ที่มา ประชาไท อะไรมันจะตลกขนาดนั้น ตอนเช้า ศอฉ.ประกาศจะสลายม็อบเสื้อแดงโดยใช้รถหุ้มเกราะ อ้างว่าเพื่อความปลอดภัยของทหารตำรวจจาก “ผู้ก่อการร้าย” (ไม่ทราบว่าอยู่ในลำดับขั้นไหนของมาตรการสากล จากเบาไปหาหนัก ตามคำสั่งศาล) มิหนำซ้ำ ไอ้เทือกยังทำตาพองข่มขู่ว่าไม่รับประกัน “จับเป็น” แกนนำการชุมนุม แต่ไหงตกค่ำ อภิสิทธิ์กลับออกมาประกาศแผนการปรองดองแห่งชาติ 5 ข้อ ที่ไร้สาระ เลื่อนลอย น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง ฟังออกอย่างเดียวว่า จะยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่วันที่ 14 พฤศจิกายน ไม่โจ๊กไปหน่อยหรือครับ แบบนี้พวกคนชั้นกลางเสื้อหลากสีที่อยากเห็นรถหุ้มเกราะบุกตะลุยเลือดท่วมล้อ ปืนจ่อหัวจตุพร หมอเหวง อริสมันต์ พายัพ ฯลฯ แล้วปุปุ คงปรับอารมณ์ไม่ทัน ตอนเช้ายังกระเหี้ยนกระหือรือ ลูบปากอยากกินลาบเลือดกันอยู่เลย พอตกค่ำ คงร้องว่ามวยล้มต้มคนดูนี่หว่า แต่ผมสนับสนุนที่แกนนำเสื้อแดงแสดงท่าทีขานรับ เพราะพูดมานานแล้วว่าควรจะหาทางลง เพื่อสงวนพลังมวลชนและหาโอกาสตีตลบทางการเมือง 20 กว่าวันที่ผ่านมา เสื้อแดงถูกปิดล้อมอยู่ที่ราชประสงค์ ภายใต้การปิดกั้นสื่อและกล่าวหาบิดเบือนทางเดียว ทั้งล้มเจ้า ทั้งก่อการร้าย ขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงเองก็ฆ่าตัวตายจนเสียหายอย่างที่พูดไปแล้ว สู้ต่อไปก็มีแต่ตายกับตายทางการเมือง แตกหักไปก็ได้ไม่คุ้มเสีย ฉะนั้นลงเถอะครับ ทำความเข้าใจกับมวลชนว่าถอยไม่ใช่แพ้ แต่สะสมกำลังสู้ใหม่ได้ การชุมนุมที่ยาวนานมาเกือบ 2 เดือน ถูกปราบ ถูกคุกคาม ถูกให้ร้ายด้วยข้อหาร้ายแรงที่สุดเกือบทุกอย่างรวมกัน มวลชนเสื้อแดงก็ยังยืนหยัดเหนียวแน่นทั้งในกรุงและต่างจังหวัด ไม่เกรงกลัวไม่ว่าลูกปืนหรือกฎหมาย นี่คือพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะต้องแพร่ขยายและพัฒนาให้เข้มแข็งต่อไปเพื่อเตรียมทำ “สงครามชนชั้น” ที่จะไม่ยุติง่ายๆ ข้อเสียสำคัญของเสื้อแดงคือ การตื่นตัวตามธรรมชาติของมวลชนที่ส่วนใหญ่เป็นคนชั้นล่าง (ซึ่งแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาไม่มีจริต) เกิดจากความคับแค้น กดดัน ระเบิดออกโดยไม่มีทิศทาง ง่ายต่อความรุนแรงและเลยเถิด เมื่อได้แกนนำที่ไม่ตระหนักถึง “การเมืองนำการทหาร” จึงพลาดพลั้งเสียหายโดยง่าย นี่เป็นข้ออ่อนของการจัดตั้งและการพัฒนาความคิดมวลชน ซึ่งเป็นการบ้าน ถ้าจะพัฒนาไปสู่ขบวนประชาธิปไตยที่แท้จริง เสื้อแดงจึงต้องฉวยโอกาสของการ “พักรบ” นี้ กลับไปช่วงชิงกระแสมวลชนและความเห็นใจจากแนวร่วมคืนมา โดยเฉพาะการต่อสู้ทางข้อมูลข่าวสาร ที่ถูกบิดเบือนให้ร้ายมากมาย ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วก็ยังมีช่องที่ต่อสู้ได้ไม่ยาก เพราะมีการบิดเบือนจนเว่อร์เกินเหตุ เช่น คนเสื้อแดงบาดเจ็บล้มตายเป็นเบือกลับถูกโยนเป็นฝีมือชายชุดดำแต่ผู้เดียว, เรียกร้องให้ยุบสภาหาว่าล้มเจ้า หรือยิงกระทรวงกลาโหมกลายเป็นยิงวัดพระแก้ว (พระสยามเทวาธิราชศักดิ์สิทธิ์มาก ยิงวัดพระแก้วโดนสายไฟ ยิงคลังน้ำมัน ปตท.ไม่เข้า วินาศกรรมเสาไฟฟ้าแรงสูงก็ไม่ล้ม) ข้อสำคัญคืออะไรผิดก็ต้องยอมรับผิด เช่นการบุก ร.พ.จุฬาฯ ในส่วนรายละเอียดที่มีข้อโต้แย้ง เช่นพฤติกรรมของการ์ดเสื้อแดงไม่ได้เลวร้ายไปหมดอย่างที่แพทย์พยาบาลมอง อย่างนี้โต้แย้งกันได้ แต่ในภาพรวมต้องขอโทษต่อสาธารณะครับ อย่าตะแบงตั้งแต่ต้น รับผิดในภาพรวมแล้วค่อยเถียงในรายละเอียด จึงจะฟังขึ้น ซึ่งอันที่จริงกระแสก็ตีกลับได้เพราะเรื่องนี้ชักจะ “ดรามา” จนเลี่ยน องค์กรนั้นองค์กรนี้ก็ออกคำแถลงประณาม ทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง เหมือนจ้องรออยู่แล้ว อย่างองค์กรสื่อก็ช่วยละเลงเสียเละ แพทย์พยาบาลก็พูดถึงจุดยืนการทำหน้าที่อย่างอิสระตามวิชาชีพ (แต่ไม่ยักพูดถึงตอนที่ไม่ยอมรักษาตำรวจ) ไม่ปรองดอง 5 ข้อของอภิสิทธิ์ ล้วนเหลวไหลไร้สาระ แม้คำพูดสวยหรู เช่นพูดถึงความพยายามดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาสู่ความขัดแย้งทางการเมือง “มาร์ค ม.7 อย่ามั่ว” ใครเป็นคนดึง ก็มึงไม่ใช่หรือ ฉะนั้นถ้าจะทำให้ข้อนี้เป็นจริง อันดับแรก มาร์ค ม.7 ต้องรับผิดต่อสาธารณะว่าที่เคยเรียกร้องขอนายกพระราชทานนั้น ข้าพระพุทธเจ้าผิดไปแล้ว อันดับสอง ต้องเลิกกล่าวหากวาดดะว่ามีขบวนการล้มเจ้า จะว่าใครผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็ว่าเป็นรายๆ (อันที่จริงต้องเลิกกฎหมายนี้ กล้าไหมล่ะ) อันดับสาม มาร์ค ม.7 รับปากแทนได้หรือว่าองคมนตรีหรือผู้อ้างตนว่าใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ต้องไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นเป็นฝักฝ่ายทางการเมืองหรือเคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่ออกมาเชียร์อภิสิทธิ์คนดี ไม่ใช้อำนาจแฝงแทรกแซงการเมืองการปกครอง คนเหล่านี้กล้ารับผิดไหมล่ะว่าตัวเองดึงสถาบันลงมาสู่ความขัดแย้งทางการเมือง (แล้วจะรับผิดชอบอย่างไร) เอาแค่เบื้องต้น ถ้าทำไม่ได้ก็เป็นแค่คำพูดสวยหรูและโทษฝ่ายตรงข้ามฝ่ายเดียวตามเคย ปฏิรูปประเทศ-อมขี้ฟันพันธมิตรมา อ้างความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ งานนี้คงมีการตั้งหมอประเวศหรืออานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งนักประชาธิปไตยต้องไม่เข้าร่วมโดยเด็ดขาด ปล่อยให้เพ้อเจ้อกันไป ไม่ยอมรับ จนกว่าจะมีข้อตกลงแก้ไขรัฐธรรมนูญรื้อโครงสร้างอำนาจ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการปฏิรูปแบบที่ชนชั้นนำและคนชั้นกลางเอาตีนเหยียบอกคนชั้นล่างอยู่ แล้วบอกว่าจะสงเคราะห์ให้ความปรานี ให้ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ เสรีภาพสื่อยิ่งน่าหัวเราะ แค่คำพูดอภิสิทธิ์ก็ชัดเจนแล้วว่าจะไม่ให้เสรีภาพโดยอ้างว่าเป็นเครื่องมือทางการเมือง สร้างความขัดแย้งในประเทศ ต้องให้เสรีภาพช่อง 11 และ idol แทนคุณ จิตต์อิสระ แต่ผู้เดียว ข้อห้าพูดถูกในหลักการแต่พูดคลุมเครือ ถึงเวลาก็ตีความเข้าข้างตัวเอง “ความขัดแย้งทางการเมืองที่ยาวนานกว่า 4-5 ปีที่ผ่านมา เกิดความรู้สึกไม่เป็นธรรมในหลายด้าน” ใช่สิครับ ก็ไม่ยุติธรรม 2 มาตรฐานอยู่ข้างเดียว คำพูดอภิสิทธิ์ส่อเค้าว่าจะมีการนิรโทษกรรมผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง แต่แค่นั้นไม่พอ บอกแล้วว่าสังคมไทยต้องให้ความยุติธรรมกับทักษิณด้วย และต้องแก้รัฐธรรมนูญรื้อล้างอำนาจอำมาตยาธิปไตย ลดอำนาจทหาร รื้อระบบกองทัพ ลดนายพลล้นเมือง (ไม่งั้นเสธแดงไม่ได้เป็นนายพลหรอก จริงไหม) ล้างองค์กรอิสระ ลดอำนาจที่ก้าวล่วงอำนาจอธิปไตยของปวงชน เช่นการให้ใบแดง ยุบพรรค ไล่ตุลาการกลับบ้าน และตามไปรื้อระบบศาล ให้ประชาชนควบคุมตรวจสอบได้ ฯลฯ ทั้งหมดนี้คิดว่าอภิสิทธิ์จะทำหรือครับ ต่อให้เชื่อว่าอภิสิทธิ์ปรารถนาดี ก็ไม่มีทางทำได้ เพราะความแตกแยกในสังคมไทยวันนี้บานปลายเกินกว่าจะปรองดองกันได้ง่ายๆ คนที่มีความเห็นแตกต่างสุดขั้วมีอยู่ข้างละเป็นล้านๆ คน สมมติแค่จะนิรโทษกรรมนักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ พรรคการเมืองใหม่ก็คงออกมาเย้วๆ รบกันมาถึงขนาดนี้ ไม่มีทางปรองดองกันได้ง่ายๆ หรอก “ไม่ปรองดอง” คือความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่ ไม่ใช่เรื่องของท่าทีที่ใครอยากจะปรองดองหรือไม่อยากปรองดอง “สงครามชนชั้น” ยังต้องดำเนินต่อไปจนกว่าจะโครงสร้างอำนาจจะเข้าสู่ดุลยภาพใหม่ ที่ชนชั้นนำและคนชั้นกลางต้องยอมรับส่วนแบ่งอำนาจของทุนนิยมสมัยใหม่และคนชนบทคนชั้นล่างมากขึ้น เพียงแต่การที่อภิสิทธิ์ออกมาพูดสวยหรูแบบนี้ ก็คงถูกจริตเช่นเคย และช่วงชิงคะแนนจากคนทั่วๆ ไปที่ดูข่าวฉาบฉวยก่อนดูละคร ซึ่งต้องการอะไรก็ได้ขอให้สงบๆ โดยไม่จำเป็นต้องปฏิรูปหรือปรองดองอย่างแท้จริง ผมมองอีกอย่างเสียด้วยซ้ำว่า อภิสิทธิ์เลื่อนเวลายุบสภาเร็วขึ้นเพราะกลัวคดียุบพรรค เปล่า-ไม่ใช่แค่กลัวพรรคถูกยุบ แต่ถ้าไม่ถูกยุบขึ้นมาก็เป็นเรื่องอีกเหมือนกัน เพราะคนจะลุกฮือว่า “สองมาตรฐาน” เจอทั้งขึ้นทั้งล่อง