ที่มา ประชาไท
(12 พ.ย.) สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่าทางการกัมพูชาได้ตอบโต้การที่ไทยสั่งทบทวนการให้เงินกู้ รวมถึงระงับความช่วยเหลือที่ให้กับกัมพูชาหลังจากที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาส่วนตัวของสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตนรีกัมพูชา และที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา ได้ไปบรรยายพิเศษให้กับนักเศรษฐศาสตร์กัมพูชาเมื่อวันที่ 12 พ.ย. ด้วยการประกาศให้นายคำรบ ปาลวิวัฒน์ไชย เลขานุการเอก ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ เป็นบุคคลไม่พึงปรารถนา (Persona Non Grata) โดยขอให้เดินทางออกจากกัมพูชาภายใน 48 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่เวลา 17.00 น. ที่ผ่านมา
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่กัมพูชาส่งตัวเลขานุการเอกอัคราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ กลับประเทศไทยว่า ประเทศไทยก็จะทำในลักษณะเดียวกับกัมพูชา โดยขณะนี้ได้ยื่นความประสงค์ไปยังกัมพูชาให้รับทราบเหมือนกันว่า ไทยต้องการให้เลขานุการเอกอัคราชทูตกัมพูชา ประจำประเทศไทย เดินทางกลับไปกัมพูชาด้วยเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า สิ่งที่กระทำเหมือนเป็นการตอบโต้ระหว่างทั้งสองประเทศ จะกระทบกับความช่วยเหลือด้านต่างๆ หรือไม่ นายปณิธาน กล่าวว่า คิดว่าเป็นเรื่องที่กัมพูชาอาจดำเนินมาตรการการทูตบางอย่างกับไทย ซึ่งทางไทยได้ประเมินแล้ว และตั้งใจจะสานสัมพันธ์ให้เป็นไปได้ด้วยดี ถือเป็นเรื่องน่าเสียใจ เพราะไทยพยายามหลีกเลี่ยงอย่างเต็มที่ แต่เมื่อทางกัมพูชาดำเนินการใช้มาตรการทางการทูตแบบนี้ ก็ต้องใช้วิธีเดียวกันในการตอบโต้ แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องปิดสถานทูต จะพยายามรักษาความสัมพันธ์เต็มที่ ส่วนระดับความรุนแรงทางการทูตจะเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ เป็นเรื่องของการปรับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ เรื่องไหนหลีกเลี่ยงได้ก็จะพยายามทำจะไม่ดำเนินการอะไรที่ไม่จำเป็น ซึ่งทางการทูตสถานการณ์ขณะนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะยังสามารถดำเนินการได้
เมื่อถามว่า มาตรการเรียกเลขานุการเอกอัคราชทูตไทยกลับมาเช่นนี้ จะขัดต่อหลักปฏิบัติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือไม่ นายปณิธาน กล่าวว่า ไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ถือเป็นเรื่องน่าเสียใจที่กัมพูชาดำเนินการก่อนเพราะทางการทูตถือว่าเป็นหลักปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน และหวังว่า ในอนาคตจะมีมาตรการอื่น ที่สามารถยกระดับความสัมพันธ์ของสองประเทศให้ดีขึ้น แต่ขณะนี้ยังไม่มี จึงต้องมีการปรับระดับความสัมพันธ์ให้เท่าเทียมกัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้พูดชัดเจนแล้วในที่ประชุม สมช. ว่า จะดำเนินการทางการทูตที่เหมาะสมและเป็นขั้นตอน โดยยึดหลักผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ที่สำคัญนายกรัฐมนตรีได้เน้นถึงการรักษาความปลอดภัย และให้ความมั่นใจกับประชาชนที่อยู่บริเวณแนวชายแดน ซึ่งเรื่องนี้ทางทหารให้ความมั่นใจว่า จะรักษาความสงบสุข
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้มีการเรียกนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ที่ปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับการประชุมเอเปคที่ประเทศสิงคโปร์ เดินทางกลับด่วนในเวลา 22.00 น. เพื่อเตรียมหารือกับทางรัฐบาล เกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์, คมชัดลึก