ที่มา Thai E-News
สมคบคิดคลั่งชาติ-สนธิลิ้ม หัวหน้าขบวนการล้าหลังคลั่งชาติกระหายเลือดกระหายสงคราม ซึ่งเคยประกาศจะส่งF16เข้าไปถล่มเขมร ส่งพิภพ ธงชัย และเด็กๆพันธมิตรเข้าพบอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นคอหอยลูกกระเดือกกันเข้าไปสมคบคิดวางแผนกันที่ทำเนียบรัฐบาล เดินหน้านโยบายล้าหลังคลั่งชาติ(คลิ้กอ่านข่าว)
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
8 พฤศจิกายน 2552
ผ่าแผนลับลวงพรางขององค์กรซ่อนเงื่อน สมคบคิดหนุนนโยบายล้าหลังคลั่งชาติกระหายเลือดกระหายสงคราม ก่อศึกกับเพื่อนบ้านกัมพูชา เริ่มจาก"สื่อคลั่ง"เปลวสีเงินที่เสนอว่าคนอย่างทักษิณนั้นโทษสถานเดียวของคนพรรค์นี้คือ “ฆ่าทิ้ง” ก่อนที่มันจะ “ฆ่าชาติ” เผยเบื้องหลังสุดอัปยศไร้ยางอาย ทั้งทิ้งขี้คดีฟ้องร้องลูกน้องเก่าสยามโพสต์ ปลด"ใบตองแห้ง"หลีกเลี่ยงจ่ายเงินชดเชย เชลียร์รัฐมนตรีอ่างนวดโพไซดอนแลกงบโฆษณา ตามมาด้วยเอแบคโพลล์ที่เปิดปุ๊บติดปั๊บแค่มาร์คเรียกทูตกลับไม่ข้ามวัน มั่วผลสำรวจรัฐบาลหุ่นเชิดคะแนนนิยมพุ่ง70% คนในแฉเองผลุบเข้าทำเนียบซุกอภิสทธิ์ประจำ ส่วนประธานหอการค้ามาแปลกไม่แหกปากร้องซักคำทั้งที่กระทบการค้าแสนล้าน แต่ออกโรงหนุนหน้าตาเฉย เผยที่ไปที่มาลึกลับก้าวขึ้นเป็นประธานหอแทนตัวเต็งอันดับ1 ไม่สนผลประโยชน์การค้าอาศัยองค์กรบังหน้าเคลื่อนไหวการเมืองเป็นเครือข่ายอำมาตย์ ส่วนทูตสุรพงษ์วงการเผยตามแก้แค้นเรื่องส่วนตัวที่เคยถูกรัฐบาลทักษิณเตะโด่งไปอยู่แอฟริกา
ผ่าเครือข่ายองค์กรลับลวงพรางโหมชวนเชื่อนโยบายกระหายเลือดกระหายสงคราม
หลังจากรัฐบาลหุ่นเชิดอำมาตย์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช้นโยบายล้าหลังคลั่งชาติลดความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านกัมพูชาลง ก็มีองค์กรหน่วยงานปฏิกริยาล้าหลังคลั่งชาติหน้าเดิมๆอย่างพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองใหม่ พันธมิตร 40สว.ออกมาปลุกกระแสกระหายเลือดกระหายสงครามกับเพื่อนบ้านกัมพูชา เพื่อหวังเป็นเครื่องมือทำลายปฏิปักษ์ทางการเมืองอย่างทักษิณ ชินวัตร และฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งนี่ไม่น่าแปลกสำหรับกากเดนระบอบอำมาตย์ขาประจำ
แต่กับองค์กรหน่วยงานบางแห่งที่มีภาพลักษณ์ที่ดู"เป็นกลาง"อย่างสื่อกระแสหลัก หรือเอแบค โพลล์,สภาหอการค้าไทย รวมทั้งคนในแวดวงการฑูตออกมาสนับสนุนให้ท้ายรัฐบาลหุ่นเชิดอำมาตย์ ที่กำลังโหมโฆษณาชวนเชื่อนโยบายกระหายเลือดกระหายสงคราม นับเป็นเรื่องที่อาจสร้างประชามติสาธารณะที่ผิดๆพาประเทศชาติไปสู่สงคราม
หากมองปรากฎการณ์เพียงผิวเผินนี่อาจเป็นการแสดงตัวของกระแสชาตินิยมโดยปกติธรรมดา แต่หากล้วงลึกลงไปในเบื้องหลังแล้ว องค์กรอย่างเอแบค โพลล์,ประธานหอการค้า,สื่อหลักอย่างเปลว สีเงิน หรือทูตสุรพงษ์ ชัยนามที่ออกมาแสดงบทบาทนี้ ไม่ได้มีพฤติการณ์ทำนองนี้เป็นหนแรก แต่เป็นมาอย่างต่อเนื่อง จนเราเรียกว่านี่เป็นปรากฎการณ์ของเครือข่ายองค์กรซ่อนเงื่อนที่เคลื่อนไหวทำลายฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตย สนับสนุนความเคลื่อนไหวของอำมาตย์เผด็จการอย่างสอดประสานกัน
ต่อไปนี้เป็นการลากไส้องค์กรซ่อนเงื่อนทั้ง3แห่งในเบื้องลึกที่เต็มไปด้วยข้อมูลเบื้องหลังที่ไม่น่าพลาด
เปลว สีเงินสวมบทสื่อคลั่งสั่งฆ่าทักษิณ เปิดเบื้องหลังสุดอัปยศไร้ยางอาย
สำหรับเปลว สีเงินนั้น ได้เขียนบทความลงในไทยโพสต์ แล้วผู้จัดการASTVกระบอกเสียงพันธมิตรนำไปขายผล โดยระบุว่า คนที่มีความสุขจากการเห็นคนชาติอื่นมาเหยียบย่ำชาติตัวเอง โทษสถานเดียวของคนพรรค์นี้คือ “ฆ่าทิ้ง” ก่อนที่มันจะ “ฆ่าชาติ”(ดูลิ้งค์ข่าว)
เปลว สีเงิน หรือนายโรจน์ งามแม้น เคยเป็นคอลัมนิสต์ใหญ่ในไทยรัฐยุคนายกำพล วัชรพลยังมีชีวิตอยู่ ต่อมาได้ออกมาทำหนังสือพิมพ์สยามโพสต์ โดยถือคติว่าคนหนังสือพิมพ์ต้องทำตัวเป็นฝ่ายค้านกับทุกรัฐบาล สยามโพสต์ไม่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขาย ขณะที่ถูกฟ้องร้องสารพัด แต่คนรับเคราะห์คือนายอรุณ ลานเหลือ ซึ่งเปลวตั้งให้เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลสู้คดี ขณะที่เปลวปิดสยามโพสต์หนีไปเปิดหัวใหม่คือไทยโพสต์
มาเปิดหัวใหม่ไทยโพสต์ พอดีทักษิณมาเป็นรัฐบาล เปลวก็ตามจิกด่าตามคติว่าคนหนังสือพิมพ์ต้องทำตัวเป็นฝ่ายค้านด่าทุกรัฐบาล แต่โดนทักษิณตรวจสอบในเรื่องฐานะการเงิน โดยให้สตง.ตรวจสอบพร้อมผู้บริหารเครือเนชั่น และไปบีบโรงพิมพ์ของนายระวิ โหลทอง แห่งสยามกีฬาที่เปลวนำไทยโพสตฺไปพิมพ์ จนระวิเลิกพิมพ์ให้ไทยโพสต์ และประการหนึ่งก็เป็นโอกาสที่ระวิอยากเลิกพิมพ์ให้อยู่ด้วย เพราะติดหนี้ค้างชำระไว้มาก ทำให้เปลวแค้นทักษิณต้องหาเรื่องเอาคืนมาแต่นั้น
พอพันธมิตรปิดสนามบิน จบลงด้วยการโค่นรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ลง และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นรัฐบาล เปลวสีเงินรีบเกาสะขบวนเชลียร์รัฐบาลอภิสิทธิ์ทันที โดยมุ่งไปเชียร์นางพรทิวา นาคาศัย ที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ เพราะเวลานั้นถูกตั้งคำถามเรื่องภูมิหลังที่ครอบครัวนางพรทิวาทำสถานอาบอบนวด"โพไซดอน"ไม่ควรมาเป็นรัฐมนตรีด้านการค้า
เปลวเขียนบทความลงในไทยโพสต์เมื่อ11ก.พ.2552เชียร์พรทิวาแบบออกนอกหน้า ว่า พรทิวา"ถูกใส่ร้าย" อย่างไม่เป็นธรรม สร้างความเสียหาย ชื่อเสียง "ประเทศไทย" เพราะพรทิวาอยู่ในฐานะ "ตัวแทนประเทศไทย"!
เปลวเขียนเชลียร์ว่า "พรทิวา" จะไม่แค่ "นาคาศัย" เท่านั้น นักการเมืองน้อยใหญ่ ไม่ว่าใครก็หวังจะอาศัยเธอทั้งนั้น เธอจะเป็นนักการเมืองหญิงที่ "หญิงยุคใหม่" ซูฮก และยกให้เป็น "ต้นแบบ-หญิงห้าว"!
ผมสังเกตว่าเธอเป็นคน "หัวไว-ใจนักเลง" โครงสร้างเสียง บ่งอนาคตไปได้ใหญ่โต เพียงแต่ต้องทำความเข้าใจว่า การนอบน้อม และรับฟังผู้ใหญ่ที่เป็น "คณะปรึกษา" นั้น เป็นคุณสมบัติที่ดีของนักบริหาร
"คุณพรทิวา นั้น มีรอยยิ้มที่เรียกว่า "ยิ้มเหมือนโลกเศร้า" เป็นยิ้มของคน "ไม่สิ้นโศก" จากส่วนลึก!? เมื่อประกอบเข้าทั้งใบหน้า แววตาที่ค่อนข้างเหม่อลอย และในเสียงผิดลักษณ์หญิง แต่เป็นเอกลักษณ์ "หญิงทรงอำนาจ" และเด็ดขาด นั้น ก็บังเอิญปลายเส้นเสียงเป็นกังวานที่แตกพร่า ตรงจมูกฮวบเหล็งดี ปากดี กรามดี คางดี สรุปว่า ถ้ายึดมั่นใน ทาน ศีล ภาวนา ให้สม่ำเสมอเขาไว้ จะเสริมให้ยิ่งแก่ยิ่งรวย และยิ่งแก่ยิ่งดัง นั่นแล"นี่เป็นความไร้ยางอายของเปลวเวลาที่เขาจะเชียร์ใครซักคน หาเรื่องไม่เจอก็เอาโหงวเฮ้งมาอ้าง
แล้วพรทิวาก็ให้เปลวได้"อาศัย"จริงๆเพราะนับแต่นั้นงบโฆษณาสารพัดจากกระทรวงพาณิชย์ที่พรทิวาเป็นเจ้ากระทรวงอยู่ก็ไหลมาเทมาลงไทยโพสต์นับแต่หน้าแรกยันหน้าสุดท้ายแทบทุกวัน นอกเหนือจากโฆษณาจาก"สำนักนายกรัฐมนตรี"ของอภิสิทธิ์ที่ขึ้นหราอยู่หน้า1ของไทยโพสตฺแทบทุกวัน
ล่าสุดเปลวก็ก่อเรื่องอัปยศอีกเมื่อได้บีบให้คอลัมนิสต์"ใบตองแห้ง"ที่เขียนคอลัมน์ว่ายทวนน้ำในไทยโพสต์ ซึ่งมีจุดยืนเป็นกลาง อยู่ตรงข้ามกับเปลวอย่างมากออก โดยหลีกเลี่ยงที่จะจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน
โดยใบตองแห้งเปิดเผยเรื่องดังกล่าวนี้ว่า"เมื่อผมทราบว่าวีซ่าหมดอายุ ไม่ได้เขียนว่ายทวนน้ำอีก ผมก็ยอมรับโดยดี ไม่ได้ถามเหตุผล เพราะมองแบบน้ำครึ่งแก้ว ผมได้อิสระมาตั้ง 3 ปีกว่า ก็เป็นความใจกว้างล้นเหลือแล้ว แต่บอกว่าถ้าอย่างนั้นผมก็ควรงดการเขียนบทสัมภาษณ์ด้วย เพราะจะสร้างความขัดแย้งเช่นกัน และผมก็คงนั่งกินเงินเดือนเปล่าๆ ไม่ได้ ก็ต้องลาออก เพื่อมีอิสระไปทำอะไรใหม่ๆ
เพียงแต่มาคุยกันภายหลังว่า ผมจะทำบันเทิงอยู่ไหม ผมยังไม่อยากตกงานแบมือขอเงินเมียอย่างเดียว จึงบอกว่าทำได้ในลักษณะฟรีแลนซ์ แต่ไทยโพสต์เสนอว่าจะให้เป็นเงินเดือน โดยคิดเงินเดือนกันใหม่ (ลดลงจากเดิมมาก) ผมก็โอเค เพราะจะได้ไม่ยุ่งยากเรื่องการส่งภาษีส่งประกันสังคม
ฉะนั้นผมก็ไม่ได้ยื่นใบลาออกเป็นทางการ นับแต่วันที่ 1 พ.ย. ถ้าดูบัญชีพนักงานผมก็ยังเป็นพนักงานที่รับเงินเดือนไทยโพสต์อยู่ แต่เป็นเงินเดือนใหม่ ข้อตกลงใหม่ ผมไม่มีตำแหน่งหน้าที่อะไรแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับโต๊ะข่าวการเมือง ไม่มีเก้าอี้นั่ง ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ เขียนส่งทางเมล์ และมีอิสระที่จะไปทำงานที่อื่น ดังนั้นถ้าพูดว่าผมยังอยู่ ยังไม่ได้ออก ก็ถูกเหมือนกัน แต่ถูกครึ่งเดียว ที่ถูกคือผมออกมาอยู่ข้างนอก ทำงานอิสระ แต่ยังรับจ้างไทยโพสต์ในงานที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง"
ทางด้านนักกฎหมายแรงงานกล่าวว่า การที่เปลว สีเงิน ผู้บริหารไทยโพสต์ทำกับใบตองแห้งดังกล่าว ขัดต่อกฎหมายคุ้มครองสิทธิแรงงาน เพราะเป็นการปรับสภาพการจ้างงานโดยไม่เป็นธรรม ดูเจตนาแล้วหวังผลให้พนักงานลาออกเอง โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า"ใบตองแห้ง"จะยกขึ้นมาต่อสู้ว่าถูกปรับสภาพการจ้างเพื่อบีบให้ลาออก แล้วไปขอค่าชดเชยตามกฎหมาย หรือสมยอมกับการกระทำดังกล่าว
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.)ได้ออกแถลงการณ์เมื่อ 6 พ.ย.เรียกร้องให้ชี้แจง กรณีปลด “ใบตองแห้ง” เพราะ
สาธารณชนมีข้อกังขาต่อการยุติบทบาทคอลัมน์ว่ายทวนน้ำโดยฉับพลัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ที่ได้ตั้งปณิธานการทำหน้าที่สื่อมวลชนของตนเองไว้ว่าเป็นพื้นที่สื่อที่มี “อิสรภาพแห่งความคิด”
อีกทั้งเสียงสะท้อนทวงถามจากกลุ่มผู้อ่านภายหลังที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ย่อมบ่งบอกถึงคุณภาพของกลุ่มผู้อ่านหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ที่เปิดกว้างทางความคิดและต้องการรับรู้ความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป ตลอดจนตระหนักถึงเสรีภาพในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน
ดร.นพพดลAbac Pollผลุบเข้าทำเนียบซุกมาร์คเป็นประจำ
น่ากังขามากว่าทันทีที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ประกาศลดความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาปุ๊บ วันรุ่งขึ้นดร.นพดล กรรณิกา ก็เปิดเผยโพลล์สำรวจในวันรุ่งขึ้นได้แบบฉับไวทันใจว่า สาธารณชนเพิ่มการสนับสนุนรัฐบาลอภิสิทธิ์จากกรณีนี้ทันที 3 เท่าตัว ขึ้นมาเกือบ 70 % ( คลิ้กดูข่าว )
วันต่อมาเอแบคโพลล์ก็ออกมาทันควันว่า ความเคลื่อนไหวของทักษิณที่มาเป็นที่ปรึกษาของกัมพูชานั้นเป็นผลเสียหายต่อประเทศชาตินั้นมากถึง83%
พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวกับรายการวิทยุมชุมชนของนายขวัญชัย ไพรพนาที่อุดรฯว่า หากโพลล์ออกมามีคนสนับสนุนทักษิณขนาดนั้น ก็ขอเรียกร้องให้ยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ไปเลย ในเมื่อคนนิยมนายอภิสิทธิ์และต่อต้านทักษิณมากขนาดนั้น
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของAbac poll เปิดเผยว่า ดร.นพดลนั้นมีทัศนะทางการเมืองไปในทางเดียวกันกับรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ โดยมักได้รับเชิญไปแลกเปลี่ยนทัศนะเรื่องบ้านเมืองกับนายอภิสิทธิ์ที่ทำเนียบรัฐบาลเป็นประจำ
"ดร.นพดลนั้นมีทัศนะทางการเมืองสอดคล้องกับคุณอภิสิทธิ์ และคุณอภิสิทธิ์เองก็อยากขอคำปรึกษาในเรื่องของประชามติสาธารณะที่มีต่อตัวเขา และรัฐบาลของเขา ทางดร.นพดลก็ให้คำชี้แนะทางวิชาการไป แต่ก็อย่างว่าคนเราพอมันมีpersonal contact(ความสัมพันธ์ส่วนตัว)กันขึ้นมาซะแล้ วเรื่องที่ทางคุณอภิสิทธิ์จะขอความร่วมมืออะไรก็อาจจะคงมีมั่ง แต่ไม่ใช่แลกกันด้วยเงินทองผลประโยชน์"เจ้าหน้าที่ระดับสูงของAbac Pollระบุ
ขณะเดียวกันเขายอมรับว่าภาพลักษณ์ของเอแบคโพลล์ดูจะเอนเอียงมาทางรัฐบาลจริง แต่คู่แข่งของเราคือสวนดุสิตโพลล์ก็มีข้อครหาว่า เอนเอียงไปทางเสื้อแดงเช่นกัน...
พูดง่ายๆว่าหากหาว่า เอแบคโพลล์เอียงข้างรัฐบาลหุ่นเชิดอำมาตย์ คู่แข่งของเอแบคโพลล์ก็เอียงข้างเสื้อแดงแล้ว ถือว่าหายกัน !
*ประธานหอการค้าที่มาลึกลับ ที่ไปก็เป็นภารกิจในทางลับเครือข่ายอำมาตย์
ที่สังคมต้องประหลาดใจมากก็คือการลดระดับความสัมพันธ์กับกัมพูชานั้นกระทบต่อมูลค่าการค้าระหว่าง2ประเทศซึ่งมีนับแสนล้านบาท แทนที่ประธานหอการค้าจะออกมาเรียกร้องสันติภาพจะได้ทำมาค้าขายกันต่อไป กลับออกมาสนับสนุนอย่างออกนอกหน้า
นายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า รัฐบาลตอบโต้เขมรทำถูกต้องเหมาะสมแล้ว การปกป้องศักดิ์ศรีประเทศชาติต้องมาก่อน ลั่นรับไม่ได้หากปล่อยให้ใครมาย่ำยี ดูหมิ่นเหยียดหยามประเทศไทย (คลิ้กดูรายละเอียดข่าว) จากนั้นก็เดินสายไปตามหอการค้าตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาตอกย้ำเรื่องนี้ต่อเนื่อง
นายดุสิตเพิ่งขึ้นมาเป็นประธานหอการค้าไทยเมื่อต้นปีนี้แบบ"ลึกลับ แต่รู้กันแซดในวงการพ่อค้าใหญ่ แต่ใครหละจะกล้าพูด"
ตามคิวและตามสัญญาสุภาพบุรุษแล้ว เมื่อนายประมณฑ์ สุธีวงศ์ ประธานหอการค้าคนก่อนหมดวาระลงในตอนต้นปีนี้ จะเป็นคิวของนายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล รองประธานหอการค้าคนที่ 1 ขึ้นเป็นแทน แม้แต่นายประมณฑ์ก็กล่าวสนับสนุน(ดูข่าว คลิ้ก) จนมีการแจกประวัติ"ว่าที่ประธานหอการค้าคนใหม่"และเตรียมเลี้ยงฉลองยกใหญ่( ลิ้งค์ ) แต่แล้วพอใกล้วันเลือกประธานเข้าจริงๆ ก็เกิด"ข้อมูลใหม่"ขึ้นมา อันมีผลให้นายพงษ์ศักดิ์ต้องประกาศไม่ขอชิงตำแหน่งนี้ โดยอ้างเหตุผลอย่างกะทันหันว่า ต้องไปดูแลธุรกิจทอผ้าของตัวเอง เพราะเจอผลกระทบทางเศรษฐกิจ และขอให้รองประธานคนที่2คือดุสิต นนทะนาคร ขึ้นเป็นแทน...
ซึ่งคนในวงการบอกว่า เป็นเหตุผลที่ต้องประกาศไปทั้งน้ำตา และไม่มีใครเชื่อ แต่ก็ต้อง"ตามนั้น" เพราะนี่เป็นเหตุผลที่ฟังแล้วดูจะกล้อมแกล้มไปได้ที่สุดแล้วต่อสถานการณ์พลิกผันครั้งใหญ่ของวงการหอการค้า
อะไรคือเหตุของการพลิกผัน และทำไมต้องเป็นดุสิต?
ดุสิต มีบทบาทก่อนหน้านั้น โดยออกมาพูดตอนม็อบพันธมิตรยึดสนามบินว่า
"ไทยจะต้องยุติปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองโดยเร็วที่สุด เพราะถ้าปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อ ภาคธุรกิจจะมีปัญหาแน่นอน โดยมองว่า การที่รัฐบาลไม่สามารถยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ขณะที่สังคมไทยก็มีความแตกแยก ไม่มีความสามัคคี ทำให้รัฐบาลหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศแล้ว ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงควรที่จะประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดโอกาสให้นักการเมืองหรือพรรคการเมืองอื่น ๆ เข้ามาบริหารประเทศ อย่างไรก็ตาม หากนายกรัฐมนตรีไม่ลาออก ก็ควรที่จะประกาศยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่"
ต่อมาเมื่อมีการแก้ไขปัญหาพันธมิตรยึดสนามบินด้วยการรีบร้อนสั่งยุบพรรคพลังประชาชน มีผลให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 2 ธันวาคม
ตอนนั้นดุสิตซึ่งเป็นรองประธานสภาหอฯก็ออกมาเป็นตัวตั้งตัวตีแถลงข่าวร่วมกับสภาอุตสาหกรรม กับสมาคมธนาคารไทยว่า พรรคพวกแม้วพอได้แล้ว เป็นนายกฯมา 2 คนแล้ว ทั้งสมัคร สุนทรเวช ทั้งสมชาย บ้านเมืองก็ชิบหายมากพอแล้ว ให้คนอื่นคือฝ่ายมาร์ค-ประชาธิปัตย์ลองเป็นมั่ง พวกพ่อค้าจะได้ทำมาหากินกันเป็นปกติสุข...
ต่อมาไม่นานก็เกิดม็อบเสื้อแดงชุมนุมใหญ่ไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ตอนสงกรานต์ ซึ่งหากเป็นไปตามมาตรฐานเดิม ดุสิตก็ควรต้องออกมาแถลงข่าวให้ท้ายม็อบ และไล่รัฐบาลออกเพราะคุมม็อบไม่อยู่บ้านเมืองวุ่นวาย พ่อค้าทำการค้าขายไม่ได้ แต่หนนี้ดุสิตพูดอีกอย่างว่า
ภาคเอกชนเรียกร้องให้ผู้ที่ออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาล ยุติการกระทำใดๆ ที่จะก่อให้เกิดผลเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ก่อนที่ผลกระทบจะส่งผลเสียหายไปมากกว่านี้ เอกชนได้พยายามร่วมมืออย่างเต็มที่เพื่อให้ปัญหาเศรษฐกิจประเทศคลี่คลาย ส่วนรัฐบาลก็ได้ดำเนินนโยบายและมาตรการเพื่อทำให้บรรยากาศด้านการค้า การลงทุน รวมทั้งความเชื่อมั่นของประเทศดีขึ้น บุคคลที่เป็นต้นเหตุของการบั่นทอน ควรจะใช้สติทบทวนและไตร่ตรองโดยรอบคอบ ต้องมองถึงประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในประเทศ มิใช่ประโยชน์ของคนใดคนหนึ่ง
ต่อมาเมื่อมีการชมนุมใหญ่ของเสื้อแดงเพื่อรำลึกการรัฐประหาร 19 ก.ย.เมื่อไวๆนี้ ดุสิตออกมาหนุนรัฐบาลเต็มที่ โดยกล่าวว่า
การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงนั้น ขึ้นอยู่กับประชาชนว่ามีความรัก ความสามัคคี และมองประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักหรือไม่ ควรคิดว่าจะสามารถร่วมกันระดมความคิดว่าภายหลังจากที่เศรษฐกิจโลกดีขึ้น จะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวรวมทั้งจะทำอย่างไรในการเสริมสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติ
ส่วนการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ก็เป็นกฎหมายสากลที่ใช้กันทั่วโลก ซึ่งจะเอามาใช้เมื่อมีความจำเป็น และไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าตกใจหากจะเอามาประกาศใช้ในภาวะที่ประชาชนในประเทศไม่มีความสามัคคี
ลูกหม้อเครือซิเมนต์ไทยผู้สืบมรดกต่อจากลูกหม้อซิเมนต์ไทยอีกราย
หลังพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล ยอมกลืนเลือดสละการชิงเก้าอี้ประธานหอแล้ว ดุสิตก็หมดก้างฉลุยขึ้นเป็นประธานสภาหอการค้าคนใหม่ฉลุยในวันที่ 26 มีนาคม 2552
ดุสิตจบปริญญาโทจากอเมริกา เป็นลูกหม้อทำงานกับเครือซิเมนต์ไทยมาแต่ต้นจนเกษียณ เขาเป็นมือบริหารปูนใหญ่ในรุ่นเดียวกับชุมพล ณ ลำเลียง มีตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของเครือซิเมนต์ไทยหลายบริษัท ตำแหน่งสุดท้ายเป็นที่ปรึกษาฝ่ายจัดการ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน)ขึ้นชื่อเรื่องเป็นมือการตลาดของซิเมนต์ไทย
เป็นเครือซิเมนต์ไทยอันมีสำนักงานทรัพย์สินฯเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นกิจการที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ก่อนหน้าดุสิตนั้น ประธานหอการค้าไทยชื่อ ประมนต์ สุธีวงศ์ โดยเขามีโควต้ามาจากการเป็นประธานคณะกรรมการโตโยต้าประเทศไทย และเป็นคนไทยคนแรกที่เป็นประธานโตโยต้า
เขาเก่งกล้าสามารถมาจากไหน? หากใครรู้จักบริษัทญี่ปุ่นดีก็จะพบว่าเขาใช้คนญี่ปุ่นเป็นประธานทั้งนั้น หรือไม่งั้นก็ต้องเรียนจบญี่ปุ่น แต่ประมนต์นี่จบตรี โทจากอเมกา...แล้วทำไมมาเป็นได้..
คำตอบคือพอดีว่าประมนต์มาจากเครือซิเมนต์ไทย
นายประมณฑ์เป็นลูกหม้ออยู่ที่เครือซิเมนต์ไทยมาแต่หนุ่มยันเกษียณในปี2542 ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย..ปูนซิเมนต์ไทยที่มีสำนักงานทรัพย์สินฯถือหุ้นใหญ่นั่นเอง
เครือซิเมนต์ไทยถือหุ้นใหญ่ในโตโยต้าประเทศไทย 10% เช่นเดียวกับบริษัทจากต่างประเทศที่มาลงทุนในไทยโดยทั่วไปที่เครือสำนักงานทรัพย์สินฯจะได้รับเกียรติให้เข้าไปร่วมถือหุ้นด้วยในฐานะเจ้าบ้านที่ดี รวมทั้งกรณีของรถไถนาคูโบต้า รถไถนาเดินตามที่มียอดขายสูงสุดในเมืองไทย ก็มีทรัพย์สินเข้าไปถือหุ้น 10 %
เมื่อประมณฑ์หมดวาระลง แทนที่เก้าอี้ประธานหอการค้าจะตกเป็นของแคนดิเดตอันดับ1 กลับถูกผูกขาดจากคนที่เป็นลูกหม้อเครือทรัพย์สินฯ จากนั้นก็มีบทบาทเคลื่อนไหวทางการเมืองสอดคล้องกับรัฐบาลอภิสิทธิ์และเครือข่ายอำมาตย์อย่างเป็นจังหวะจะโคน ก็ทำให้ข้อสงสัยต่างๆคลี่คลายลงว่า เพราะเหตุใดนายดุสิต นนทนาคร จึงเหมาะสมกับตำแหน่งประธานหอการค้า
ผลประโยชน์การค้าไทย-กัมพูชาปีละนับแสนล้านบาท อาจไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับเครือข่ายองค์กรซ่อนเงื่อนของอำมาตย์ที่ขอพิฆาตทักษิณเป็นภารกิจหลัก
*ทูตสุรพงษ์ ชัยนามกับปฏิบัติการแค้นฝังเหลี่ยม
นายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัคราชทูตคนหนึ่ง ซึ่งเคลื่อนไหวสอดคล้องกันได้ออกมาเคลื่อนไหวล่าสุด โดยไปออกรายการASTV กล่าวสนับสนุนรัฐบาลหุ่นเชิดว่า "คราวนี้ต้องตอบโต้ที่หนักขึ้น นอกจากเรียกทูตกลับ แล้วยังชะลอ ความช่วยเหลือ ความร่วมมือในโครงการต่างๆด้วย เพื่อดูท่าที ฮุนเซน อีกครั้ง ทั้งนี้หาก ฮุนเซน ยังไม่เข้าใจอีก สิ่งที่ชะลอไว้อาจยกเลิกไปเลย"( คลิ้กดูข่าว )
นายสุรพงษ์แม้จะเป็นทูต ซึ่งภาพลักษณ์ดีเป็นกลาง แต่ก็พบว่าเบื้องหลังความเคลื่อนไหวของเขานั้นมาจากได้รับผลกระทบส่วนตัวเมื่อครั้งยังรับราชการอยู่
เขาเป็นน้องชายของทูตผู้ใหญ่อีกรายคือนายอัษฎา ชัยนาม ทั้งสองมีศักดิ์เป็นหลานนายดิเรก ชัยนาม อดีตผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง2475และอดีตเสรีไทย
ปัญหาเกิดขึ้นในยุครัฐบาลทักษิณ มีดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ถูกนายอัษฎา ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในกระทรวงซึ่งใกล้เกษียณอายุราชการ ได้วิพากษ์วิจารณ์ไม่เห็นด้วยกับนโยบายต่างประเทศของดร.สุรเกียรติ์หลายเรื่อง สร้างความไม่พอใจให้สุรเกียรติ์มาก จึงหันไปเล่นงานนายสุรพงษ์ผู้น้องชายแทน เพราะนายอัษฎาเกษียณอายุราชการไปก่อน
โดยสุรเกียรติ์ได้ย้ายนายสุรพงษ์จากอธิบดีกรมใหญ่ในกระทรวงต่างประเทศ ลดชั้นให้ไปเป็นทูตเยอรมนี และเอาไปเอามาก็ย้ายไปเป็นทูตที่แอฟริกา เทียบได้กับย้ายไปอยู่ชายแดนเป็นการลงโทษ นายสุรพงษ์จึงลาออกแล้วมาเคลื่อนไหวบนเวทีพันธมิตรไล่รัฐบาลทักษิณเพื่อแก้แค้น
หลังรัฐประหาร19กันยา นายสุรพงษ์ได้ไปมีตำแหน่งในรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ และในฐานะเคยเป็นปัญญาชนศึกษาลัทธิมาร์คซ์มามาก เขาได้เขียนบทความเรื่อง"กองทัพกับประชาธิปไตย"หลังรัฐประหาร19กันยา ความสำคัญโดดเด่นอยู่ตรงมันเป็นบทความที่มุ่งอธิบายและให้ความชอบธรรมโดยนัยแก่การรัฐประหารของกองทัพเพื่อกอบกู้ฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตย ด้วยหลักเหตุผลวิชาการอย่างจริงจัง จากกรอบแนวคิดทฤษฎีของฝ่ายซ้าย
เรื่องนี้ทำให้นักวิชาการฝ่ายซ้ายเก่า อย่างดรเกษียร เตชะพีระ ถึบกับทนไม่ไหว ได้เขียนบทความวิจารณ์สุรพงษ์ว่า "เมื่อเอาหูแนบตั้งใจฟังข้อความของสุรพงษ์ ก็พอจะแว่วกังวานแห่งคำประกาศ "สงครามครั้งสุดท้าย" ของสนธิ ลิ้มทองกุล..."
00000000000
อย่าพลาดซีรีส์สุดมันส์ลากไส้องค์กรซ่อนเงื่อนชุดใหญ่เต็มๆเนื้อๆ
-ซีรีส์ลากไส้องค์กรซ่อนเงื่อน(ตอนที่1):เอ็นโตดี NGO พวกเขาไม่ได้โง่และไม่ได้บ้าแต่ว่าเพี้ยน..
-ซีรีส์ลากไส้องค์กรซ่อนเงื่อน(ตอนที่2):ยอยศการเมืองภาคประชาชน นาฏกรรมบนลานกว้าง
-ซีรีส์ลากไส้องค์กรซ่อนเงื่อน(ตอนที่3):ในนามของการหยุดทำร้ายประเทศไทย พวกเขาออกใบอนุญาตฆ่าผู้เรียกร้องประชาธิปไตย
-ซีรีส์ลากไส้องค์กรซ่อนเงื่อน(ตอนที่4):NGO-เอ็นโตดี ชื่อนี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
-ซีรีส์ลากไส้องค์กรซ่อนเงื่อน(ตอนที่5):ผลสำรวจเบื้องหลังคนทำโพลล์
-ซีรีส์ลากไส้องค์กรซ่อนเงื่อน(ตอนที่6):ใครสั่งโค่นเหลี่ยม?
-ซีรีส์ลากไส้องค์กรซ่อนเงื่อน(ตอนที่7):Conspiracy theoryชู้รักเลดี้แชตเตอร์ลีย์
-ซีรีส์ลากไส้องค์กรซ่อนเงื่อน(ตอนที่8):ฉากและบางถ้อยคำสำคัญวันยึดอำนาจ
-ซีรีส์ลากไส้องค์กรซ่อนเงื่อน(ตอนที่9):Between the lineของระบอบเทวดา
-ซีรีส์ลากไส้องค์กรซ่อนเงื่อน(ตอนที่10):ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก
ซีรีส์ลากไส้องค์กรซ่อนเงื่อน(ตอนที่11):กลุ่มกษัตริย์นิยมกับประชาธิปไตยแบบไท้ยไทย
-ซีรีส์ลากไส้องค์กรซ่อนเงื่อน(ตอนที่12):มหาลัยใหญ่โตเหวย! มืดจริงหนอสถาบันอันกว้างขวาง
-ซีรีส์ลากไส้องค์กรซ่อนเงื่อน(ตอนที่13):นักศึกษาประชาชนและมวลชนผู้ขมขื่น รวมกันหยัดยืน..
-ซีรีส์ลากไส้องค์กรซ่อนเงื่อน(ตอนที่14):เบื้องลึก"ข้อมูลใหม่"หอการค้าถือหางปชป.-พธม.กระทืบเสื้อแดง
-ซีรีส์ลากไส้องค์กรซ่อนเงื่อน(ตอนที่15):ยมฑูต3ตัว ตัวที่ร้ายลึกคือเคยแสดงปรากฏการณ์ว่าเป็น'ซ้าย'
00000000
บทความเกี่ยวเนื่อง:ซีรีส์สุดมันส์รวมฮิตลากไส้สื่อเห้เสร็จแล้ว เชิญโหลดกระจาย