้ายร่างกาย มีการเอามีดเอาปืนออกมาข่มขู่และทุบตีผมตลอดเวลา บางทีก็ใช้ไม้ธงฟ้าตีหน้าแข้ง แล้วก็มีกระบองพันผ้าคอยหวดเข้าตามลำตัว ตอนที่เขาซักถามผมนั้นมีคนเอามีดแบบมีดเดินป่า จ่อไว้ที่ใบหู พอพูดไม่ถูกใจเขาก็ทำท่าจะเฉือนจนหูผมเป็นแผล
เขาถามว่ารับมากี่ร้อย ผมก็ล้วงกระเป๋าให้ดูว่าผมเหลืออยู่ 20 บาท ผมจะกลับบ้าน ผมไม่ได้รับเงินมาจากใคร ผมมาของผมเอง เขาก็บอกว่า “ไม่จริง ไอ้ห่าโกหก มึงต้องรับมา ไม่อย่างนั้นมึงจะมาทำไม”
พอผมตอบว่า “ไม่” อีกครั้ง คราวนี้พวกเขาก็เตรียมกระบอกเหมือนที่ฉีดยากันยุง เป็นถังที่ฉีดแมลงของชาวไร่ชาวนา เขาเอาพริกป่นผสมพริกไทยมาพ่นตรงตากะว่าจะให้ตาผมพร่าบอด แล้วเขาก็เอายาอะไรมาพ่นใส่ผมอยู่เรื่อยเลย พยายามจะถ่างตาผมให้ได้ ถ่างตาแล้วเอายาเป็นหลอดๆ ผมไม่มั่นใจว่าอะไร มาใส่ตาผม แล้วก็ถ่างตาผมอีก
พวกเขาพยายามถามอยู่แต่ว่าได้รับเงินมาจากแนวร่วมอะไรพวกนี้ 300 บาท มีการถ่ายวิดีโอเอาไว้ด้วย ซึ่งตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออกก็เลยจึงจำใจต้องโกหกไป เพราะว่าพูดความจริงก็ไม่เชื่ออยู่ดี หลังจากผมต้องโกหกพวกมันเพื่อให้มีชีวิตรอดนั้น ความพยายามของผมก็สัมฤทธิ์ผล 1 ชั่วโมงหลังจากผ่านขุมนรก พวกมันก็ปล่อยผมให้เป็นอิสระ ผมรอดตายมาได้ราวกับมีพระคอยคุ้มครอง
การเกิดใหม่ครั้งนี้ของผม ทำให้รู้ซึ้งถึงธาตุแท้และสันดานดิบของเดรัจฉานพวกนี้ว่าเป็นอย่างไร ผมไม่เชื่อกับสิ่งที่พวกแกนนำทั้ง 9 มันพยายามจะสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดีในสายตาของสังคม ทุกอย่างที่ผมได้เห็นทำให้ผมได้ประจักษ์กับสายตาแล้วว่าทั้งหมดล้วนเป็น “คราบ” ที่ยังไม่ลอกออก จนทำให้เห็นว่าภายในเป็น “อสูรร้าย”
นี่คือ...อีกหนึ่งเรื่องราวของหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายที่ยังมีอยู่ปะปนในสังคมอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นรอที่จะออกมาเปิดเผยความจริงอันขมขื่นที่ต้องตกเป็น “เหยื่อพันธมิตรฯ”
ความอัปยศของพันธมิตรฯ ยังไม่หมดสิ้น สัปดาห์หน้าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร...ห้ามพลาด “เหยื่อพันธมิตรฯ”