ที่มา Thai E-News3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เสียชีวิต ยังได้รับเกียรติ เรียกว่า "ผู้ก่อความไม่สงบ" แต่คนเสื้อแดงที่ออกมาชุมนุมเรียก "ผู้ก่อการร้าย" แบบนี้มันยุติธรรมหรือไม่? เราเห็นรัฐบาลทำไม่ถูกต้องจึงออกมาเรียกร้อง ทำอะไรก็ผิดหมด ปิดทีวีไม่มีสื่อให้นำเสนอความคิดข้อเรียกร้อง..
โดย สุชาฎา ประพันธ์วงศ์
ที่มา มติชนออนไลน์
หลังเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับฝ่ายทหารเมื่อวันที่ 10 เมษายน มีผู้เสียชีวิต 25 คน เป็นพลเรือน 21 ราย ทหาร 4ราย บาดเจ็บกว่า800 คน เจ้าหน้าที่และพลเรือนที่ได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้เคียง ผ่านไปกว่า 3 สัปดาห์แล้วสาเหตุการเสียชีวิตและบาดเจ็บยังไม่มีการชันสูตรว่าเกิดจากอะไร
โรงพยาบาลกลางนับว่าเป็นโรงพยาบาลที่มีผู้ชุมนุมเข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บจากเหตุการณ์ปะทะกันที่สี่แยกคอกวัวและหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา กว่า 146 ราย มีผู้ป่วยถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินกว่า 20 คน ขณะนี้ยังนอนพักรักษาตัวอีกประมาณ 5 ราย
เกิดอะไรขึ้นในวันที่เจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปสลายการชุมนุมจนมีผู้บาดเจ็บล้มตายกันมากขนาดนี้ จากปากของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ท่ามกลางหมอกควันของแก๊สน้ำตา ก่อนสับสวิตช์ดับไฟถนน เสียงปืนดัง ระเบิดตูม สนั่นถนนราชดำเนิน ปิดฉากด้วยจลาจลนองเลือด
นายจันทรา จันทร์สุข อายุ 34 ปี เรียนจบชั้น ป.6 อาชีพรับจ้าง หนึ่งในผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนอนพักรักษาอาการบาดเจ็บจากกระสุนปืนถูกยิงเข้าที่ไหล่ซ้ายด้านหน้าทะลุลงปอดออกทางด้านหลัง เหตุเกิดที่แยกคอกวัว ยังคงนอนพักฟื้นเพราะอาการบาดเจ็บจากแผลที่ถูกยิงร่างกาย ยังไม่ฟื้นดีนัก กล่าวด้วยเสียงอ่อนเพลีย "ลุกไม่ไหว พูดไม่ค่อยได้ เหนื่อย หายใจไม่ถนัดเหมือนแต่ก่อน" เล่าถึงนาทีชีวิตเฉียดตายว่า"ผมยืนประจันหน้าอยู่กับทหารที่แยกคอกวัว ประมาณแถว 4-5 ทางฝั่งคนเสื้อแดงที่กำลังผลักดันทหารไม่ให้เข้ามาสลายผู้ชุมนุม ระหว่างที่รอเข้าไปเสียบเพื่อให้เพื่อนที่อยู่แถวหน้าได้พัก ผมก็ถูกยิงร่วง ตัวชาเลือดไหลไม่หยุด รับรู้ทุกอย่างแต่ขยับตัวไม่ได้"
ทหารเพียบ ! พวกเรากำลังยืนเผชิญหน้ากับทหารกระสุนวิ่งมาจากด้านบนตึก กระสุนพุ่งเข้าที่ไหล่ซ้ายทะลุปอด น่าจะเป็นการยิงมาจากที่สูงเพราะกระสุนแทงลงด้านล่าง แต่ไม่รู้ว่าใครยิง เพราะว่าตอนนั้นดับไฟมืดไปหมด เห็นแต่กลุ่มทหารกำลังผลักดันอยู่กับผู้ชุมนุม พอถูกยิงร่วงขยับไม่ได้เลย คนเสื้อแดงที่อยู่แถวนั้นก็พาตัวออกมานั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปส่งโรงพยาบาล พอมาถึงก็เห็นเพื่อนพี่น้องเสื้อแดงบาดเจ็บอยู่เต็มโรงพยาบาล
หมอให้นอนพักฟื้นอีกนาน ตอนนี้ห่วงพี่น้องเสื้อแดงที่ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย ไม่คิดว่าทหารจะกล้ายิงประชาชน เสียใจที่รัฐบาลทำแบบนี้ ถึงวันนี้ยังไม่มีใครมาถามเรื่องวันเกิดเหตุว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เรื่องนี้รัฐบาลต้องรับผิดชอบประชาชนที่หันหน้าเข้าหน้าเจ้าหน้าที่แล้วถูกยิงหน้าอกแบบนี้
ยังต้องถามอีกหรือว่าใครยิง ?
การสลายการชุมนุมที่มีทั้งแก๊สน้ำตา เครื่องบิน (เฮลิคอปเตอร์) ทิ้งแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมไปทั่วพื้นที่ แล้วเคลื่อนทหารเข้ามาช่วงหัวค่ำ ปิดไฟถนนหมด แบบนี้จะให้ผู้ชุมนุมทำอย่างไร พวกเราจึงต้องสู้กันเต็มที่ผลักดันทหารออกไป"นาทีนั้นไม่มีใครกลัวตายแล้ว ตายเป็นตาย วิ่งเข้าใส่อย่างเดียว เห็นภาพผู้ชุมนุมที่วิ่งเข้าไปต้านทหารไม่ให้เข้ามาถูกกระบองฟาด ถูกกระสุนปืน มันเป็นภาพที่เจ็บปวดมากสำหรับประชาชนคนหนึ่งที่ออกมาเรียกร้อง ต้องมารบกับทหารด้วยมือเปล่า"
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น เกิดหลังจากพระอาทิตย์ตกดินแล้ว มองไม่ค่อยชัด มีหลายคนถูกหามออกมาจากด่านหน้า"ทำกับเราเหมือนเราไม่ใช่คน อยากยิงก็ยิง ถ้าไปทำกับพี่น้องเขาบ้างจะรู้สึกอย่างไร"
สำหรับค่ารักษาพยาบาล"ในหลวง" ออกให้รู้สึกดีใจมาก คนเสื้อแดงรักเจ้าไม่คิดจะล้มล้างสถาบันแต่อย่างใด มาถามชาวบ้านกันบ้าง ไม่ใช่คิดกันเอง" นายจันทราที่เปลี่ยนจากท่านอนพยายามลุกขึ้นมานั่งคุยพร้อมกับชี้รอยกระสุนที่หัวไหล่ให้ดูก่อนจะหมดแรงล้มลงนอนบนเตียงอย่างเมื่อยล้าที่เตียงนอนผู้ป่วยชาย ชั้น 8 ห้องพัดลม
************
ที่ชั้น 9 ยังมีผู้ป่วยคนเสื้อแดงที่นอนไม่รู้สึกตัวบนเตียงคนไข้มีภรรยาคอยดูแลให้กำลังใจไม่ห่างมีพยาบาลที่ดูแลอย่างใกล้ชิด นางกูลกิจ สุริยะแก่นทราย อายุ 58 ปี นอนเฝ้าสามี นายวสุ สุริยะแก่นทราย อายุ 59 ปี ชาวบุรีรัมย์ที่ย้ายมาอยู่ปทุมธานีเกือบ 40 ปี
สามีที่นอนไม่รู้สึกตัวเนื่องจากถูกของแข็งฟาดจนกะโหลกศีรษะร้าว มีเลือดคลั่งในสมอง และซ้ายขวาถูกตีมีรอยเขียวช้ำ ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ แพทย์ระบุว่าเป็น "อัมพาต"
ข่าวร้ายที่นางกูลกิจได้รับหลังจากที่พลัดพรากจากสามีในวันเกิดเหตุนองเลือด 10 เมษายน"หลังจากที่แยกย้ายกันตอนเที่ยงสามียังไม่ได้กินข้าว พอได้ยินว่าทหารกำลังเตรียมบุก ก็เดินลุยไปสกัดทหารมือเปล่า อยู่แนวหน้า ส่วนดิฉันอยู่เฝ้าเต็นท์ทำกับข้าวรอพวกผู้ชายที่ออกไปทำธุระ(ต้านทหาร) หลังจากนั้นมีเครื่องบิน(เฮลิคอปเตอร์)บินมา 2 ลำโยนแก๊สน้ำตาลงมาควันลอยเต็มพื้นที่ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าอะไร ไปโบกมือให้เครื่องบิน ควันที่ลอยตัดกับแสงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้ามันสวยดีไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ไม่นานก็แสบตา วิงเวียน คลื่นไส้ "
อีกไม่นานเกิดเหตุชุลมุน คนหนีตาย มีคนมาดึงให้ไปหลบในที่ปลอดภัย แต่ไปไหนไม่ได้ เพราะต้องรอสามีอยู่ในเต็นท์ กลัวว่าสามีกลับมาแล้วจะหาไม่เจอ ต้องดื่มน้ำ อมน้ำ บ้วนน้ำสลับกันอยู่อย่างนี้ เอากระดาษทิชชูซับน้ำปิดลูกตาไว้เพราะเอาผ้าให้ผู้ชายที่ไปอยู่แนวหน้าแล้ว
สภาพวันนั้นเหมือนสนามรบ บางคนเอาน้ำน้ำซาวข้าวล้างหน้า เชื่อว่าล้างพิษได้ บางคนคว้าน้ำอะไรได้ก็ช่วยกันล้าง ปะพรม เท่าที่พวกเราจะหาได้ช่วยเหลือกันไป
หลังจากควันแก๊สน้ำตาลอยลงมาปกคลุมพื้นที่เกือบหมดแล้ว มีเครื่องบินวนมาอีกรอบแต่ไม่ได้เข้ามาตรงกลางที่ชุมนุม กลับบินวนรอบๆและไปหยุดที่หลักคาตึก (แต่ไม่อยากบอกว่าเขามาปล่อยอะไรลงมา เพราะเราไม่มีกล้องเก็บภาพไว้เป็นหลักฐานพูดไปก็ไม่ดีไม่มีประโยชน์)
เครื่องบินหายไป 1-2 ชั่วโมง มีเสียงปืนดังขึ้นเกิดเหตุระเบิดที่แยกคอกวัว จากนั้นคนเสื้อแดงช่วยกันขนผู้บาดเจ็บเลือดโชก ออกมาจากที่เกิดเหตุที่แยกคอกวัว กับโรงเรียนสตรีวิทยา พากันนั่งมอเตอร์ไซค์ผ่านหน้าไปหลายราย
ตอนนั้นคิดได้อย่างเดียว คือ ทำไมทำกันขนาดนี้ รัฐใช้อำนาจเกินไปแล้ว เพื่อนๆผู้ชุมนุมหลายคนดึงให้ออกจากเต็นท์เพราะอยู่ใกล้พื้นที่อันตราย แต่ไปไม่ได้ต้องรอสามี จนกระทั่งดึกสามียังไม่กลับมา จึงกลับไปที่บ้านให้หลานช่วยโทรเช็คตามโรงพยาบาลให้ ภาวนาว่าอย่างน้อยให้เจอศพก็ยังดีอย่าให้ทหารต้องเอาไปเลย"สัญญากันไว้ว่าเราตั้งใจทำความดี ถ้าทำดีแล้วไม่ได้ดีขอให้ตายไปเลยอย่าได้พิการหากพิการจริงๆ ขอให้หมอฉีดยาตาย"
แต่เมื่อมาเห็นสามีในสภาพพิการแบบนี้ก็ทำไม่ลง
มาเจอสภาพลงความรู้สึกตันไปหมด บอกไม่ถูก ทำใจไว้แล้ว พวกเรามือเปล่าไม่มีใครมีอาวุธ ยังไงก็เชื่อว่าความจริงต้องเป็นความจริง
"มีคนเอาค้อนตอกตะปูมาเทให้ผู้ชุมนุม ถามว่าฝีมือใครพวกเราไม่เคยทำเลย"
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พวกเราผู้ชุมนุมได้บทเรียน
บทเรียนในการหาวิธีป้องกัน "แก๊สน้ำตา" บอกต่อกันว่า ให้อมน้ำแล้วบ้วนน้ำทิ้ง หลังจากนั้นให้กินน้ำมะพร้าวตามเพื่อล้างพิษจะช่วย ไม่ให้เจ็บคอ เป็นหวัด น้ำมูกไหล
ไม่เข็ดหรอ ?
เราภูมิใจที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ เสียใจบ้างเพราะเรายังเป็นคนอยู่ สองผัวเมียที่จับมือกันมาชุมนุมเรียกร้องขอความเป็นธรรมตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม โดยมีสาเหตุจูงใจ คือ ความไม่ยุติธรรมในสังคม
สมัยที่สนามบินดอนเมืองยังไม่ปิดให้บริการขอแค่เดินผ่านออกมาซื้ออาหารยังไม่อนุญาตแต่พวกที่เข้าไปปิดสนามบินกลับไม่มีความผิด ไม่ติดคุกแล้วยังได้เป็นรัฐมนตรีอีก
ที่รัฐบาลมากล่าวหาว่าคนเสื้อแดงจ้องล้มเจ้า ถามกลับบ้างไหมว่าพวกไหนกันแน่ไม่จงรักภักดี นอนฟังข่าวกันสองคนผัวเมียได้ยินว่าไปปลุกในหลวงตอนตี 1 ตี 2 ไปปลุกในหลวงเพื่อแต่งตั้งคณะปฏิวัติ ทำไมไม่มีความเกรงใจ จากนั้นมาเราตั้งใจกันไว้ว่า ใครก็ตามที่มีความตั้งใจเรียกร้องความยุติธรรม จะขอเป็นแนวร่วมด้วยเพื่อทำให้กฎหมายเป็นธรรมไม่เคยได้รับเงินค่าจ้างแม้แต่บาทเดียวให้ธรณีสูบก็ได้ถ้าโกหก พวกเราเดินทางไปกลับปทุมธานีกับสะพานผ่านฟ้า ควักเงินตัวเองทั้งนั้น วันละ 200 บาท อาศัยเต็นท์จากเสื้อแดงต่างจังหวัดที่ทำอาหารกินกันแบบไม่มีหวง สลึงเดียวก็ไม่ได้หากได้จริงขอให้ธรณีสูบไปเลย ย้ำอีกครั้ง
บ้านเมืองไม่ยุติธรรมจะเอาความสงบมาจากที่ไหน บิดเบือนทุกอย่าง บางคนที่ไม่ชอบแนวทางของเราก็ด่าว่าเราสารพัดแต่เราไม่สนใจ เพราะเราเชื่อมั่นในความยุติธรรมการได้มาชุมนุมถือว่า "คุ้มเกินคุ้ม" ไม่ต้องมองว่าจะชนะวันนี้วันพรุ่งนี้ มองแค่ว่า "ความดีต้องชนะความชั่ว" คนคิดไม่เหมือนกัน ที่เขามาว่าเราสะใจที่เห็นเราตายก็เพราะเขาไม่เข้าใจ มันโหดร้ายเกินไปเหมือนไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ "ขอแค่เอาชนะ สะใจ ขอให้อยู่ในตำแหน่งครบวาระ"
รู้สึกภูมิใจมากที่ในหลวงออกค่ารักษาพยาบาลให้ไม่คิดว่าจะได้อะไรตรงนี้ คิดแค่ว่าเตรียมเงินทำศพไว้คนละ 2500 บาท ค่าเผาแต่ไม่ต้องบอกใครเพราะเราพร้อมใจมาตรงนี้ ไม่ตายวันนี้ก็ตายพรุ่งนี้ เพื่อความยุติธรรมทำด้วยใจไม่มีอะไรต้องกลัวหรือเกรง
ก่อนจะขอตัวไปดูอาการสามีที่เพิ่งย้ายออกจากห้องไอซียูมาอยู่ห้องพักฟื้นได้แค่ 1 วันเท่านั้น
******************
ที่ชั้น 10 โรงพยาบาลกลาง มีการ์ดเสื้อแดงที่นอนพักรักษาอาการบาดเจ็บจากกระสุนปืน แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ ขณะที่การ์ดชายฉกรรจ์สวมเครื่องแบบเสื้อแดง ผูกผ้าพันคอ อันเป็นสัญลักษณ์การ์ดเต็มยศ กำลังคล้องบัตรประจำตัว นปช. สอบถามได้ความว่ากำลังเตรียมตัวจะกลับไปที่ชุมนุมอีกครั้งหลังจากอาการดีขึ้นแล้ว
แทนที่จะกลับบ้านแต่ชายผู้นี้กลับขอกลับไปทำหน้าที่การ์ดดูแลผู้ชุมนุมต่อ ลั่นไม่กลัวตาย!!
ถ้าตายเพราะสิ่งที่ทำอยู่ขณะนี้ก็ภูมิใจ ชีวิตเกิดมาครั้งเดียวได้ทำเพื่อความถูกต้อง เพื่อส่วนรวม เราเลือกข้างอยู่ฝั่งมวลชน แม้จะถูกกระทำตอนนี้แต่เราต้องชนะอยู่แล้ว ตอนนี้ต้องสู้กันไปก่อน"ใครที่ไม่เห็นด้วยกับเราแล้วออกมาต่อต้าน เขาก็บาดเจ็บล้มตายเหมือนกัน ฉะนั้นไม่ต้องมา สะใจ กับการสูญเสียชีวิตของประชาชนคนไทยด้วยกัน ถ้าคุยกันไม่ได้ ไม่เข้าใจ ก็ไม่ว่ากัน ฝ่ายเราโดนฝ่ายเขาก็โดน คงเข้าใจความรู้สึกกันดี ไม่ต้องมาว่ากันให้เจ็บช้ำอีก"
เสียงจากชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่พิทักษ์ด่านแสดงความเห็นเรื่องคนหลากสี
"พร้อมพงศ์ ปลั่งกลาง" อายุ 42 ปี ชาว อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา ประกอบอาชีพค้าขายที่ตลาดนัดสี่มุมเมือง ทำหน้าที่การ์ด นปช. เล่าถึงที่มาของแผลเป็น จากกระสุนปืนเฉียดเป้า เฉี่ยวกระดูก เกือบตัดกล้ามเนื้อทะลุน่อง ต้องนอนโรงพยาบาลถึง 17 วัน ชี้ให้ดูรอยกระสุนที่ทะลุกางเกงยีนส์ ขณะต้านทหารที่ หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา
ระหว่างที่เสื้อแดงเข้าไปยึดรถถังทหารคันที่ 1 ได้สำเร็จ ตนจึงทำหน้าที่ขึ้นไปปลดอาวุธปืนกลบนรถถัง ยังไม่ทันจะสำเร็จมีกระสุนปืนวิ่งมาจากรถถังคันที่ 6 เจาะเข้าที่ขาซ้ายล้มลงร่วงจากรถถังโชคดีที่ใส่หมวกกันน็อค"ขาชาไปหมด ถูกกระสุนจริงยิงขนาด 12.56 ม.ม. เจ้าหน้าที่เริ่มยิงมวลชนเพื่อแย่งพื้นที่ เคลื่อนรถถังเข้ามาประชิด มีคนเสื้อแดงถูกยิงจำนวนมากช่วยขนกันออกมาปฐมพยาบาล"
"สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลไม่มีความสามารถ เอาทหารเข้ามาขู่ประชาชน ใช้ทหารที่เป็นเครื่องมือรัฐ รักษาอำนาจทำกับเราเหมือนไม่ใช่คน เสื้อแดงเจ็บปวด เจ็บแค้นมาก ตั้งแต่เหตุการณ์ "เมษา 52" แล้ว พวกเราถูกไล่ยิงเหมือนอาชญากร มาถึงวันนี้ก็ไม่ต่างกันและ
ครั้งต่อไปก็คงเป็นเช่นกัน "
กระสุนที่ยึดจากทหาร
คนร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เสียชีวิต ยังได้รับเกียรติ เรียกว่า "ผู้ก่อความไม่สงบ" แต่คนเสื้อแดงที่ออกมาชุมนุมเรียก "ผู้ก่อการร้าย" แบบนี้มันยุติธรรมหรือไม่ เราเห็นรัฐบาลทำไม่ถูกต้องจึงออกมาเรียกร้อง ทำอะไรก็ผิดหมด ปิดทีวีไม่มีสื่อให้นำเสนอความคิดข้อเรียกร้อง"รัฐบาลเกลียดประชาชนแบบนี้จะพัฒนาได้อย่างไร มาทำกับเราแบบนี้ แค้นอยู่แล้วประชาชนมือเปล่าแต่รัฐเอารถถังปืนมายิง เราก็ต้องต่อสู้โดยการขว้าง อิฐ ไม้ ไปใส่ทหาร เข้าใจว่าทหารต้องทำตามวินัยและคำสั่งของรัฐบาล"
"เราไม่ท้อ ถอยไม่ได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ถ้าเราถอยก็ต้องกลับไปสู่สภาพเดิมโครงสร้างเดิม ฐานอำนาจเก่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง"พ่อค้าตลาดสี่มุมเมืองยืนยันความตั้งใจ เดินทางมาคนเดียวเพื่อร่วมกับคนเสื้อแดงด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัวหยุดขายของมาตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม เพราะไม่มีครอบครัวตัวคนเดียวจึงไม่มีอะไรให้ห่วง หยุดยาวใช้เงินเก็บ
ก่อนที่การ์ดหนุ่มผู้คมเข้มจะลาพยาบาลที่คอยดูแลและผู้ป่วยจากเตียงรอบๆที่อวยพร "ขอให้โชคดี" และพยาบาลสาวสวยอวยพรให้ "หลบกระสุนให้ดี" ส่วนบุรุษพยาบาลทวง "ซีดี" เหตุการณ์นองเลือดวันที่ 10 เมษายน ฉบับ "เสื้อแดง"
นี่คือเสียงสะท้อนจากคนที่กำลังน้อยกว่าและรู้ว่ากำลังต่อสู้กับอะไร