ที่มา บางกอกทูเดย์
4 จุดตายที่คนเสื้อแดงต้องระวังวันนี้กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศรวมพลคนนับแสนที่เขาใหญ่ แน่นอนว่าขั้วตรงข้ามต่างๆ ไม่เพียงจับจ้องมอง แต่ต้องมีการหาทางดิสเครดิตให้ได้ด้วย... ถ้างานนี้รับมือพลาด... อันตรายแน่ การทำให้เกิดปรากฏการณ์แดงทั้งขุนเขา เพราะเสื้อแดงมาเยอะร่วมแสนคน มุมหนึ่งไม่เพียงเป็นลางบอกเหตุว่า คนไม่ชอบรัฐบาลนี้มากขึ้น แต่อย่าลืมอีกมุมหนึ่งว่านี่จะเป็นการเตือนขั้วตรงข้ามทั้งหลายว่าจะต้องเร่งมือจัดการกับกลุ่มคนเสื้อแดงให้หนักขึ้นไปอีกฉะนั้นนี่คือ อันตรายอีกจุดหนึ่งที่ไม่อาจจะมองข้าม ซึ่งจะตามมาหลังจากการชุมนุมครั้งนี้อย่างแน่นอน
การนัดชุมนุมพลคนเสื้อแดง ไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ในสังคมไทยอีกต่อไปตราบใดก็ตามที่ความรู้สึกของคนในประเทศนี้ ยังเห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข ยังคงถูกกลุ่มอำมาตยาธิปไตยบิดเบือน จนทำให้เสรีภาพที่แท้จริงทางการเมืองยังไม่มี ตราบใดก็ตามที่ความรู้สึกว่าการบริหารประเทศยังคงมี 2 มาตรฐานตราบใดก็ตามที่ความรู้สึกว่า รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศยังคงแฝงวาระซ่อนเร้นและตราบใดก็ตามที่ความรู้สึกว่าท็อปบูท ปากกระบอกปืน และรถถังยังคงกดหัวคนไทยที่เพรียกหาประชาธิปไตยเมื่อความรู้สึกและสิ่งที่เรียกร้องยังไม่เกิดขึ้นในแผ่นดิน การ
ต่อสู้จะจบสิ้นได้อย่างไรนี่คือ ปัญหาทางการเมืองของไทย ที่ทำให้ยังมีการต่อสู้ มีการเรียกร้อง มีการแสดงพลังจากกลุ่มต่างๆ จนดูเหมือนว่าสังคมไทยไม่ปกติและยากที่จะหาข้อยุติทั้งที่จริงๆ แล้วปรากฏการณ์เสื้อแดง ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากปรากฏการณ์เรียกร้องทางการเมืองที่เกิดขึ้นมายาวนาน โดยเฉพาะหลังจากการเปลี่ยนแปลงปี 2475 เป็นต้นมาเพียงแต่สถานการณ์ของคนเสื้อแดงนั้น ต้องถือว่ายากลำบากเป็นอย่างมากในการต่อสู้ทางการเมือง เนื่องจากไม่เพียงเกิด
ขึ้นมาภายใต้การแตกแยกทางความคิด ทำให้เหมือนกับมีคู่ปรับทางการเมืองที่เป็นขั้วตรงข้ามแม้ว่าในความเป็นจริงหากตั้งสติให้ดี ประชาชนที่แท้จริง ที่เรียกหาประชาธิปไตยโดยบริสุทธิ์ใจนั้น ไม่ว่าจะสวมเสื้อสีแดง หรือสวมเสื้อสีเหลือง จริงๆ แล้วล้วนมีจุดมุ่งหมายเพื่อประเทศชาติไม่แตกต่างกันมีความจงรักภักดีเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้แตกต่างกันเลยแต่เมื่อคนเสื้อแดงมาเกิดขึ้นหลังจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงยิ่งกลายเป็นเพิ่มคู่ปรับมากขึ้น
ไปอีก เพราะทั้งอำมาตยาธิปไตย ทั้งทหาร ถูกโยงใยเข้ามาเป็นขั้วตรงข้าม ที่ต้องหยุดคนเสื้อแดงให้ได้ฉะนั้นแม้กลุ่มคนเสื้อแดงจะเป็นการรวมตัวของคนส่วนใหญ่ของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาคนรากหญ้าทั้งหลาย แต่เมื่อเจอสารพัดกลุ่มรุมขย้ำแบบนี้ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายในการต่อสู้เลยจริงๆแถมสารพัดคู่ปรับนั้น ล้วนเป็นนักสร้างภาพสร้างข้อกล่าวหาที่ฉกาจฉกรรจ์ได้ทั้งสิ้น กรณีพรรคการเมืองเก่าแก่ที่เล่นเกมตะโกนในโรงหนังบ้าง... เล่นใช้ความสามารถในการพูด
ที่เหนือชั้นสร้างความน่าเชื่อให้กับเอกสารหรือกระดาษแผ่นเดียวได้เป็นวรรคเป็นเวรนั้น ยังต้องถือว่านั่นแค่ประถมเพราะวันนี้ทุกเรื่องทุกประเด็น คนเสื้อแดงโดนโยงเข้าในวังวนของข้อกล่าวหาได้หมดยิ่งคู่ปรับแกนนำระดับเจ้าลัทธิด้วยแล้ว ยิ่งบอกได้เลยว่า เสื้อแดงไม่เพียงตั้งรับแทบไม่ทัน แต่ยังแพ้เกมในเรื่องการใช้ถ้อยคำหยาบคายรุนแรงที่กระตุ้นหรือยั่วยุอารมณ์ดิบของคน โดยเฉพาะบรรดาสาวกได้อย่างฉกาจฉกรรจ์ที่สุดดังนั้นการเดินเกมต่อสู้ของคนเสื้อแดงใน
วันนี้บอกได้เลยว่า เหนื่อยสาหัสอย่างยิ่งยิ่งสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีนี้ ทำท่าว่าจะร้อนองศาเดือด เพราะกระแส“ล้มคว่ำ”ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีออกมาเป็นระยะๆ อย่างรุนแรงชนิดไม่สามารถที่จะมองข้ามได้และยิ่งหากดูอาการของพรรคร่วมรัฐบาล ที่วันนี้แทบจะหมดความเกรงใจพรรคแกนนำอย่างพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นถึงนายกรัฐมนตรี แต่พรรคต่างๆ ก็แสดงความเบื่อหน่ายและหมดความอดทนจนทำให้สภา
ต้องออกอาการล่มซ้ำซากรวมทั้งยิ่งหากดูการเร่งเตรียมการเพื่อรับมือการเลือกตั้งที่จะมาถึง แม้แต่พรรคการเมืองใหม่และกลุ่มพันธมิตรฯยังเตรียมจัดงานระดมทุนเพื่อให้ได้เงินเป็นร้อยล้านบาทเอามาใช้เป็นทุนทางการเมือง และการเลือกตั้งที่จะมาถึง ยิ่งสะท้อนชัดว่าสถานการณ์การเมืองในตอนนี้สามารถพลิกผันได้ทุกขณะจิตสถานการณ์เวลาก็กดดัน คู่ปรับทางการเมืองก็สาดโคลนใส่ด้วยสารพัดข้อกล่าวหา เหล่านี้เป็นโจทย์ที่บรรดาแกนนำคนเสื้อแดงจะต้องคิดให้หนัก
และตีโจทย์ให้แตกว่า จะลบล้างข้อกล่าวหาในประเด็นต่างๆ ได้อย่างไรโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อกล่าวหาที่ว่า..... “ทั้งหมดทำเพื่อคนๆ เดียว” แม้ในความเป็นจริงคนเสื้อแดงจะรู้ดีว่า ทั้งหมดทำเพื่อประเทศชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เนื่องจากว่าประสิทธิภาพของการกล่าวหาของกลุ่มที่ต้องการทำลายนั้นมีสูง จึงทำให้คนที่เป็นกลาง คนที่เป็นพลังเงียบของประเทศนี้จึงลังเล และไม่กล้าที่จะแสดงจุดยืนอย่างเปิดเผยดังนั้นการบ้านใหญ่ข้อแรกของคนเสื้อแดง จึงไม่
ใช่เรื่องของการรวมตัวเพื่อแสดงพลัง แต่เป็นการอธิบายข้อเท็จจริงและประกาศเจตนารมณ์ที่แท้จริงให้คนทั้งแผ่นดินรู้และยอมรับให้ได้ว่า ทำเพื่อประเทศชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริงหากทำได้สำเร็จ ลบล้างข้อกล่าวหาได้สำเร็จก็มีโอกาสชนะใส... แต่หากทำไม่สำเร็จโอกาสพ่ายแพ้ก็มีสูงนี่คือ ความเป็นจริงข้อแรกที่แกนนำและคนเสื้อแดงจะต้องยอมรับ และหาทางกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการรับมือให้ได้ก่อนที่จะสายประเด็นต่อมาเป็นโชคร้ายของกลุ่มคน
เสื้อแดง ที่ไม่ได้มีศัตรูเพียงกลุ่มเดียว แต่กลับมีศัตรูหลายกลุ่ม จึงทำให้การต่อสู้ยืดเยื้อ ซึ่งบุคลิกของสังคมไทยเป็นประเภทเบื่อง่ายหน่ายเร็ว และขี้หงุดหงิดขี้รำคาญเมื่อสถานการณ์การต่อสู้ยืดเยื้อ ทำให้มีคนบางส่วนเริ่มบ่นและเริ่มตั้งคำถามว่า เมื่อไหร่จะจบเสียที เมื่อไหร่จะยุติและกลับมาสงบร่มเย็นเหมือนในอดีตเสียที ประเด็นนี้ก็เป็นประเด็นลบต่อภารกิจการต่อสู้เพื่อทวงประชาธิปไตยที่แท้จริงของคนเสื้อแดงยังดีที่คนเสื้อแดงใช้การรวมตัวที่กระชับ ชัดเจน และรักษา
สัญญา บอกว่าจะรวมพลังวันเดียวก็คือ วันเดียว บอกว่าจะยุติแค่เที่ยงคืน ยืดเยื้ออย่างมากก็แค่ครึ่งค่อนชั่วโมงเท่านั้นนี่คือ เสน่ห์ของการรวมตัวแสดงพลังของคนเสื้อแดงแต่ในยุทธศาสตร์การต่อสู้ทางการเมือง การรวมพลังลักษณะนี้จะเพียงพอต่อการสู้กับกลุ่มที่ต้องการทำลายได้หรือไม่ นี่คือ ปัญหาใหญ่ข้อที่ 2 ของคนเสื้อแดงที่จะต้องตีโจทย์ให้แตกด้วยเช่นกันปัญหาใหญ่ประการที่ 3 ของการรวมพลังของคนเสื้อแดง ก็คือ เนื่องจากเป็นการรวมพลังของคนจำนวนมาก
เรือนหมื่นเรือนแสนที่มากันโดยอิสระ มากันด้วยใจ จึงทำให้การควบคุมดูแล ทำได้ยากมากกว่าการดูแลม็อบจัดตั้งทั้งหลายการถูกแทรกตัวเข้ามาของมือที่ 3 เพื่อสร้างความปั่นป่วน หรือเพื่อทำลายภาพลักษณ์ของคนเสื้อแดง ก็เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ไม่ยาก ประจักษ์พยานการเสียรู้ของคนเสื้อแดง ก็เคยโดนชัดเจนมาแล้วเมื่อครั้งเมษาเลือด ที่ถูกแผนส่งคนเข้ามาแทรก และชักจูงไปสู่ความรุนแรงบานปลายทำให้คนเสื้อแดงเสียคะแนนไปมากเช่นเดียวกับการเสียรู้ในเหตุ
วุ่นวายที่พัทยา ช่วงการประชุมอาเซียนล่ม ทั้งๆ ที่เหตุปะทะเหตุวุ่นวายรุนแรงมาจากคนเสื้อน้ำเงินแท้ๆ แต่ภาพลักษณ์ของคนเสื้อแดงกลับถูกกระทบ เพราะถูกปรักปรำไปเต็มๆที่สำคัญ ไม่ว่าในการต่อสู้ใดๆ แพ้ก็คือแพ้ ไม่อาจที่จะแก้ตัวได้ ดังนั้น ในเมื่อเมษาเลือดและพัทยาคนเสื้อแดงเป็นฝ่ายแพ้เพราะเสียรู้ ก็ต้องถือว่าแพ้ จะอ้างโน่นอ้างนี้ไม่ได้สิ่งเดียวที่ทำได้คือ จดจำบทเรียนไว้ให้ดี แล้วอย่าให้แพ้อีกการรวมพลแสดงพลังที่หวังจะให้แดงทั้งภูเขา ที่บริเวณโบนันซ่า เขา
ใหญ่คือ การวอร์มอัพกล้ามเนื้อเตรียมพร้อมออกศึกใหญ่ ที่แกนนำเสื้อแดงประกาศอย่างเชื่อมั่นว่า จะมีคนมาร่วมนับล้านคนในปลายเดือนพฤศจิกายนนี้.....หากถึงวันนั้น มีคนเสื้อแดงมาร่วมกันนับจำนวนล้านจริง การบริหารดูแล ป้องกันมือที่ 3 ยิ่งต้องเข้มงวด อย่าให้ใครเข้ามาป่วนและสร้างความวุ่นวายได้หากคุมไม่อยู่ จำนวนคนเป็นล้าน จะทำให้คนเสื้อแดงถูกสาดโคลนให้เพลี่ยงพล้ำได้ซึ่งที่ผ่านมาการรวมพลคนเสื้อแดง ยืนอยู่ในระดับหมื่นคนแสนคนเป็นหลัก แต่ครั้งนี้
เป็นครั้งแรกที่จะขยับก้าวขึ้นสู่หลักล้าน ฉะนั้นยิ่งต้องรอบคอบและระมัดระวังให้จงหนัก เพราะแม้จะกระหึ่มในการแสดงพลัง แต่ก็แฝงจุดอ่อนอยู่ในทีแกนนำต้องเอาให้อยู่ ต้องกันมือที่ 3 ให้ได้ชะงัดที่สุดและในประการที่ 4 หากคนมานับล้านคนจริงๆ จุดที่จะถูกโจมตีว่าเป็นการจัดตั้งก็คือ เรื่องของงบประมาณค่าใช้จ่ายในแต่ละวันที่จะต้องมี และขั้วตรงข้ามจะต้องตั้งคำถามว่าแล้วงบสนับสนุนเหล่านี้มาจากไหน??เพราะขนาดสถานที่จัดงานคือโบนันซ่า เขาใหญ่ เป็น
ธุรกิจเอกชนที่ใครมีเงินจ่ายค่าเช่าก็สามารถมาใช้สถานที่ได้ เที่ยวนี้ยังโดนตั้งคำถามว่า สนับสนุนแดงหรือไม่ เลือกข้างหรือไม่?ก็ถ้ากลุ่มพันธมิตรจะไปเช่าเพื่อรณรงค์หาเงินสนับสนุนพรรคการเมืองใหม่บ้าง จะให้เหลืองพรืดบ้าง ก็สามารถทำได้ ใครจะไปว่า หรือแม้แต่ก๊วนเพื่อนเนวินและภูมิใจไทย จะเช่าวางแผนเพื่อผลักดันให้นายเนวิน ชิดชอบ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีดังที่ฝันไว้ จะทำให้เขาใหญ่เกลื่อนไปด้วยสีน้ำเงินก็ได้ด้วยเช่นกัน เพราะนายเนวินมีปัญญาจ่าย มี
ปัญญาเลี้ยงดูปูเสื่อกลุ่มพลังที่มาได้อยู่แล้วในขณะที่กลุ่มเสื้อแดง แกนนำการชุมนุมที่โบนันซาในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นนายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ 3 เกลอแห่งรายการความจริงวันนี้ รวมทั้งแกนนำคนอื่นๆ จะต้องเตรียมพร้อมให้ดีที่สุด จะปล่อยให้เกิดความวุ่นวาย จะเผลอเปิดจุดอ่อนหรือการ์ดตกไม่ได้เลยบอกแล้วว่าถ้าพลาดงานนี้ถูกขย่มแน่การทำให้เกิดปรากฏการณ์แดงทั้งขุนเขา เพราะเสื้อแดงมาเยอะนับจำนวนร่วมแสน คือ
ยุทธศาสตร์ที่น่าจับตามองอย่างยิ่งของฝ่าย“คนเสื้อแดง”เพราะนั่นคือการ“ทดสอบความพร้อม” ทั้งกำลังคนและสภาพจิตใจ ปฏิบัติการ“เพื่อนร่วมร้อง พี่น้องร่วมรบ” จึงเป็นยุทธวิธีที่“ฝ่ายเสื้อแดง” นำออกมาใช้ชนิดที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนวันนี้...ถ้าทั้งภูเขาที่โบนันซ่ากลายเป็น“สีแดงทั้งภูเขา” นั่นย่อมหมายถึงว่า...คนเสื้อแดงก็มี“ความพร้อมสูง” สำหรับเป้าหมายจำนวนล้านที่จะชุมนุมใหญ่ในปลายเดือนนี้ เพื่อ“แตกหัก”กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ ในการเรียกร้อง
ประชาธิปไตยใครจะไป?? ใครจะอยู่??แต่อย่าลืมอีกมุมหนึ่งว่า นี่จะเป็นการเตือนขั้วตรงข้ามทั้งหลายว่าจะต้องเร่งมือจัดการกับกลุ่มคนเสื้อแดงให้หนักขึ้นไปอีกฉะนั้นนี่คือ อันตรายอีกจุดหนึ่งที่ไม่อาจจะมองข้าม ซึ่งจะตามมาหลังจากการชุมนุมครั้งนี้ และการชุมนุมใหญ่ในปลายนี้อย่างแน่นอนดังนั้นเสื้อแดงคงจะต้องใช้เสียงคนนับล้าน ประกาศให้ชัดเจนว่า เป็นการต่อสู้เพื่อทวงคืนประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่จะเกิดขึ้นในปลายดือนนี้ และมีจุดร่วมคือการ “โค่นล้ม ระบอบ
อำนาจอำมาตยาธิปไตย” จึงต้องนำเสนอเนื้อหาหลักการประชาธิปไตยที่ชัดเจนมากกว่าการชูตัวบุคคล เพื่อไม่ให้ขั้วตรงข้ามฉวยโอกาสทำลายความชอบธรรมในการต่อสู้ ป้ายสีว่าขบวนการเสื้อแดงทำเพื่อคนคนเดียวการบ้านครั้งนี้จึงหนักหนาสาหัสและท้าทายอย่างยิ่งว่า กลุ่มคนเสื้อแดงจะทำได้หรือไม่ได้? จะรอดหรือไม่รอด? และจะฝ่อหรือไม่ฝ่อ?เพราะมีทั้งคนรอดู คนรอลุ้น และคนรอซ้ำเติม.....!!