ที่มา บางกอกทูเดย์
บางกอก ทูเดย์ ขอยืนยันว่า ศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของชาติจะต้องมี และจำเป็นต้องมี แต่จะต้องเป็นกรณีของประเทศชาติเท่านั้นหากเป็นการรุกรานของประเทศอื่นๆ เป็นการหยามเกียรติของประเทศไทยโดยตรง แน่นอนว่าไม่ว่ากับประเทศใด ขืนทำเช่นนั้น.. จำเป็นต้องรบกัน ก็ต้องรบศักดิ์ศรีของประเทศไทย ประเทศไหนๆ ในโลกก็จะมาลบหลู่ไม่ได้นี่คือสิ่งที่อยู่ในสายเลือด อยู่ในจิตใจของคนไทยทุกคนอย่างแน่นอนมาช้านานแล้ว
แตกหักไม่ใช่ปัญหา แต่ต้อง “สุขุม”!!
คนไทยรักเกียรติภูมิของประเทศยิ่งชีวิต แต่การกระทบกระทั่งระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชา เป็นเพียงการต่างมุมมองในแง่ของกฎหมายเท่านั้น
กระหึ่ม และเป็นที่จับตามองไปทั่วโลก กับกรณีระหองระแหงระว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาต้องย้ำว่าทั่วโลก ไม่ใช่เพียงแค่เฉพาะภูมิภาคอาเซียนเท่านั้น เนื่องจากประเทศไทยเป็นที่รู้จักของคนทั้งโลกแนวคิดในเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำริ” ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทำให้ทั้งโลกตื่นตัวขานรับ แม้แต่กระทั่งองค์การสหประชาชาติยังนำไปเป็นแนวคิดต้นแบบในการแก้ไขปัญหาความยากจนของโลก... นี่คือชื่อเสียงประเทศไทยในสายตาของโลกยิ่งหากนับรวมกับพระราชพิธีเฉลิมฉลองการครองราชย์ในฐานะพระมหากษัตริย์ ที่ทรงครองราชย์นานที่สุดในโลก ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับ
ประเทศไทยอีกมากมายนั่นคือในแง่ของสังคมประชาคมโลกในแง่ของความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ ก็ต้องยอมรับเช่นกันว่าในช่วงระยะเวลาประมาณ 7-8 ปีที่ผ่านมา บทบาทของประเทศไทยในเวทีโลกนั้นมีเพิ่มมากขึ้นมาอย่างมากมายดังนั้นเมื่อมีการบาดหมางกันระหว่างรัฐบาลไทย กับรัฐบาลกัมพูชา ปรากฏออกไปสู่เวทีโลก จึงทำให้ทั่วโลกจับตามองว่า กำลังเกิดอะไรขึ้นกับ 2 ประเทศที่มีพรมแดนติดกันเช่นนี้ยิ่งเรื่องนี้มาจากกรณีของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งพ้นตำแหน่งจากการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ด้วยแล้ว ทุกประเทศจึงต่างให้ความสนใจจับตามองด้วยกันทั้งสิ้นแน่นอนว่าในยุคปัจจุบันที่โลกเชื่อมต่อกันประหนึ่งไร้พรมแดน โดยเฉพาะโลกของข้อมูลข่าวสารที่ถึงกันหมด
ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแต่ละประเทศที่ล้วนแล้วแต่มีทูต มีภาคธุรกิจการลงทุน ที่สามารถได้รับข้อมูลต่างๆ ไม่แตกต่างกับคนในชาติแต่ละชาติเองเลยนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองไทย นับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 กรณีของบรรดากลุ่มอำนาจต่างๆ รวมทั้งกลุ่มการเมือง และแม้แต่กระทั่งรัฐบาลปัจจุบันอย่าได้คิดว่า ต่างชาติจะไม่รับรู้ข่าวสาร... ขืนเชื่อแบบนั้นจะพาประเทศชาติลงเหวเอาง่ายๆดังนั้นการปลุกเร้าในเรื่องกระแสชาตินิยม จากกรณีประเทศไทย กับประเทศกัมพูชาจึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังและพิจารณาให้รอบคอบให้มากที่สุดเพราะหากกรณีนี้พลาด ระวังประเทศอื่นๆ อาจจะไม่วางใจที่จะคบหาสมาคมกับรัฐบาลไทยชุดนี้อีกต่อไป เพราะไม่แน่ใจกับวิธีการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศบางกอก ทูเดย์ ขอยืนยันว่า ศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของชาติจะต้องมี และจำเป็นต้องมี แต่จะต้องเป็นกรณีของประเทศชาติเท่านั้นหากเป็นการรุกรานของประเทศอื่นๆ เป็นการหยามเกียรติของประเทศไทยโดยตรง แน่นอนว่าไม่ว่ากับประเทศใด ขืนทำเช่นนั้น.. จำเป็นต้องรบกัน ก็ต้องรบ
ศักดิ์ศรีของประเทศไทย ประเทศไหนๆ ในโลกก็จะมาลบหลู่ไม่ได้นี่คือสิ่งที่อยู่ในสายเลือด อยู่ในจิตใจของคนไทยทุกคนอย่างแน่นอนมาช้านานแล้วอย่างไรก็ตามจะต้องไม่เกี่ยวกับศักดิ์ศรีหน้าตาของรัฐบาล หรือของนายกรัฐมนตรีโดยเด็ดขาด เพราะรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี มาแล้วก็ไป จึงไม่ใช่เรื่องที่จะมาผูกโยงว่ารัฐบาลเสียหน้า แล้วหมายความว่าประเทศชาติเสียศักดิ์ศรี... มันคนละเรื่องกันในขณะที่เรื่องนี้ อย่าว่าแต่คนต่างประเทศเลย ที่สงสัยว่าการทำรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 และการระเห็ดระเหเร่ร่อนตามประเทศต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองแม้แต่คนไทยเองนี่แหละ ก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่า เป็นเรื่องการเมือง เป็นเรื่องลี้ภัยการเมือง แล้วแบบนี้จะไม่ให้หลายๆ ประเทศ รวมทั้งประเทศกัมพูชามองในประเด็นนี้ได้อย่างไรดังนั้นหากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเลย สิ่งที่ต้องทำคือการชี้แจง คือการสร้างความเข้าใจกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ไม่ใช่การลดระดับความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ
ถ้าเกิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไปประเทศอื่นๆ ที่นอกเหนือจากกัมพูชา แล้วประเทศเหล่านั้นมองว่า กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ สืบเนื่องมาจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงน่าจะเป็นประเด็นลี้ภัยการเมือง จึงไม่ส่งตัวให้ทางการไทย แบบนี้นายอภิสิทธิ์ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ไม่เที่ยวไปลดระดับความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ หมดหรือ?สมควรหรือไม่ที่ จะต้องมองเรื่องของประเทศชาติเป็นหลัก มากกว่าที่จะมองหน้าตาของตนเองและพวกพ้องที่เป็นรัฐบาล... หรือว่าคำบงการที่ต้องไล่บี้ขยี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ได้นั้น เป็นสัญญาที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ขืนไม่ทำ อาจจะทำให้ไม่ได้เป็นรัฐบาล ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป... เช่นนั้นใช่หรือไม่เพราะถึงวันนี้ ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ในสายตาและการรับรู้ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก กลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมืองภายในประเทศที่สืบเนื่องจากการรัฐประหารไปแล้วยิ่งเมื่อรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าทำงานที่กระทรวงเศรษฐกิจและการคลังของกัมพูชาในวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้
เพื่อร่วมประชุมกับผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจของกัมพูชากว่า 300 คน หากเดินทางเข้าไปจริง รัฐบาลก็ต้องทำเรื่องขอตัวผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีตามขั้นตอนแน่โดย นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า หากจริง ก็เป็นเรื่องที่สำนักงานอัยการสูงสุดจะต้องทำเรื่องตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน มายังกระทรวงการต่างประเทศเพื่อดำเนินการ เพราะขณะนี้ได้แปลเอกสารต่างๆ เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว นายพนิช กล่าวด้วยว่า เมื่อทำเรื่องส่งไปยังประเทศกัมพูชาแล้ว ต้องรอดูท่าทีของกัมพูชา โดยต้องให้เวลาในการดำเนินการตามกระบวนการของกัมพูชาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากมีการตอบกลับมาว่า ไม่ส่งตัว ก็ต้องพิจารณาทบทวนความสัมพันธ์ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลไทยกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อตกลงต่างๆ ที่ทำร่วมกันระหว่างไทยกับกัมพูชา รวมทั้งเรื่องการให้ความช่วยเหลือต่างๆ ด้วย แต่ขอยืนยันว่า ยังไม่ถึงขั้นตอนทางทหารอย่างแน่นอน เพราะขั้นตอนนั้นจะเป็นขั้นตอนสุดท้าย
เช่นเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ที่กล่าวว่า เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้อยู่แล้ว เมื่อสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษา แสดงว่ามีการเตรียมการเดินทางไปที่กัมพูชา รัฐบาลไทยก็ต้องติดต่อรัฐบาลกัมพูชาอย่างเป็นทางการ เพื่อยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ที่หนีคดีอาญาไปจากประเทศไทย และไทยกับกัมพูชาก็มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน จึงต้องให้กัมพูชาส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มารับโทษที่ประเทศไทยนั่นเป็นสิทธิที่รัฐบาลไทยสามารถที่จะกระทำได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องแล้วแต่ว่าประเทศนั้นๆ จะมองว่าเป็นประเด็นคนร้ายข้ามแดน หรือเป็นเรื่องลี้ภัยการเมืองหลักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตรงนี้ ทั่วโลกมีมาช้านานแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่จะคิดเองได้ตามที่ต้องการ... ดังนั้นจุดนี้จะต้องระวังเพราะขนาดอย่างกรณีของนายราเกซ สักเสนา ผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ หรือแบงก์บีบีซี ซึ่งทางกระทรวงต่างประเทศของไทย ก็ได้มี
หนังสือขอให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยังรัฐบาลแคนาดาแต่ก็ต้องใช้เวลากว่า 7-8 ปี กว่าที่ประเทศแคนาดาจะยอมส่งตัวนายราเกซกลับมาให้ประเทศไทยดำเนินคดีเมื่อเร็วๆ นี้เพราะทางการแคนาดาเองก็ต้องใช้กระบวนการศาลพิสูจน์ให้ชัดเจนก่อนว่า นายราเกซมีฐานะเป็นผู้ร้ายข้ามแดนตามที่ทางการไทยระบุหรือไม่ ซึ่งก็พิสูจน์กันถึง 3 ศาล จนกระทั่งมั่นใจ และทำให้เกิดการส่งตัวในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนในที่สุดดังนั้น กระทรวงต่างประเทศจะต้องให้ข้อมูลเทียบเคียงกรณีราเกซกับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ให้ชัดว่า แม้ทางการไทยจะมีการทำหนังสือขอตัวให้ส่งทางการกัมพูชาส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาดำเนินคดีในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนแต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่า ไม่รู้ว่าทางการกัมพูชา จะเห็นด้วยกับกรณีผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ หรือว่าจะมีกระบวนการตรวจสอบความเป็นผู้ร้ายข้ามแดนเช่นเดียวกับรัฐบาลแคนาดาก่อนหรือไม่
ซึ่งหากเป็นกระบวนการเช่นนั้น ก็อาจจะต้องใช้เวลาไม่น้อย ดังกรณีตัวอย่างจากนายราเกซนั่นเอง ฉะนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนทางการทูต ที่แม้ว่าวันนี้รัฐบาลไทยจะลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตไปแล้ว แต่ก็ไม่ควรจะให้บานปลายไปมากกว่านี้ประเทศไทยไม่กลัวกัมพูชา และคนไทยก็พร้อมที่จะรบกับกัมพูชาแน่ ถ้าเป็นกรณีที่ต้องรักษาเกียรติภูมิของชาติแต่วันนี้ยังเป็นเรื่องของมุมมองที่แตกต่าง ของคำว่า “ผู้ร้ายข้ามแดน” รัฐบาลจึงไม่ควรเอาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศเพื่อนบ้านไปสุ่มเสี่ยงจนเกินไปรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จะต้องใช้เวทีโลกให้เป็นประโยชน์กับประเทศไทยมากกว่าที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยให้แก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาได้ดีกว่านี้ประเทศไทยจะเป็นพี่ใหญ่ในภูมิภาคอาเซียนได้ ต้องสุขุมและหนักแน่นมากๆ เข้าไว้...