ที่มา ข่าวสด
เหล็กใน
สมน้ำสมเนื้อดีแล้ว หรือว่ารุนแรงเกินไป
ต่อกรณีรัฐบาลไทยออกมาตรการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา
ดาบแรก เรียกตัวทูตไทยกลับประเทศ
ดาบสอง บอกเลิกบันทึกความเข้าใจหรือเอ็มโอยู ว่าด้วยพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ที่ 2 ประเทศทำไว้ในสมัยรัฐบาลทักษิณ เมื่อปี 2544
เพื่อเป็นการตอบโต้รัฐบาลนายฮุนเซนที่กระทำการหยามหมิ่นรัฐบาลไทย
ด้วยการออกพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้ง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาและที่ปรึกษาส่วนตัวอย่างเป็นทางการ
ส่วนจะมีดาบสาม-สี่-ห้า ตามมาอีกหรือไม่
เป็นเรื่องต้องติดตามกันต่อไป
แต่การที่โพลบางสำนักเผยผลสำรวจว่ารัฐบาลไทยได้รับเสียงสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นถึง 3 เท่าตัว
อันเป็นผลสืบเนื่องจากความหมั่นไส้นายกฯ ฮุนเซน
ที่ทำตัว "กวนโอ๊ย" รัฐบาลไทยมาพักใหญ่
ก็ยิ่งน่าห่วงว่าผลสำรวจดังกล่าวจะเป็นตัวส่งเสริมให้รัฐบาลออกมาตรการหนักหน่วงกว่านี้
เพราะเชื่อว่ายิ่งโต้แรงยิ่งได้คะแนนเพิ่ม
เป็นความจริงที่นายฮุนเซน ทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่ตั้งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษา
และยังกล่าวโจมตีกระบวนการยุติธรรมของไทยเสียๆ หายๆ
จึงสมควรได้รับการตอบโต้อย่างสาสม
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลไทยจะหยุดมาตรการ "สั่งสอนฮุนเซน" ไว้แค่นี้
หรือจะยกระดับความรุนแรงมากขึ้นไป
จำเป็นต้องตรึกตรองให้ลึกซึ้ง รอบคอบและรอบด้าน
ที่สำคัญต้องยึดโยงอยู่กับผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นด้านหลัก
หลายคนในซีกรัฐบาลวิเคราะห์ออกมาเป็นฉากๆ
ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นคือการตอบแทนบุญคุณของนายฮุนเซน ต่อพ.ต.ท.ทักษิณ
เนื่องจากอดีตรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเคยช่วยเหลือนายฮุนเซนไว้มากในช่วงเลือกตั้งของกัมพูชา
ซึ่งน่าจะมีส่วนจริงอยู่มาก
ส่วนคำถามที่ว่าจะเกี่ยวโยงไปถึงกรณีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
เคยไม่เห็นนายฮุนเซนอยู่ในสายตา
จึงแต่งตั้ง นายกษิต ภิรมย์ ที่ขึ้นเวทีกลุ่มพันธมิตรฯ ด่าผู้นำกัมพูชาเป็น "กุ๊ย" "บ้าๆ บอๆ" "เฮงซวย" มาเป็นรมว.การต่างประเทศ ด้วยหรือไม่
รัฐบาลไทยควรเตรียมหาคำตอบเรื่องนี้ไว้ให้ดีๆ
ว่ากรณี "ทักษิณ" กับ "กษิต"
เหมือนหรือต่างกันอย่างไร