ที่มา ประชาไท โสภณ พรโชคชัย เขียนบทความ กรณีที่รัฐบาลระบุว่ามีคนคิดจ้องล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ในช่วงที่กำลังมีการต่อสู้ทางการเมือง โดยเตือนว่า “สำหรับผู้ที่ศรัทธารัฐบาลก็คงไม่คิดมากอะไร แต่สำหรับฝ่ายตรงข้าม คนกลางๆ หรือประชาคมโลก อาจคิดเป็นอื่นว่ารัฐบาลพยายามเบี่ยงเบนและใช้ข้อหาเหล่านี้เป็นอาวุธในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามเพื่อรักษาอำนาจทางการเมือง” การที่รัฐบาลออกมาระบุว่ามีคนคิดจ้องล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ในช่วงที่กำลังมีการต่อสู้ทางการเมืองอย่างเข้มข้นระหว่างนักการเมืองสองฝ่ายคือฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายตรงข้ามนั้น สำหรับผู้ที่ศรัทธารัฐบาลก็คงไม่คิดมากอะไร แต่สำหรับฝ่ายตรงข้าม คนกลาง ๆ หรือประชาคมโลก อาจคิดเป็นอื่นว่ารัฐบาลพยายามเบี่ยงเบนและใช้ข้อหาเหล่านี้เป็นอาวุธในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามเพื่อรักษาอำนาจทางการเมือง ก่อนหน้าการชุมนุมประท้วง รัฐบาลก็ไม่เคยระบุว่ามีขบวนการล้มล้างสถาบัน แต่พอการชุมนุมดำเนินมาถึงจุดสำคัญ รัฐบาลก็ประกาศออกมาเช่นนี้ ในแง่หนึ่งอาจดูคล้ายเป็นความบังเอิญ แต่ประชาคมโลก คงไม่มองเช่นนั้น ยิ่งกว่านั้นในฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลก็ได้แสดงการหมิ่นต่างกรรมต่างวาระ แต่รัฐบาลก็ไม่เคยจับกุม รัฐบาลพึงระมัดระวังเรื่องภาพพจน์ เพราะที่ผ่านมาได้ปิดสื่อหลายแขนงโดยอ้างข้อหาต่าง ๆ ทั้งที่ในช่วงเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน2549 ก็ยังไม่เคยทำเช่นนี้ นานาชาติอาจมองไทยติดลบ ทำให้ไทยถูกจัดอันดับเครดิตต่ำลง ส่งผลต่อธุรกิจโดยรวม ยิ่งรัฐบาลไปบริหารราชการแผ่นดินอยู่ในค่ายทหาร ยิ่งทำให้ชาวบ้านเข้าใจได้ว่า หากไม่ได้รับการหนุนหลังจากทหาร รัฐบาลนี้ก็คงอยู่ไม่ได้ การสาดโคลนกันทางการเมืองนั้น จะส่งผลเสียหายต่อประเทศ 3 ประการ คือ ประการแรกเป็นการสร้างบรรยากาศการเกลียดชัง และหวาดระแวงกันในหมู่คนไทยด้วยกันเอง ประการที่สอง เป็นการทำลายระบบตุลาการของชาติ ถ้ามีผู้คิดร้ายต่อสถาบัน รัฐบาลต้องทำสำนวนให้รัดกุมและสั่งฟ้องศาลให้มีคำพิพากษาโดยเร็วที่สุด ไม่ใช่ใช้อำนาจพิเศษ และประการที่สามเป็นการทำให้สถาบันมัวหมองเพราะถูกนำไปใช้ในทางการเมือง สถาบันของเรามั่นคง อยู่ยั้งยืนยงเพราะคนไทยรักในหลวง ในสังคมอาจมีคนเห็นต่างบ้าง แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังมีคนเกลียด ทองรูปพรรณก็ยังไม่สามารถใช้ทองทั้ง 100% ทำขึ้นได้ คนไทยส่วนใหญ่ยอมพลีชีพเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ถ้ามียกเว้นก็คงไม่ใช่ตาสีตาสา แต่เป็นคนรวย ๆ ที่มีสมบัติพัสถานมากมายต่างหากที่อาจไม่ยอมเสียสละ ทั้งประวัติศาสตร์ไทยและประวัติศาสตร์โลกต่างชี้ให้เห็นว่า สถาบันมักไม่เคยถูกล้มล้างโดยคนนอก แต่เป็นเพราะคนใกล้ชิดในลักษณะ “สนิมเกิดแต่เนื้อในตน” มากกว่า แต่โดยที่ในหลวงของเราทรงไว้ซึ่งทศพิศราชธรรม ให้ความเป็นธรรมและเป็นที่พึ่งแก่ทุกฝ่าย สถาบันที่เราเทิดทูนนี้จึงไม่อาจถูกใครมาทำลายได้ สิ่งที่เราคนไทยพึงระวังเพื่อปกป้องสถาบัน จึงไม่ใช่คนภายนอกแต่อย่างใด การจาบจ้วงสถาบันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและต้องถูกลงโทษ ในขณะเดียวกัน การผูกขาดและอ้างความจงรักภักดีมาทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ก็เป็นอาชญากรรมเช่นกัน ต่อไปนี้ไม่ว่าฝ่ายใดก็ต้องไม่ดึงสถาบันมาทำลายล้างทางการเมืองหรือมารักษาอำนาจของฝ่ายตน การต่อสู้ทางการเมืองต้องไม่ใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นประเทศจะเข้าสู่ทางตัน และนำไปสู่ความวิบัติในที่สุด การทำงานทางการเมืองต้องไม่ “ดึงฟ้าทำ ทำหินแตก แยกแผ่นดิน” ถ้าเราทำการเมืองให้สะอาดได้เช่นนี้ ประเทศไทยก็ไปต่อได้ เราคนไทยมาร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีกันเถิด: “ข้าวรพุทธเจ้า เอามโนและศิระกราน
นบพระภูมิบาล บุญญดิเรก
เอกบรมจักริน พระสยามินทร์
พระยศยิ่งยง เย็นศิระเพราะพระบริบาล
ผลพระคุณ ธ รักษา ปวงประชาเป็นสุขศานต์
ขอบันดาล ธ ประสงค์ใด
จงสฤษฏ์ดัง หวังวรหฤทัย
ดุจจะถวายชัย ชโย”