WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, May 4, 2010

ฉากสุดท้าย (finale): มันจบแล้วครับนาย

ที่มา Thai E-News




เมื่อผู้บัญชาการเหล่าทัพเห็นแล้วว่าพลังของประชาชนนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน การบีบเค้นของต่างประเทศนั้นรุนแรงและเอาจริงขนาดไหนและไม่มีการละเว้นความผิดในทุกกรณีเมื่อต้องขึ้นศาลอาชญากรระหว่างประเทศ ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายคือ ผู้บัญชาการเหล่าทัพนั้นเองเลือกฉากจบแบบที่ 4 แล้วหันไปบอกกับผู้มีอำนาจว่า “ มันจบแล้วครับนาย”..


โดย Pegasus
3 พฤษภาคม 2553

สถานการณ์แวดล้อม

การลุกขึ้นทวงสิทธิความเป็นมนุษย์ของคนไทยจากความเป็นไพร่ ทาส นั้นร้อนระอุขึ้นทุกวัน

ก็คงเป็นอย่างที่ณัฐวุฒิฯกล่าวถึงการต่อสู้ทางชนชั้นนั้นแหละ ซึ่งก็เป็นที่ทราบดีว่าเป็นสงครามที่ไม่สามารถเจรจากันได้อยู่แล้ว ต้องมีหนทางจบอยู่สองทางเท่านั้น คือประชาชนพ่ายแพ้กลายเป็นไพร่ ทาส ต่อไปตามเดิม หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเสมอภาคและเสรีภาพที่ปรารถนา

เครื่องมือในการข่มขู่ประชาชนของฝ่ายรัฐบาลคือ ประชาชนที่มาชุมนุมนั้นเป็นผู้ก่อการร้ายหรือกบฏ เพราะมีอาวุธร้ายแรง มีโทษถึงประหารชีวิต ซึ่งแน่นอนว่า ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่ฝ่ายรัฐบาลจัดให้ และอาศัยความสัมพันธ์ที่ดีของฝ่ายอำมาตย์กับกระบวนการยุติธรรมในการคิดว่า จะพลิกแพลงสถานการณ์ได้

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เมื่อมีการนำทหารเข้ามาในการควบคุมมวลชนแล้ว จะมีการก่อวินาศกรรมและการยิงในหลายที่ รวมถึงการยิงระเบิดใส่คลังน้ำมันในที่ต่างๆ โดยใส่ร้ายว่า เป็นการกระทำของฝ่ายเสื้อแดง รวมถึงการยิงระเบิดใส่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ บาดเจ็บและเสียชีวิตที่สีลม

โดยที่ระยะยิงนั้นพบว่า ไม่สามารถกระทำได้จากฝ่ายผู้ชุมนุม แต่รัฐบาลก็ยังใส่ร้าย และออกข่าวด้านเดียวต่อไปว่า เป็นการกระทำของฝ่ายผู้ชุมนุม เพื่อใช้กำลังติดอาวุธเข้าสังหาร

หรือร่วมกับกลุ่มเสื้อหลากสีซึ่งเป็นพันธมิตรฯ และทหารปลอมตัวเข้ามาเพื่อทำทีเป็นประชาชนปะทะกัน แล้วสามารถใช้อาวุธสังหารยิงจากระยะไกล (สไนเปอร์)เพื่อกำจัดแกนนำลงให้จงได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็จะอาศัยข้ออ้างของระเบิดที่สีลม ขอยกเลิกการคุ้มครองของศาลแพ่งที่ให้ทำการสลายตามหลักสากลมาเป็นการสังหารหมู่ได้ตามที่ต้องการ

เครื่องมือในการต่อสู้ของผู้ชุมนุมคือ แนวทางสันติ อหิงสา ป้องกันตัวจากการทำร้ายของฝ่ายทหารอย่างถึงที่สุดและนำความจริงให้ปรากฏต่อสื่อมวลชนต่างประเทศ จนในที่สุดต่างชาติได้เริ่มให้ความสนใจกรณีความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทย

ประการสำคัญคือประเทศมหาอำนาจที่เคยสนับสนุนฝ่ายอำมาตย์แต่ยังคงมีความเป็นอารยชนอยู่ก็ไม่สามารถทนต่อพฤติกรรมของฝ่ายอำมาตย์และรัฐบาลหุ่นเชิดได้ จึงต้องมีแถลงการณ์ให้รัฐบาลไทยใช้แนวทางการเมืองแก้ไขปัญหาและไม่ให้ใช้ความรุนแรง ซึ่งนัยก็คือการใช้กำลังทหารติดอาวุธสงครามนั่นเอง

ในขณะที่ต่างประเทศเริ่มเข้าใจประเทศไทยมากขึ้น แถลงการณ์ของสหรัฐฯ ที่เห็นว่าเสื้อแดงไม่ใช่กลุ่มผู้ก่อการร้ายและการใช้อาวุธสงครามของรัฐบาลนั้นไม่เป็นที่ยอมรับได้ และชัยชนะที่จะได้มาของฝ่ายชุมนุมคือการที่ประชาชนส่วนใหญ่หูตาสว่างและรู้ว่าฝ่ายอำมาตย์มีความโหดเหี้ยมอำมหิตเพียงใด จนในที่สุดมีผู้ที่ไม่ยอมสยบต่ออำนาจมากขึ้น จนไม่สามารถปกครองได้นอกจากนั้นการที่ฝ่ายรัฐใช้อำนาจอย่างผิดกฎหมายนั้น ทั้งผู้สั่งการและทหารผู้ปฏิบัติการมีโอกาสถูกฟ้องร้องในศาลอาญาระหว่างประเทศและอาจต้องโทษสูงสุดถึงขนาดประหารชีวิตได้

และคดีความนี้สามารถยกขึ้นมาฟ้องร้องเมื่อไรก็ได้เมื่อฝ่ายประชาชนได้อำนาจมาแล้ว

สถานการณ์ของฝ่ายอำมาตย์

แม้ว่าฝ่ายอำมาตย์จะครอบครองอำนาจรัฐต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน และมีความสามารถในการทำลายล้างปรปักษ์ทางการเมืองได้ตลอดมา แต่การลงมืออย่างเต็มรูปแบบด้วยเครื่องมือทั้งปวงที่มีอยู่ในครั้งนี้ ทำให้ประชาชนสามารถเห็นได้ขัดเจนว่าฝ่ายอำมาตย์นั้นมีใครกันบ้าง

จนถึงขนาดองคมนตรีและประธานองคมนตรี รวมถึงท่านผู้หญิง คุณหญิง คุณนาย ที่อยู่เบื้องหลังเกมส์แห่งอำนาจต่างๆได้ถูกเปิดโปงออกมาจนไม่เหลือที่ให้ยืนในสังคมปกติของไทย นอกจากแวดวงตัวเองซึ่งมีอยู่น้อยนิด ซึ่งก็ไม่น่าอภิรมย์เท่าไรเนื่องจากมีการอิจฉา ริษยา ใส่ร้ายป้ายสี ทำลายกันเองเป็นปกติอยู่ ทำให้มีความเครียด

ครั้นจะไปแสดงตัวว่าอยู่เหนือประชาชน ไพร่ หรือ รากหญ้าเพื่อความสุขใจเหมือนก่อนก็ไม่มีใครเคารพนับถือกันแล้ว และต่อมาเมื่อชนชั้นกลาง นักธุรกิจที่ทำมาหากินด้วยสุจริตไม่ต้องอาศัยเส้นสายในการดำรงชีพก็จะเริ่มพบว่า ระบอบอำมาตย์เป็นตัวขัดขวางความเจริญ ความร่ำรวยของตน การออกมาต่อต้านฝ่ายอำมาตย์ทั้งทางตรงและทางอ้อมก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตามเนื่องจากฝ่ายอำมาตย์มีรากฐานที่แข็งแกร่งยากที่จะยอมแพ้ในเรื่องของชาวไพร่ จึงมีความดื้อดึงอย่างถึงที่สุดในการรักษาอำนาจและต้องมีการตัดสินใจที่เหี้ยมโหด ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนต่อไปผ่านร่างทรงคือรัฐบาลหุ่นเชิด โดยมีคำสั่งและการบังคับใช้กฎหมายที่เด็ดขาดและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรู้สึกว่ารากฐานผลประโยชน์ของตนมีความสั่นคลอนมากขึ้นเรื่อยๆตามระยะเวลาที่ผ่านไป

เครื่องมือสำคัญและเป็นเครื่องมือสุดท้ายที่ฝ่ายอำมาตย์ฝากความหวังไว้คือฝ่ายทหารที่ติดอาวุธสงครามพร้อมที่จะเข่นฆ่าประชาชนเพื่อรักษาฐานอำนาจของฝ่ายอำมาตย์ และผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่ายไว้อย่างถึงที่สุด ส่วนพรรคการเมือง สื่อมวลชนที่บิดเบือนข่าวนั้น นับวันแต่จะไม่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชนมากขึ้นๆทุกทีจนไม่สามารถที่จะวางใจให้รับภารกิจไปแต่ลำพังได้

สถานการณ์ของฝ่ายทหาร

ทหารซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของฝ่ายอำมาตย์และใช้ได้ผลมาทุกยุคทุกสมัยโดยเฉพาะเมื่อฝ่ายประชาชนหรือประชาธิปไตยเบ่งบานก็จะถูกยับยั้งโดยเครื่องมือสำคัญนี้ด้วยการรัฐประหาร เช่นกรณีของรัฐบาลหลวงธำรงค์ฯ สมัยปรีดีฯ รัฐบาลพลเอกชาติชายฯและพันตำรวจโททักษิณฯ

ในบางครั้งบางเวลา ฝ่ายทหารที่ก้าวขึ้นมามีอำนาจเกินควรเช่น จอมพลถนอม-ประภาส-ณรงค์ ก็จะมีวิธีการใช้มวลชนนักศึกษาและกลุ่มทหารระดับล่างที่ขัดแย้งกับจอมพลถนอมฯร่วมมือกันโค่นล้มในกรณี 14 ตุลาคม 2516ต่อมาก็เป็นกรณีของ พลเอกสุจินดาฯ

และในกรณีที่ประชาชนเองมีความแข็งแกร่งมีการเรียนรู้ที่ดีก็จะถูกล้อมปราบเช่นกรณี 6 ตุลาคม 2516 หรือ กรณีชาวเสื้อแดง เป็นต้น

การสร้างสถานการณ์เพื่อให้มีความพร้อมในการล้อมปราบ หรือการยึดอำนาจ ส่วนมากจะมีฝ่ายทหารเข้าไปมีส่วนในการปฏิบัติการทั้งสิ้น และในทุกสังคมนั้นผลแพ้ชนะระหว่างฝ่ายเผด็จการกับฝ่ายประชาชนนั้น จะอยู่ที่ฝ่ายทหารว่าในที่สุดแล้วจะเข้าข้างฝ่ายใด

ทหารที่เป็นฝ่ายอำมาตย์เต็มรูปนั้นจะมีการล้างสมองด้วยการให้ชม ASTV และคำชวนเชื่อที่ว่าแดงล้มเจ้าก่อนออกมาลงพื้นที่ จนหลายครั้งพบว่า ทหารเหล่านี้ไม่รู้ในข้อเท็จจริง ทั้งไม่รู้ว่าทหารไม่มีสิทธิใช้อาวุธสงครามไม่ว่ากรณีใดๆและผิดกฎหมายทั้งในประเทศ และต่างประเทศ มีโทษถึงประหารชีวิตเช่นกัน

เนื่องจากการควบคุมมวลชนจะมีสิทธิใช้ได้แต่เพียงกระสุนยางเท่านั้น การใช้อาวุธสงครามและรถหุ้มเกราะจึงเป็นความผิดสำเร็จที่ไม่มีโอกาสแก้ตัวได้

ผู้นำหน่วยเข้ามาใช้กำลังในวันที่ 10 เมษายน 53 ในทุกระดับจนถึงระดับรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาลที่เกี่ยวข้องก็มีโอกาสต้องโทษได้ถึงขนาดเจตนาฆ่าคนตาย

ทั้งนี้ ไม่รวมโทษที่อาจได้รับจากศาลอาญาระหว่างประเทศที่ไทยได้ลงนามสนธิสัญญากรุงโรมไปแล้วที่มีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิตเช่นกัน

กรณีที่มีผู้อำนวยการขององค์กรสิทธิมนุษยชนเอเชียได้มากล่าวบนเวทีเสื้อแดงว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินไม่ได้เป็นข้อแก้ตัวที่จะทำให้รอดพ้นจากการพิจารณาคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศ และมีการยกตัวอย่างกรณีของประเทศเคนยาเมื่อ ค.ศ.2007 มาแล้วว่าประธานาธิบดีได้ถูกพิจารณาคดีอยู่ ซึ่งคงมีสภาพไม่ต่างจากผู้นำเซอร์เบีย และรวันดาเช่นกันที่ถูกประหารชีวิตในที่สุด

นอกจากนั้นยังมีผู้สังเกตการณ์จากคณะกรรมการกาชาดสากล(ICRC) ซึ่งเคยทำคดีนี้มาแล้วอยู่ในประเทศไทยด้วย ซึ่งในครั้งนั้นประธานาธิบดีและสำนักข่าวในรวันดาที่สนับสนุนบิดเบือนให้มีการฆ่าประชาชน ได้ถูกตัดสินประหารชีวิตทั้งสองกลุ่ม

นอกจากนั้นองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆยังได้เข้ามาอีกจำนวนมาก

ฝ่ายทหารมีความเป็นเอกภาพเพียงพอที่จะลงมือสังหารประชาขนอีกรอบหรือไม่เป็นเรื่องน่าสนใจ แม้ว่าจะดูเผินๆว่าทหารจะมีการออกมาร่วมงานกับพันธมิตรอย่างใกล้ชิดเหมือนสมัยสงกรานต์เลือดปี 52 หรือการล้อมปราบนักศึกษาเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 ก็ตาม แต่การเตรียมการปราบปรามประชาชนด้วยข้อหาการก่อการร้ายครั้งนี้ จะตามมาด้วยผลสำเร็จมากน้อยเพียงใด เป้าหมายเพื่อไม่ให้แกนนำคนเสื้อแดงมีสภาพที่จะเรียกชุมนุมได้อีกต่อไปจะสำเร็จหรือไม่ จะมีโอกาสทำได้แค่ไหน จุดจบของอำมาตย์จะเกิดขึ้นจากการลงมือครั้งนี้ใช่หรือไม่ น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง

ฝ่ายทหารได้มีการประเมินกำลังตนเองแล้ว พบว่าหากฝ่ายเสื้อแดงยังชุมนุมกันหนาแน่น คำสั่งที่ได้มอบหมายให้สังหารแกนนำนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก เพราะกว่าที่จะฝ่าฝูงชนเข้าไป ทหารจะเสียชีวิตจำนวนมาก และอาจเสียชีวิตหมดก่อนเข้าถึงตัวแกนนำก็เป็นได้

ไม่ว่าจะใช้หน่วยล่าสังหารที่มีฝีมือขนาดไหนก็ตามนี่เป็นปัญหาประการแรก ปัญหาประการที่สองคือการใช้อาวุธสงครามหรืออาวุธพิเศษสังหารประชาชนแม้แต่คนเดียว แน่นอนว่าหัวหน้าส่วนราชการนั้น และผู้บังคับบัญชาทหาร เช่น ผู้บัญชาการเหล่าทัพก็จะถูกนำขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ และมีโทษประหารชีวิตอย่างแน่นอน

ประเด็นนี้เป็นเรื่องอ่อนไหวที่ทหารทุกระดับที่รู้กฎหมายระหว่างประเทศจะรู้สึกหวั่นไหว ยกเว้นหน่วยทหารที่ไม่มีความรู้ และทำตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยนึกว่าอำมาตย์จะควบคุมระบบกระบวนการยุติธรรม และให้การคุ้มครองตนได้ ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง เพราะมีวี่แววว่ากลุ่มอำมาตย์ใหญ่ก็อาจจะถูกนำไปดำเนินคดีในต่างประเทศในไม่ช้า

สิ่งที่ฝ่ายทหารควรนำไปประเมินอีกประการหนึ่งที่สำคัญมากคือการใช้อำนาจรัฐสังหารแกนนำ ก็จะมีลักษณะไม่ต่างจากการกดขี่ประชาชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และในที่สุดก็เกิดการจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐมาจนถึงปัจจุบันนี้


สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีประชากรสามล้านคน ส่วนมากเป็นมุสลิมและมีวิถีชีวิตค่อนข้างเรียบง่าย สนใจแต่เรื่องศาสนาและแน่นอนว่าการถูกชักจูงไปในทางที่ผิดก็มี มีความรุนแรงก็มีเนื่องจากเป็นสายนิกายชิอะห์ แต่เมื่อเทียบกับคนกรุงเทพฯ คนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ต่อสู้ทางการเมือง และเคยจับอาวุธขึ้นสู้มาก่อน และมีประชากรรวมกันไม่ต่ำกว่า 40 ล้านคน ถ้าจำกัดเฉพาะที่สนับสนุนเสื้อแดงก็ไม่ต่ำกว่า 20 ล้านคน ก็เป็นจำนวนที่แตกต่างอย่างมหาศาลจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีประชากรเพียง 3 ล้านคน และส่วนใหญ่สนใจแต่เรื่องศาสนา

หากจะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นแล้ว ก็แน่นอนว่า ฝ่ายอำนาจรัฐย่อมไม่สามารถที่จะต่อต้านได้ และเมื่อเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมทำให้ประชาชนเสียชีวิต และมีการใช้อาวุธสงครามต่อเนื่องกันหลายครั้ง ทำให้นานาชาติสนับสนุนฝ่ายประชาชนแล้ว กรณีจะเข้าทางเหมือนติมอร์ตะวันออกที่แยกตัวจากอินโดนีเซีย ฝ่ายอินโดนีเซียซึ่งเคยใช้ทหารและประชาชนติดอาวุธสังหารชาวติมอร์ตะวันออกที่เป็นคนต่างศาสนาจำนวนมาก ในที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้ต่อมติของนานาชาติ

ดังนั้นไม่แน่ว่าอาจจะเกิดล้านนา ล้านช้างและภาคกลางบางส่วนจะขอแยกตัวออกจากเกาะรัตนโกสินทร์ก็เป็นได้ และน่าจะเกิดขึ้นเร็วกว่าสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ขอแยกตัวเสียอีก


กรณีนี้เชื่อว่าฝ่ายทหารก็ต้องมีการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างถี่ถ้วนแล้วเช่นกัน หรือมิฉะนั้นก็จะเกิดการใช้ความรุนแรงกลางเมืองเหมือนยกสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาไว้ที่กรุงเทพฯ ทหาร และข้าราชการที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับประชาชน จะไม่มีโอกาสออกมาเดินถนนได้ง่ายๆอีกต่อไป คงต้องล้อมรั้วจัดเวรยามเหมือนกับที่ ราบ 11 ในขณะนี้ อย่างไรก็อย่างนั้น

นอกจากนั้นแล้วในหมู่ทหารยังเกิดการแย่งชิงอำนาจกันในหมู่ทหารอีกด้วยโดยเกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่า กลุ่มบูรพาพยัคฆ์ที่กุมอำนาจอยู่ในขณะนี้กับกลุ่มอำนาจเดิมที่สืบทอดมาจากสมัย จอมพลสฤษดิ์ฯ คือกลุ่มทหารที่ครองอำนาจต่อเนื่องกันยาวนานที่เรียกว่าพวกวงศ์เทวัญ


กลุ่มบูรพาพยัคฆ์ก็คือผู้ที่เติบโตมาจากหน่วยในกองพลทหารราบที่ 2 ในด้านตะวันออก ทั้งหน่วย กรม2 กรม12 และกรม21 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรม12 และ กรม21 ได้ชื่อว่าเป็นทหารเสือราชินี มีบทบาทสูงมากตั้งแต่สมัยที่มีพลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ เป็น ผบ.ทบ.

ส่วนพวกวงศ์เทวัญ จะจำกัดอยู่ที่หน่วย กรม 1 เพียงกรมเดียว และมีการวางตัวในการสืบทอดอำนาจทางการทหารมายาวนาน และทหารในหน่วยนี้จะมีระเบียบวินัยสูง แต่มีความรู้ทางการเมืองสูงเช่นกัน เนื่องจากเป็นทหารในกรุงเทพฯมีการติดตามข่าวสารอย่างรวดเร็ว และสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยอยู่ในที ในระดับของข้าราชการชั้นล่างๆ

ถ้ามองในการคุมกำลังปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ทหารในพวกวงศ์เทวัญล้วนแต่อยู่นอกเส้นทางที่จะได้คุมกำลังสำคัญทั้งสิ้น โดยเฉพาะในกองทัพภาค 1 แม่ทัพและรองแม่ทัพล้วนมาจากกลุ่มบูรพพยัคฆ์ แม้ว่าจะมีแม่ทัพน้อยเป็นกลุ่มวงศ์เทวัญแต่ก็มีบทบาทน้อยมาก ส่วนในระดับกองทัพบก พลเอกประยุทธ์ฯก็คือกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ ในขณะที่มองไม่เห็นกลุ่มวงศ์เทวัญแท้ๆนอกจากพลเอกวิช เทพหัสดินทร ซึ่งไม่มีบทบาทอะไรในกองทัพเลย

ความขัดแย้งของสองกลุ่มนี้จึงไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ จึงเป็นที่มาของข้อสงสัยว่า ใครคือไอ้โม่งที่ยิง เอ็ม79 ได้อย่างแม่นยำนัดเดียวลงในที่บัญชาการรบของกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ นอกจากหน่วยที่มีความสามารถสูงที่สุดในกองทัพ เช่น หน่วยของกลุ่มวงศ์เทวัญเพราะการยิง เอ็ม79 ไม่ใช่เรื่องง่ายและการยิงให้แม่นยำยิ่งยากเข้าไปอีก ต้องเป็นหน่วยงานทหารและต้องเก่งจริงๆ ซึ่งก็หาตัวได้ไม่ยากนัก

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่การหวาดระแวงจะเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ เมื่อเกิดความไร้เอกภาพขึ้นในกองทัพ การปฏิบัติการในระดับรวมก็จะอ่อนกำลังลงไป แม้จะมีการทำงานของเจ้าหน้าที่ระดับล่างอยู่บ้างก็เป็นเรื่องส่วนย่อยลงไป


นอกจากกลุ่มวงศ์เทวัญแล้ว ในกองพลที่ 1 ยังมีทหารหมวกแดงจาก กรม 31 ซึ่งเป็นหน่วยตอบโต้เคลื่อนที่เร็วที่มีประสิทธิภาพสูงมาก และมีผู้บัญชาการกองพล มาจากหน่วยนี้เช่นกัน ก็อาจเป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้

จากข้อจำกัดของทหารที่กล่าวมาแล้ว ยังไม่รวมทหารแตงโมที่แทรกอยู่ทั่วไป เพราะคนที่คิดอะไรเป็นปกติเหมือนมนุษย์ธรรมดาจะมาเข้าข้างฝ่ายเสื้อแดง ส่วนคนที่คิดผิดปกติ บิดเบี้ยวไปด้วยโลภในอำนาจและผลประโยชน์จึงจะสนับสนุนฝ่ายเสื้อเหลือง ทำให้การลงมือของฝ่ายทหารมีอุปสรรคอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าผู้มีอำนาจจะสั่งอย่างไรก็ตาม ข่าวก็จะไปถึงฝ่ายประชาชนอยู่เสมอ


นอกจากปัญหาต่างๆในองค์กรทหารที่กล่าวมาแล้วนี้ ยังเป็นปัญหาภายในตัวของ ศอฉ. เองอีกด้วยกล่าวคือผู้ที่ปฏิบัติการในการวางแผนหรือสั่งการของ ศอฉ. ซึ่งเป็นทหารเสียส่วนใหญ่ ไม่มีความสันทัดในเรื่องของ สงครามมวลชน ซึ่งจะรู้กันดีว่า การที่จะได้ชัยชนะทางการเมืองในสงครามมวลชนนั้นจะต้องได้ใจของประชาชน ไม่ใช่การยึดอาคารสถานที่ สาระสำคัญนี้ก็ได้มีการกล่าวไว้ในหนังสือคู่มือของทหาร ในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบ ของทั้งกองทัพสหรัฐฯและของกองทัพบกไทยเอง

แต่ ฝ่ายวางแผนของ ศอฉ. มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้น้อยมาก นอกจากนั้นยังละเมิดกฎของการปฏิบัติงานด้านการประชาสนเทศ หรือที่รู้จักกันในเรื่องของการให้ข่าวสารต่อประชาชน ซึ่งกำหนดไว้ว่ากองทัพต้องให้ข่าวสารที่เป็นความจริงต่อประชาชนเสมอ หากไม่ต้องการให้ข่าวสารนั้นต้อง ใช้คำว่าไม่มีความเห็น (no comment) ดังที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์จากสหรัฐฯทุกเรื่อง ส่

วนการปฏิบัติการจิตวิทยา (psychological warfare) หรือปฏิบัติการข่าวสาร (information warfare) ให้กระทำต่อฝ่ายศัตรูเท่านั้น ซึ่งการปฏิบัติการจิตวิทยา หรือปฏิบัติการข่าวสารนี้สามารถให้ข้อมูลเท็จต่อผู้รับสารได้ และทุกกองทัพจะห้ามการให้ข้อมูลเท็จต่อประชาชนผู้เสียภาษีของประเทศตนอย่างเด็ดขาด

ดังนั้นเป็นที่แน่ชัดว่า ศอฉ. มองประชาชนคนไทยเป็นศัตรูไม่ใช่ประชาชนของฝ่ายตน และสิ่งที่ล้มเหลวซ้ำซากของทหารคือการที่ยังคิดว่าตนเองอยู่ในยุคศักดินาทำให้การรายงานข้อมูลต่างๆเป็นไปเพื่อเอาใจเจ้านายของตน ทำให้การรายงานข่าวจากพื้นที่ไปถึงผู้ตัดสินใจผิดพลาด ซ้ำซาก และหลอกตัวเองมาโดยตลอด เช่นจำนวนของผู้ที่มาเข้าร่วมชุมนุมผิดพลาดมาตั้งแต่สมัย 14 ตุลาคม 16 และ พฤษภาทมิฬ เคยผิดพลาดมาอย่างไรก็ผิดพลาดอย่างนั้น

เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวต้องการเสนอรายงานว่า ผู้มาชุมนุมเสื้อแดงมาเอง ก็ถูกบังคับให้เอากลับไปเขียนรายงานใหม่ว่าจ้างมา หรือยังเชื่อกันอีกว่ามีคนต่างด้าวถูกจ้างมาร่วมชุมนุมด้วย ทั้งๆที่มีข่าวว่า มีการบังคับเกณฑ์มาฝึกกันในค่ายทหารเพื่อจะสร้างสถานการณ์โดยฝ่ายของรัฐบาลเอง เป็นต้น เรียกว่าหลอก หรือโกหกแม้กระทั่งฝ่ายเดียวกัน

ความผิดพลาดอย่างร้ายแรงในเรื่องการปฏิบัติการของ ศอฉ. ที่ละเลยการปฏิบัติตามมาตรฐานของสากล โดยมุ่งเน้นการใช้กำลังและต้องการปราบปรามอย่างรุนแรงตามที่ได้รับใบสั่งมานี้เองทำให้การตัดสินใจต่างๆผิดพลาดอยู่ตลอดเวลา และชักจูงให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งคณะรัฐมนตรีและกลุ่มอำมาตย์ที่อยู่เบื้องหลังเข้าใกล้คุกและโทษขั้นประหารชีวิตในต่างประเทศเข้าไปทุกขณะ โดยที่ไม่มีใครใน ศอฉ. มีความรู้หรือรับรู้ในเรื่องของ อนุสัญญาเจนีวา สนธิสัญญาคิวบา สนธิสัญญากรุงโรม และกฎหมายระหว่างประเทศอื่นๆทั้งๆที่เป็นเรื่องที่ทหารในกองกำลังสหประชาชาติต้องรับทราบทุกคน

และแน่นอนว่า ฝ่ายวางแผนใน ศอฉ. ไม่มีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์และการเมืองไทยเลยแม้แต่น้อยนิด แต่ก็ได้ครอบงำการตัดสินใจของพรรคที่เชี่ยวชาญการเมืองอย่างประชาธิปัตย์จนหมดศักยภาพในการต่อสู้ลงไปอย่างสิ้นเชิง

เรื่องสุดท้ายที่น่าจะกล่าวถึงสำหรับการปฏิบัติการทางทหารคือ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน เช่นกรณีการโยนแก๊สน้ำตาแล้วแก๊สน้ำตาพัดกลับมาหาทหารสองครั้งสองครา ทั้งๆที่ได้มีการกำชับให้ดูทิศทางลมกันแล้ว การตัดสินใจใช้กำลังที่ราชดำเนินโดยใช้อาวุธสงครามที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ การที่ทหารบางส่วนหันกลับมายิงกันเอง การสูญเสียนายทหารจากการยิงของบุคคลที่สาม ซึ่งก็คาดว่าจะเป็นทหารที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีอย่างง่ายดายเกินไป

การตั้งด่านที่วิภาวดีฯของทหารโดยไม่จำเป็น ทำให้เกิดเหตุที่ย้ำการปฏิบัติการผิดกฎหมายระหว่างประเทศ การไม่สามารถเก็บศพผู้เสียชีวิตไปได้ ฯลฯ รวมถึงการตัดสินใจที่จะเดินหน้าทำผิดซ้ำอีก ทั้งๆที่เจ้าหน้าที่สหประชาชาติได้เข้ามาเกี่ยวข้องและสังเกตการณ์แล้ว ล้วนแต่เป็นสิ่งบอกเหตุถึงจุดจบอย่างที่จะคาดไม่ถึงขององค์กรทหารไทย เรียกกันอย่างง่ายๆว่า หมดบุญแล้ว นั่นเอง

ตัวชี้ขาดชัยชนะ

ถ้าจะสรุปให้เห็นชัดๆว่า ชัยชนะจะดูกันที่ไหน ก็มีอยู่เพียงสองประการคือฝ่ายใดจะกุมหัวใจของประชาชนไว้ได้และสามารถที่จะทำให้กำลังของฝ่ายความมั่นคงหมดลง

แนวทางที่จะบรรลุผลคือการได้ชัยชนะทางการเมือง ด้วยการโฆษณา ปราศรัย เผยแพร่ให้ความรู้แก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง ที่เรียกกันว่าโรคตาสว่างระบาดนั่นเอง ในขณะที่ฝายรัฐบาลปิดกั้น บิดเบือนข้อมูล ทำให้ประชาชนที่มีความฉลาดส่วนใหญ่แสวงหาข้อมูลด้วยตนเอง และยกเลิกการรับรู้ข่าวสารจากฝ่ายรัฐเกือบจะสิ้นเชิง ทำให้การป้อนข้อมูลของฝ่ายรัฐไร้ผล และฝ่ายประชาธิปไตยเติบโต แตกตัวอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะคาดคะเนได้

ชัยชนะทางการเมืองนี้ จะทำให้ประชาชนเข้ามาเป็นเกราะป้องกัน ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดทหารแตงโม ตำรวจมะเขือเทศและการไม่สามารถใช้กำลังของฝ่ายความมั่นคงได้

เวลาของชัยชนะจะมาถึงเมื่อสถานการณ์ได้บีบให้ผู้มีอำนาจจำใจต้องลงมือสั่งการเอง ด้วยการบีบบังคับให้มีการลงมือสังหาร แต่กำลังฝ่ายความมั่นคงไม่สามารถปฏิบัติตามที่สั่งได้


ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม นั่นเท่ากับเป็นการสะท้อนกลับไปยังผู้มีอำนาจว่า ได้หมดอำนาจลงแล้ว ยิ่งสั่งมากผู้ปฏิบัติก็จะยิ่งหมดศรัทธาในตัวผู้สั่งมากขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดจะเกิดความเห็นว่าไม่ต้องทำตามสั่งนี้ก็ได้

ถ้ามองตัวชี้วัดชัยชนะดังกล่าวจะพบว่าเกิดขึ้นแล้วดังนี้

ที่ประชุมสภากลาโหม ในเดือนเมษายน มีข่าวว่าฝ่ายทหารประเมินว่าผู้ชุมนุมมีมากเกินไป การ์ดนปช.มีการเตรียมการดีไม่สามารถเข้าถึงและสังหารแกนนำได้ การปะทะในพื้นที่ต่างๆเมื่อเกิดขึ้น ประชาชนจะเข้ามาล้อมจากทุกทิศทุกทางอย่างรวดเร็ว ซึ่งหมายถึงอัตราการรอดชีวิตของทหารจะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่สามารถคุมสถานการณ์หรือหนีออกจากพื้นที่ได้ทัน ทำให้มีการตกลงใจว่า เรื่องการเมืองนั้นควรเป็นเรื่องของรัฐบาล ตราบใดที่ประชาชนยังให้การสนับสนุน กลุ่มนปช.อยู่

การปลดประจำการของทหารจำนวนหกหมื่นนายทั่วประเทศ ซึ่งจะกระทบกับการใช้กำลังทหารในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนจึงจะกลับมีกำลังดังเดิม ทำให้การใช้กำลังทหารจำกัดมากยิ่งขึ้น

ผู้บังคับหน่วยทหารมีความรู้มากยิ่งขึ้นว่ามีโอกาสขึ้นศาลโลก ซึ่งอำนาจพิเศษในประเทศไม่สามารถให้ความคุ้มครองได้ ในขณะเดียวกันผู้ใช้อาวุธก็มีความรู้มากขึ้นว่าการใช้อาวุธสงครามสังหารประชาชนนั้นผิดกฎหมายและไม่สามารถมีใครคุ้มครองให้ได้

ตำรวจส่วนใหญ่เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ตำรวจส่วนน้อยที่เป็นผู้ทำงานให้กับรัฐบาลมีกำลังลดน้อยลงทุกขณะทำให้มีความจำเป็นต้องใช้อาวุธ และมีโอกาสถูกสังหารถ้ามานอกเครื่องแบบและถูกดำเนินคดีถ้ามาในเครื่องแบบ เพราะประชาชนที่มาชุมนุมมีจำนวนมากเกินไป

การปรากฏตัวของ ผู้อำนวยการองค์การสิทธิมนุษยชนเอเชีย ที่ได้กล่าวถึงศาลอาญาระหว่างประเทศและการไม่สามารถใช้ประกาศภาวะฉุกเฉินคุ้มครองไม่ให้รับผิดได้ รวมถึงตัวแทนขององค์การสหประชาชาติหลายองค์กรที่ได้เข้ามาแทรกแซงและการกล่าวถึงกระบวนการนำผู้กระทำผิดตั้งแต่คณะรัฐมนตรีและผู้ปฏิบัติงานใน ศอฉ.ทุกรายขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศหรือศาลโลก เป็นตัวชี้ขาดสำคัญต่ออนาคตของประเทศไทย

สิ่งที่น่าแปลกใจคือการที่มีรัฐมนตรีในรัฐบาลบางท่าน ได้กระทำการจนถึงขนาดที่ ประเทศเยอรมนี และรัสเซียไม่พอใจรัฐบาลไทยอย่างมาก ในกรณีของรัสเซียถึงขนาดเรียกทูตไปประท้วง

อย่าลืมว่ารัสเซียเป็น 1 ใน 5 ของคณะมนตรีความมั่นคงที่สามารถเสนอเรื่องให้คณะมนตรีความมั่นคงมีมติให้ ศาลอาญาระหว่างประเทศเข้ามาสอบสวนกรณีสังหารประชาชนในประเทศไทยได้ นอกจากวิธีการอื่นๆ

ถ้าสหรัฐฯเห็นว่าไม่ควรอุ้มรัฐบาลนี้ต่อไปหรือรัฐบาลกระทำการเกินกว่าที่อารยประเทศจะยอมรับได้แล้ว ก็ยากที่จะหนีความผิดไปได้ ส่วนเยอรมนีคือยุโรป ยุโรปคือเยอรมนี ตรงนี้คงไม่ต้องพูดถึงกันแล้ว ดังนั้นสหภาพยุโรปคงจะไม่มองรัฐบาลเผด็จการนี้เป็นมิตรเท่าใดนัก ก็ขอขอบคุณรัฐมนตรีท่านนั้นด้วย

การสั่งการของผู้มีอำนาจจะได้รับการปฏิบัติให้เกิดผลน้อยลงทุกขณะและทุกครั้ง กำลังของทหารและตำรวจที่เคยเป็นของผู้มีอำนาจและใช้ในการบังคับประชาชน จะถอยออกห่างจากผู้สั่งการมากขึ้นๆ จนในที่สุดเหลือแต่เพียงผู้สั่งการเท่านั้น แต่ นปช.ต้องดำรงความหนุนเนื่อง และยั่วยวนให้ผู้มีอำนาจต้องการสั่งใช้กำลังแต่ล้มเหลว ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

จนในที่สุด เหล่าทหารและตำรวจพร้อมใจกันผละออกจากผู้มีอำนาจนั้น และตกลงใจเป็นพยานในการนำผู้มีอำนาจขึ้นศาลโลก เพื่อปกป้องตัวเองจากการเป็นตัวการในการสังหารประชาชน และขอผ่อนหนักเป็นเบาในฐานะพยานได้

การดิ้นครั้งสุดท้าย

การดิ้นรนครั้งสุดท้ายของผู้มีอำนาจคือการพยายามทำให้เรื่องต่างๆสงบลงโดยอาศัยสัญลักษณ์ทาง ชาติ ศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ อาทิการสร้างข่าวถึงการล้มสถาบัน ซึ่งปรากฏว่าประชาชนตอบรับเป็นส่วนน้อย เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันดีขึ้น มีความเข้าใจปัญหาทางการเมืองดีขึ้นว่า ไม่ใช่การล้มล้างสถาบันฯ รัฐยิ่งทำคนยิ่งไม่เชื่อถือมากขึ้นเรื่อยๆ จนหมดความสำคัญลงไป

ต่อมาจะพบว่า มีการสร้างเรื่องเกี่ยวกับศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์พระสังฆราช และการยิงวัดพระแก้วการตอบรับจากประชาชนก็ยังไม่มากเท่าที่ ศอฉ.คาดหวัง

การใส่ร้ายเกี่ยวกับชาติ เช่นการมีชนกลุ่มน้อยเข้ามาปะปน เป็นต้น ยังดีที่ยังไม่มีเรื่องการแบ่งแยกดินแดนเหนือ อีสาน ฯลฯ ออกจากประเทศไทยมาปลุกระดม

การดิ้นรนที่จะแสดงถึงการพ่ายแพ้คือ การสั่งใช้กำลัง ใช้อาวุธสังหาร อย่างไม่มีทิศทาง ไร้ความคิด ไม่มีเหตุผลที่สมควรรองรับ โดยเชื่อว่าการกุมอำนาจรัฐไว้จะแก้ไขปัญหาข้างหน้าได้ทุกอย่าง การลงมือเช่นนั้น และการออกมาแสดงตัวชัดเจนของผู้สั่งการคือวาระสุดท้ายของวรรณกรรมชิ้นนี้แล้ว ประชาชนเตรียมตัวฉลองชัยชนะได้

ฉากต่างๆที่เคยแสดงกันมา

ฉากต่างๆที่เคยแสดงกันมาของกลุ่มที่ต่อต้านประชาธิปไตย เกิดมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาซึ่งเป็นฝ่ายขวาจัดทำการยึดอำนาจตนเองและใส่ร้าย ดร.ปรีดี พนมยงค์ ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ กบฏบวรเดชฯ จนในที่สุดสามารถเอาชนะคณะราษฎรได้ด้วยการชักจูงทหาร สื่อมวลชน และพรรคการเมือง ใส่ร้ายป้ายสี ดร.ปรีดี พนมยงค์ว่าฆ่าในหลวง รัชกาลที่ 8 สำเร็จ

ตามมาด้วยการรัฐประหารและสถาปนาระบอบองคมนตรีขึ้นในประเทศไทยในปี 2490 การขับไล่ จอมพลแปลก พิบูลสงครามออกนอกประเทศด้วยการรัฐประหารในปี 2500 การขับไล่รัฐบาลถนอม-ประภาสที่มีอำนาจจนเกินขอบเขตในปี 2516

การทำลายล้างกระบวนการนักศึกษาฝ่ายประชาธิปไตยที่เติบโตในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 การยึดอำนาจอีกหลายครั้งหลายหน จนในที่สุดการขับไล่รัฐบาลของ ดร.ทักษิณฯ นายสมัครฯ นายสมชายฯ การยึดอำนาจ สร้างรัฐธรรมนูญขวาจัด ไปจนถึงระบบการเมืองใหม่ที่ต้องการให้มีการแต่งตั้งมากกว่าการเลือกตั้ง

ทั้งหมดล้วนเป็นฉากที่คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าต่อสู้กันระหว่างฝ่ายที่เป็นกลุ่มรวมศูนย์อำนาจขวาจัด กับฝ่ายประชาธิปไตยที่ค่อยๆเติบโตขึ้นและล้มลงและลุกขึ้นสู้ต่ออยู่ตลอดเวลา

ฉากสุดท้าย

ฉากสุดท้ายของละครเรื่องยาวนี้ กลับเป็นชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งอาจมีตอนจบที่ไม่ซ้ำกันได้หลายทิศทางด้วยกัน โดยจะขอจัดฉากตั้งแต่การเพลี่ยงพล้ำมากที่สุดของฝ่าย นปช. ไปจนถึงการเพลี่ยงพล้ำมากที่สุดของฝ่ายเผด็จการดังนี้

-ฉากที่เป็นไปได้ฉากแรกคือ นปช. มีพวกฮาร์ดคอร์ทำการผิดพลาดให้ประชาชนไม่สนับสนุนอีกต่อไป คนมาร่วมชุมนุมจำนวนน้อยลงและจะถูกปราบลง โดยแน่นอนว่าแกนนำต้องถูกสังหารไปจำนวนหนึ่ง ด้วยว่าผู้มีอำนาจเชื่อว่าการสังหารแกนนำ หรือทักษิณฯเท่านั้น จึงจะรักษาอำนาจต่อไปได้

ซึ่งแนวคิดนี้เป็นวิธีมองโลกในสมัยอยุธยา ที่ถ้าชนช้างกันนายทัพตายกองทัพก็จะแตกพ่ายไป ซึ่งในยุคอุตสาหกรรมไม่ได้เป็นเช่นนั้น นปช. มีการจัดตั้งเป็นชั้นๆ และเป็นอิสระเป็นเครือข่ายตามแบบองค์กรสมัยใหม่ เคลื่อนตัวได้ด้วยตัวเอง โดยกำหนดแต่ยุทธศาสตร์ร่วมกันไว้ ที่เหลือต่างคนต่างเดิน เปรียบเทียบแล้วไม่แตกต่างจากการก่อความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้ ที่กำหนดเป้าหมายร่วมกัน แต่ต่างกลุ่มต่างทำ ควานหาผู้นำไม่เจอ

ดังนั้น เมื่อแกนนำถูกสังหาร จะเกิดขบวนการความรุนแรงเหมือนสามจังหวัดภาคใต้แน่นอนแต่จะเกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครฯและจังหวัดใหญ่ๆที่มีเป้าหมายในการแยกตัวจากรัฐไทย และในที่สุดจะจบลงแบบประเทศติมอร์เลสเต้ หรือ เนปาล ที่กลุ่มซึ่งรัฐบาลปราบปรามได้อำนาจรัฐในที่สุด


ถ้ามองขอบข่ายความกว้างขวางของการก่อความไม่สงบที่จะมาแทนการชุมนุมแล้ว จะยิ่งใหญ่กว่าสามจังหวัดภาคใต้อย่างน้อย 6 เท่า มีการใช้เทคนิคชั้นสูง และกลยุทธที่เหนือชั้นกว่ารัฐบาลอย่างมาก แต่ประการสำคัญคือ เป้าหมายในการล้างแค้นและโจมตีนั้นจะไม่สามารถจับทางได้และน่าสพึงกลัวไปอีกระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะคลี่คลายไปอย่างไรก็ตาม รัฐบาลและศอฉ.จะถูกดำเนินคดีในศาลโลกเช่นเดิม และสหประชาชาติจะมีบทบาทในการเข้ามาแก้ไขความขัดแย้ง ด้วยการจัดการเลือกตั้งเหมือนกับในติมอร์เลสเต้ เช่นกัน

-ฉากที่เป็นไปได้ฉากที่สองคือ นปช.ยังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเป็นอย่างดี แต่ฝ่ายรัฐบาลยังต้องการเข้ามาสลายด้วยการใช้กำลังที่ติดอาวุธสงครามแต่ไม่สามารถสังหารแกนนำได้ ประเด็นอยู่ที่มีการใช้อาวุธสงครามหรือไม่ในขณะที่ประชาชนคนไทยให้การสนับสนุนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง

ถ้ามีการใช้อาวุธสงคราม ประชาชนที่อยู่นอกพื้นที่การชุมนุม ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายเสื้อแดงก็จะเข้ามาช่วยอย่างล้นหลามเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา และคาดว่ากลุ่มเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่ใช้อาวุธสงครามจะไม่สามารถยิงประชาชนแล้วถอยหนีออกมาได้สะดวกเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาแล้ว และไม่แน่ว่ากำลังฝ่ายความมั่นคงนี้อาจต้องปะทะกับกลุ่มประชาชนจำนวนมาก และเกิดการจลาจลขึ้น จนรัฐบาลไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อีกต่อไป และไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร รัฐบาลและ ศอฉ.คงต้องรับผิดชอบและต้องไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศเช่นกัน

-ฉากที่เป็นไปได้ฉากที่สามคือสถานการณ์ต่างๆเหมือนเดิม แต่เจ้าหน้าที่ใช้การเข้าสลายมวลชนตามมาตรฐานสากล ในกรณีเช่นนี้มวลชนได้เรียนรู้วิธีการป้องกันตัวจากแก๊สน้ำตา กระสุนยางและมาตรการอื่นๆแล้ว และเมื่อมีจำนวนมวลชนจำนวนมากไม่ลดน้อยลง การสลายมวลชนจึงเป็นไปไม่ได้ ในกรณีที่จะใช้เครื่องมือ เช่น เครื่องยิงหูดับ LRADรถเกรด รถบดถนน ฯลฯ มวลชนซึ่งมีจำนวนมากก็จะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้ไม่ยาก แต่ต้องมีการฝึกทักษะต่างๆให้คล่องแคล่วไว้ล่วงหน้าให้ดีเสียก่อน

แต่โดยสรุปแล้วแนวทางนี้การสลายการชุมนุมไม่สามารถกระทำได้ ประชาชนไม่มีการสูญเสีย การระดมประชาชนมาให้การสนับสนุนหรือปิดล้อมเจ้าหน้าที่ในทุกรอบ จะเกิดขึ้นตลอดเวลา จนไม่สามารถปฏิบัติการได้ เท่ากับเจ้าหน้าที่ของรัฐหมดอำนาจลงไปในที่สุด

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลและศอฉ.ยังคงต้องรับผิดชอบไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศเนื่องจากความผิดสำเร็จเมื่อ 10 เมษายน 53 เช่นเดิม เพียงแต่ในกรณีนี้ รัฐบาลเมื่อหมดอำนาจก็ไม่สามารถอยู่ได้ จำเป็นต้องถอยออกไปเพื่อให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้

ฉากที่เป็นไปได้ฉากที่สี่คือ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการทุกฝ่าย แสดงตัวไม่ต้องการเข้ามารับผิดชอบต่อความผิดที่อาจจะเกิดขึ้น ด้วยกลัวการต้องไปขึ้นศาลโลกหรือกลัวว่าจะไม่มีที่ยืนในสังคมไทยจึงแสดงตนถอยห่างออกมาและให้รัฐบาลเป็นผู้รับภาระไปเพียงฝ่ายเดียวแนวทางนี้เป็นไปได้มากที่สุด และน่าจะเป็นหนทางเดียวที่อาจไม่ต้องถูกนำขึ้นพิจารณาคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ หัวหน้าส่วนราชการ หรือ ผู้บัญชาการเหล่าทัพอาจถูกกันเป็นพยาน และโยนภาระต่างๆไปให้กับรัฐบาลได้ ในฐานะพยาน ซึ่งสิ่งนี้ไม่สามารถทำได้ในศาลอาญาระหว่างประเทศ เมื่อผู้สั่งหรือผู้มีอำนาจหรือรัฐบาลเห็นว่าตนเองหมดอำนาจแล้วก็จะถอยออกมา เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด และยอมที่จะให้มีการสูญเสียอำนาจบ้าง เพื่อรักษาโครงสร้างอำนาจเดิมไว้อยู่ แนวทางนี้มีความเป็นไปได้มากที่สุดในขณะนี้

อย่างไรก็ตามยังไม่ตัดสิทธิสำหรับการฟ้องร้องไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศให้เข้ามาสอบสวน เนื่องจากการสอบสวนสามารถกระทำได้โดยอิสระด้วยอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ ผู้ร้องขอจะเป็นใครก็ได้ เมื่อเกิดเหตุขึ้นจริงในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม

ทั้งสี่ฉากที่ได้กล่าวมานี้ หาก ดร.ทักษิณฯ ตัดสินใจประกาศจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้น เพื่อเป็นช่องทางเรียกร้องให้มีกองกำลังรักษาสันติภาพจากสหประชาชาติและการเรียกร้องให้ศาลอาญาระหว่างประเทศเข้ามาสอบสวน ก็จะเป็นการลดความสูญเสียที่จะเกิดกับประชาชนผู้รักประชาธิปไตยได้มากที่สุด


แต่ไม่ว่าจะเป็นฉากไหนทั้งสี่ฉาก และสภาพแวดล้อมต่างๆที่ได้ปูพื้นมาจนครบถ้วนแล้วนี้ จะเห็นได้ว่า ระบอบอำมาตยาธิปไตยได้หมดอำนาจลงอย่างแท้จริงแน่นอนแล้ว สิ่งที่เป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดกลับอยู่ที่กำลังทหาร เพราะทหารเป็นเครื่องมือสุดท้ายและเครื่องมือเดียวของระบอบอำมาตยาธิปไตย ที่จะใช้ในการรักษาอำนาจและทำลายกระบวนการประชาธิปไตย

เมื่อผู้บัญชาการเหล่าทัพเห็นแล้วว่าพลังของประชาชนนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน การบีบเค้นของต่างประเทศนั้นรุนแรงและเอาจริงขนาดไหนและไม่มีการละเว้นความผิดในทุกกรณี ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายคือ ผู้บัญชาการเหล่าทัพนั้นเองเลือกฉากจบฉากที่ 4 แล้วหันไปบอกกับผู้มีอำนาจว่า “ มันจบแล้วครับนาย” ทุกอย่างก็จะไม่สายเกินไป จนกู่ไม่กลับ

สุดท้ายนี้ขอนำเพลงชาติฝรั่งเศสมาเตือนใจว่า ชาวฝรั่งเศสเขาได้ผ่านการต่อสู้นี้มาอย่างไรและชาวฝรั่งเศสก็ยังร้องกันอยู่จนถึงทุกวันนี้ จริงอยู่แม้ว่าในตอนนั้นจะเป็นการต่อสู้ระหว่างชาวฝรั่งเศสกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งแตกต่างจากของไทยที่เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

แต่ไทยก็มีระบอบอำมาตย์ แทรกแซงระบอบประชาธิปไตยมาตั้งแต่การนำของนายควง อภัยวงศ์ของพรรคประชาธิปัตย์ พลโทผิณ ชุณหวัน และสื่อสารมวลชนในสมัยนั้น ทำให้มีคณะองคมนตรีซึ่งเป็นเครื่องมือในระบอบราชาธิปไตยถือกำเนิด และตกค้างมาในระบอบประชาธิปไตย ทำให้เกิดการรวนเรของระบบมาจนปัจจุบันนี้

ดังนั้นในการดูเพลงชาติฝรั่งเศสนี้ขอให้เข้าใจว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของไทยในปัจจุบันแต่อย่างใด

เพลงชาติฝรั่งเศส

ตื่นเถิด เหล่าลูกหลานแห่งปิตุภูมิ วันอันสว่างไสวมาถึงแล้ว

เบื้องหน้าเรา เหล่าทรราช ชักธงศึกอาบเลือดขึ้นแล้ว

ได้ยินเสียงในท้องทุ่งหรือไม่ ? เสียงโห่ร้องของอ้ายทหารป่าเถื่อนพวกนั้น

มันจู่เข้ามาหาพวกท่าน เพื่อประหารลูกเมียของท่านจนสิ้น


จับอาวุธเถิด ชาวประชา จัดกองทัพของพวกเรา! หน้าเดิน, หน้าเดิน! ให้เลือดชั่วของมัน จมลงธรณีของเราสิ้น!


เหล่าทาสจะต้องการอะไรอีกเล่า จากเหล่าคนทรยศและราชันผู้ลวงโลก ?

ห่วงโซ่อันเลวร้ายนี้มีไว้เพื่อใครกัน ท่อนเหล็กนี้คงเตรียมไว้มานานแล้วสิ ?

ชาวฝรั่งเศสเอ๋ย (มันเตรียมไว้) สำหรับเรานั่นแหละ อ้า! ช่างโหดร้ายเหลือเกิน

ความเคียดแค้นที่พวยพุ่งออกมามันมากนัก เรานี้แหละคือผู้ที่กล้าต่อต้าน

แผนการซึ่งนำพวกเรากลับเป็นทาสอีกครั้ง !


จับอาวุธเถิด ชาวประชา จัดกองทัพของพวกเรา! หน้าเดิน, หน้าเดิน! ให้เลือดชั่วของมัน จมลงธรณีของเราสิ้น!


ชะ! กองทหารต่างชาติพวกนี้รึ หมายจะตรากฎของมันในแผ่นดินของเรา !

ชะ! อ้ายพวกทหารรับจ้างนี่รึ ที่หมายทำลายความภูมิใจของกองทัพเรา!

ข้าแต่พระเป็นเจ้า! ด้วยสองมือที่ถูกล่ามไว้ ใบหน้าของเราจำต้องก้มลงภายใต้แอก

เพราะผู้กดขี่สารเลวจะกลายเป็น ผู้ลิขิตชะตาชีวิตของพวกเรา!


จับอาวุธเถิด ชาวประชา จัดกองทัพของพวกเรา! หน้าเดิน, หน้าเดิน! ให้เลือดชั่วของมัน จมลงธรณีของเราสิ้น!


จงพินาศ ! เหล่าคนทรยศและทรราช สิ่งอันน่าอัปยศของมนุษย์ทั้งมวล จงพินาศ !

แผนคิดคดต่อมาตุภูมิของแก จะต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม !

เราทุกคนคือนักรบที่จะสู้กับแก มาตรว่าวีรชนผู้เยาว์ของเราสูญชีพไป

แผ่นดินย่อมสร้างพวกเขาขึ้นใหม่ และพร้อมที่จะเข้าร่วมรบต่อต้านแกเสมอ !


จับอาวุธเถิด ชาวประชา จัดกองทัพของพวกเรา! หน้าเดิน, หน้าเดิน! ให้เลือดชั่วของมัน จมลงธรณีของเราสิ้น!

******************