WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, May 8, 2010

ธงชัย วินิจจะกูล ..เมื่อร่างกายทางการเมืองไทยติดเชื้อแดง"

ที่มา ประชาชาติ

พลเดช ปิ่นประทีป ...อีกสักเดือนจะเป็นไรไป? ธงชัย วินิจจะกูล ..เมื่อร่างกายทางการเมืองไทยติดเชื้อแดง"

พลเดช ปิ่นประทีป กับ ธงชัย วินิจจะกูล เป็นคนผ่านเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 แต่มุมมองในการมองวิกฤตความขัดแย้งบนแยกราชประสงค์ แตกต่างกัน
ล่าสุด ประชาชาติธุรกิจ นำเสนอ บทความจาก 2 คน 2 คม มานำเสนอท่านผู้อ่าน

พลเดช ปิ่นประทีป กับ ธงชัย วินิจจะกูล เป็นคนผ่านเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
แต่วิธีคิดและการมองโลกไม่เหมือนกัน หมอพลเดช ทำงานชุมชนมายาวนาน เป็นอดีตรัฐมนตรี
ในสมัยรัฐบาล"ขิงแก่" สุรยุทธ์ จุลานนท์ ขณะที่"ธงชัย วินิจจะกูล "ผ่านวันคืนอันเจ็บปวด ปัจจุบัน
เป็นศาสตราจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประวัติศาสตร์ไทย
มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน สหรัฐอเมริกา
ล่าสุด ทั้งสองมองปรากฎการณ์บนแยกราชประสงค์ ในมุมมองที่แตกต่าง



หมอพลเดช ปิ่นประทีป เขียนบทความหลังจากฟัง 5 แนวทางปรองดองของนายกฯ
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2553

@ พลเดช ปิ่นประทีป ...อีกสักเดือนจะเป็นไรไป?

....เมื่อฟังคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวในรายการ "พบประชาชน"
ในวันอาทิตย์(2 พ.ค.)ว่า ท่านได้ตัดสินใจในแนวทางแก้ปัญหากลุ่มก่อการร้ายในที่ชุมนุมราชประสงค์แล้วและอยู่ในระหว่างดำเนินการตามขั้นตอน โดยส่วนตัวผมนึกถึงภาพผลกระทบอันอาจเกิดขึ้นจากวิธีการขอพื้นที่คืนของฝ่ายทหารตำรวจขึ้นมาทันที

ในกรณีที่ทหารเข้าสลายม็อบราชประสงค์อย่างบุ่มบ่าม คงถูกตอบโต้ด้วยอาวุธหนักจากกองกำลังในป้อมค่ายที่ปักหลักเตรียมตัวกันมานานร่วมเดือน รวมทั้งตึกสูงและชั้นใต้ดินศูนย์การค้าล้วนเป็นยุทธภูมิที่ฝ่ายก่อการสามารถวางแผนใช้เป็นค่ายกลเพื่อรับมือ ความสูญเสียในชีวิตทรัพย์สินคงมากมายเกลื่อนกล่นทั้งสองฝ่าย
ดีไม่ดีฝ่ายรัฐอาจเป็นฝ่ายพลาดท่าเสียทีอีกครั้งก็เป็นได้ และในจังหวะนี้เองทหารแตงโมกับตำรวจมะเขือเทศอาจประกาศตัวเข้าร่วมกับฝ่ายก่อการ
เพื่อชิงอำนาจรัฐและอำนาจในกองทัพ สงครามกลางเมืองคงขยายตัวไปทุกหัวเมือง เพราะประชาชนที่ต่อต้านลัทธิเสื้อแดงจะลุกขึ้นมาร่วมวงเพื่อจัดการปัญหา
การสู้รบคงใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปี ใครแพ้ใครชนะไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คือประเทศย่อยยับ

แต่หากทหารไม่เร่งรัดสลายการชุมนุม ปล่อยให้ม็อบฝ่อเหี่ยวกันไปเอง โดยการปิดล้อมทางเข้าออกทุกด้านอย่างแข็งแรง
กดดันทั้งทางการเมืองและใช้มาตรการทางคดีเป็นพิเศษ
ไม่นานแกนนำจะถูกโดดเดี่ยวจนถึงที่สุดและทิ้งมวลชนหนีไป ส่วนที่เหลือก็สลายตัวไปเอง
หรือไม่ก็ถูกสลายอย่างราบคาบ และถูกดำเนินคดีกันไปตามระเบียบ

นี่คือความพ่ายแพ้ที่ย่อยยับของกบฎเสื้อแดงปัญหาอยู่ที่ว่า แบบหลังนี้รัฐบาลจะใช้เวลานานเท่าใด?

โดยส่วนตัวอีกเช่นกัน ไหนๆก็ไหนๆแล้ว สักเดือนสองเดือนจะเป็นไรไป ถ้า...!

ถ้าการชุมนุม จะยุติกันไปเองหรือถูกสลายโดยไม่เสียเลือดเสียเนื้อกันอีก

ถ้ามัน จะช่วยทำให้สังคมไทย โดยเฉพาะพลังเงียบทั้งหลาย ตระหนักชัดด้วยตนเองถึงปัญหาความมั่นคงของชาติและลุกขึ้นมาปกป้องระบอบการปกครองของประเทศ จากกลุ่มกบฏเสื้อแดงที่มุ่งปฏิวัติล้มล้างด้วยกำลังมวลชนและอาวุธ

ถ้ามัน จะทำให้มวลชนคนเสื้อแดงทั่วประเทศยอมรับ หรือจำนนต่อกติกาสังคมว่าแนวทางการต่อสู้ที่ตนเข้าร่วมดำเนินการไปนั้นเป็นความผิดที่ร้ายแรง ซึ่งสังคมไม่ยอมรับและจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีก

ถ้ามัน จะช่วยให้สื่อมวลชนต่างชาติและรัฐบาลประเทศต่างๆทั่วโลกเข้าใจ
และรู้เท่าทันอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิน ชินวัตร ที่เป็นทั้งนักโทษหนีคดีทุจริต
และเป็นผู้มุ่งร้ายต่อประเทศแม่ของตน

ถ้าจะ ช่วยทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ สุกงอมที่จะขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่
โดยให้ภาคประชาชนเป็นศูนย์กลาง

ถ้ามัน จะช่วยทำให้เกิดฉันทามติของประชาชนทั่วประเทศ
ในอันที่จะ ปฏิวัติอำนาจรัฐตำรวจทั้งระบบอย่างถึงแก่น ทั้งในฐานะที่เป็นกลไกรัฐที่ดูแลความสงบเรียบร้อยและในฐานะต้นธารของกระบวนการยุติธรรม

ถ้ามัน จะช่วยให้ภาคธุรกิจตระหนักในความรับผิดชอบต่อปัญหาบ้านเมือง
และร่วมทุกข์ร่วมสุขกับสังคมมากกว่าที่เป็นอยู่

ถ้ามัน จะทำให้สื่อมวลชนและนักวิชาการ ตระหนักว่าถึงเวลาของการปฏิรูปสื่ออย่างจริงจังในภาคปฏิบัติแล้ว

และที่สำคัญที่สุด ถ้าจะทำให้ นักการเมือง ส.ส.และพรรคเพื่อไทยถูกดำเนินคดีในฐานะผู้ร่วมสนับสนุนการก่อกบฏแบบล้างบาง
โดยมีหลักฐานผูกมัดจนดิ้นไม่หลุด

อย่างไรก็ตาม รูปแบบการก่อการร้ายที่ฝ่ายกบฏเสื้อแดงนำมาใช้ในการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจรัฐ
และมุ่งเปลี่ยนแปลงระบอบในคราวนี้ เป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นถึงจิตใจอันเหี้ยมโหดของฝ่ายวางแผนก่อการเป็นที่ยิ่ง ไม่ว่ากลุ่มเสนาธิการของพวกเขาจะนั่งอยู่บนตึกชินวัตร 3 หรือที่อื่นใดเพราะการก่อการร้ายเป็นการมุ่งเป้าหมายคนทั่วไปแบบไม่เลือกหน้า ที่ไหนก็ได้ อย่างไรก็ได้

การยิงเอ็ม 79 การวางระเบิดเสาไฟแรงสูง
การยิงอาร์พีจีใส่ถังน้ำมัน การใช้คาร์บอมในชุมชนหรือที่สาธารณะ ฯลฯ
ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วอย่างต่อเนื่องตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา เป็นสัญญาณเตือนให้สังคมไทยรู้ว่าพวกกบฏเสื้อแดงจะไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ และพวกเขาพร้อมที่จะใช้โมเดลการก่อการร้ายแบบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ขยายไปทั่วประเทศ
จึงไม่ควรประมาท

แม้บันได 5 มาตรการทางการเมืองที่รัฐบาลอภิสิทธิ์หยิบยื่นให้จะช่วยให้แกนนำหาทางลงได้หากศึกนี้จบลงด้วยการเสมอกัน หรือ "วิน-วิน…แบบหน่อมแน้ม" ทั้งแกนนำและมวลชนกบฎจะยิ่งลำพองใจในชัยชนะทุกสมรภูมิของพวกเขาซึ่งจะเป็นเงื่อนไขในการปลุกระดม สะสมกำลังเพื่อปฏิบัติการครั้งใหม่ พวกคอมมิวนิสต์เก่าจะขยายผลไปสู่การฟื้นฟูหรือก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์โฉมหน้าใหม่ให้ได้เห็นกัน

ขึ้นอยู่กับว่า การชุมนุมที่ราชประสงค์จะจบด้วยการถูกสลายหรือไม่
ซึ่งถ้ามีการสลาย ไม่ว่าจะด้วยวิธีละมุนละม่อม หรือฉับพลันนั้น
ฝ่ายความมั่นคงจะจับตัวแกนนำทั้ง 24 คนได้มากแค่ไหน
ส่วนใหญ่หรือส่วนน้อย ตัวใหญ่หรือตัวเล็ก จับเป็นหรือจับตาย เพราะอย่าลืมว่าคนเหล่านี้คือผู้นำซึ่งเป็นทุนสำคัญของขบวนการที่มีผลต่อการต่อสู้ในระยะยาวของพวกเขา

ขึ้นกับว่า สังคมจะขานรับข้อเสนอทางการเมือง 5 แนวทางของนายกฯ อภิสิทธิ์
และเข้าร่วมอย่างล้มหลามแค่ไหน เพราะนั่นหมายถึงพลังทางสังคมที่จะเข้ามาหนุนรัฐบาล
และร่วมกันเยียวยา
และสมานสามัคคีให้เกิดความปรองดองในสังคมทุกระดับได้ในภาคปฏิบัติ

ขึ้นกับว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์จะสุกงอมที่จะสนับสนุนให้ภาคประชาชนเป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศจริงหรือไม่ ระบบบริหารจัดการของภาครัฐจะมีประสิทธิภาพหรือเปล่า เพราะการบริหารจัดการแบบประชาธิปัตย์ก็เป็นประเด็นที่ต้องฝากให้คิดกัน

และที่สำคัญที่สุด ยังขึ้นกับว่า
มีการมุบมิบเจรจาต่อรองกันระหว่างคุณอภิสิทธิ์ กับคุณทักษิณกันอย่างไรหรือไม่ เพราะถ้าไปตกลงกันว่าจะนิรโทษกรรมการก่อกบฏและก่อการร้ายเพียงทุกอย่าง
เพื่อให้ม็อบสลายตัวเท่านั้น
ผมเกรงว่าบ้านเมืองจะยิ่งไร้ขื่อแป ไร้หลักยึดที่มั่นคง ไม่มีใครเคารพกฎหมายอีกต่อไป
ต่อจากนี้ไปจนถึง 14 พฤศจิกายน กองกำลังติดอาวุธของฝ่ายแดงที่ยังคงอยู่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์พร้อมและฝ่ายน้ำเงินของกลุ่มอำนาจใหม่คงจะไล่เด็ดหัวกันไปมาจนเลือดท่วมสมรภูมิ ผู้สมัครไม่สามารถลงพื้นที่หาเสียงในถิ่นคู่แข่ง
หน่วยเลือกตั้งของ กกต.อาจถูกปิดล้อมโดยพลังมวลชนปฏิวัติฝ่ายแดง
ที่ยังฮึกเหิมไม่หายจากการสู้รบในเดือนเมษาทั้งสองรอบ
ในขณะที่อำนาจรัฐล้มเหลวได้แต่นั่งมองตาปริบๆ

ขอให้จับตา การนิรโทรษกรรมซึ่งจะไม่รอการชี้ถูกชี้ผิด
และการแสดงความยอมรับโทษทัณฑ์ของผู้กระทำผิดเสียก่อน การนิรโทษกรรมที่ไร้หลักการเช่นนี้จะยิ่งซ้ำเติมความอ่อนปวกเปียกในการบังคับใช้กฎหมาย
และทำลายนิติรัฐในระยะยาว ฝากให้คิดอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคง

เพราะบางทีรัฐบาลพลาดตาเดียว ประเทศอาจแพ้ทั้งกระดานนะครับ.

@ ธงชัย วินิจจะกูล เชื้อร้าย: เมื่อร่างกายทางการเมืองไทยติดเชื้อแดง
ดร.ธงชัย วินิจจะกูล เขียนบทความเรื่อง "เชื้อร้าย: เมื่อร่างกายทางการเมืองไทยติดเชื้อแดง" เป็นภาษาอังกฤษ หลังเหตุการณ์ แกนนำเสื้อแดง พาม็อบบุกโรงพยาบาลจุฬาฯ เมื่อวันที่ 30 เมษายน ประชาชาติธุรกิจ นำมาตอยมานำเสนอ ดังนี้
( อ่านบทความฉบับเต็มที่
http://asiapacific.anu.edu.au/newmandala/2010/05/03/thongchai-winichakul-on-the-red-germs )

.... ในเดือนตุลาคม 2551 หลังจากพันธมิตรฯ ปะทะกับตำรวจ กลุ่มแพทย์นำโดยแพทย์บางคนที่จุฬาฯ ขู่ว่าจะไม่รับรักษาตำรวจ เนื่องจากตำรวจเป็นเครื่องมือของทักษิณในการปราบปรามพันธมิตรฯ แม้ว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงจากสังคม ไม่ปรากฏว่ามีคำวิจารณ์หรือคำตำหนิจากองค์กรแพทย์ใดๆ ไม่มีการรายงานว่าพวกเขากระทำตามที่ขู่จริงหรือไม่ แต่ก็มีข่าวว่าแพทย์ที่อื่นปฏิเสธการรักษาเสื้อแดง


กรณีนี้สร้างความอื้อฉาวแก่แพทย์โรงพยาบาลจุฬาฯ ว่า "เหลือง" จัด กิตติศัพท์ดังกล่าว
ได้รับการตอกย้ำด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าผู้สนับสนุนพันธมิตรฯ ที่เอาการเอางานที่สุดคนหนึ่ง และในช่วงนี้ก็กลายเป็นผู้นำการชุมนุมของเสื้อชมพู
สนับสนุนรัฐบาล ต่อต้านเสื้อแดง เป็นแพทย์โรงพยาบาลจุฬาฯ แพทย์คนอื่นๆ
และผู้บริหารรพ.จะเป็นอย่างไรก็ตาม รพ.จุฬาฯ ก็ปรากฏอยู่แนวหน้าของความขัดแย้ง
ทั้งทางกายภาพ เชิงสถานที่ เชิงการเมืองและเชิงอุปมา
คำบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่รพ.จุฬาฯ ตามสื่อและปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น และคำบอกเล่าในเฟซบุคของเหล่ายัปปี้และสน็อบดูยังกับเป็นหนังสยองขวัญหรือมนุษย์ต่างดาวบุกโลก
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นปช.ผิดพลาดนั้นแก้ตัวไม่ขึ้น
แต่วิธีการมอง การรายงาน และการเข้าใจการกระทำของคนเสื้อแดง ดังที่แสดงให้เห็นจากสื่อ กลุ่มเฟซบุค และผู้บริโภคสื่อเหล่านี้ ล้วนถูกกำกับโดยการจัดจำแนกลำดับชั้นของคนในสังคมผ่านสถานที่ ซึ่งเป็นประเด็นหัวใจของความขัดแย้งในปัจจุบัน


สื่อ นักวิชาการ กลุ่มประชาสังคมและกลุ่มเฟซบุคพร้อมใจกันประณามการบุกของเสื้อแดงอย่างรุนแรง
เสียงดังกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้เลยกับท่าทีหน่อมแน้ม (หรือจริงๆ เงียบเฉย) ที่มีต่อการที่รัฐบาลใช้กำลังและกระสุนจริงที่ทำให้คนเสียชีวิต 25 รายในวันที่ 10 เม.ย. ร่างกายของการเมืองเชิงจริยธรรมที่สะอาดปลอดเชื้อ
ที่มีโรงพยาบาลเป็นตัวแทนดูจะมีคุณค่าสูงส่งกว่าความตายของคนเสื้อแดง ซึ่งตอกย้ำสาสน์ก่อนหน้านั้นว่าความตายของนายทหารที่สั่งการการปราบปรามอย่างรุนแรง
เมื่อวันที่ 10 เม.ย.นั้นมีคุณค่าสูงส่งกว่าเสื้อแดงที่เป็นเหยื่อในการปะทะคราวเดียวกัน


อันทำให้ข้อกล่าวหาเรื่องสื่อและชนชั้นนำในเมืองเป็นพวก "สองมาตรฐาน" ยิ่งดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ที่จริงแล้วมันเป็นมาตรฐานชุดเดียวกัน
กล่าวคือกฎหมาย เหตุผล สิทธิ บำเหน็จรางวัลและโทษทัณฑ์ ตลอดจนระบบคุณค่าอื่นๆ นั้นใช้กับคนตามฐานะชนชั้นของแต่ละคน


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ระบบ "สองมาตรฐาน" ที่เป็นอยู่นี้คือ
รูปแบบหนึ่งของระบบแบ่งแยกคนในสังคม
การชุมนุมของเสื้อแดงที่ราชประสงค์
ไม่เพียงแต่เป็นการยึดครองพื้นที่ที่หรูหราฉูดฉาดมากที่สุดของกรุงเทพฯ
ยังเป็นการบุกจู่โจมเข้ายึดครองเมืองเทวดา (กรุงเทพฯ)
โดยเชื้อโรคจากบ้านนอกที่สกปรกหยาบกร้าน คำว่า "เสื้อแดงบุก" จึงมีนัยยะของความน่าสะพรึงกลัวกว่าความหมายตามตัวอักษรมากนัก
นั่นคือ โรงพยาบาลจุฬาฯ อยู่แนวหน้าเผชิญกับเชื้อโรคและโรคร้าย
และถูกโรคร้ายบุกจู่โจม
การปราบปรามที่กำลังจะเกิดอาจถูกมองว่า (และกล่าวกันว่า) เป็นการฆ่าเชื้อโรค หยุดการติดเชื้อที่เกิดจากการบุกของพวกบ้านนอกเข้ามาในพื้นที่การเมือง เพื่อที่จะฟื้นฟูสุขภาพขององค์การเมืองเชิงจริยธรรมของไทย.