ที่มา บางกอกทูเดย์ ณ วินาทีนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และบรรดากลุ่มคนที่หนุนหลัง คงเห็นแล้วว่า การใช้อำนาจกฎหมายที่รุนแรง หวังที่จะเอาชนะประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่หนทางที่จะนำไปสู่ชัยชนะได้เลยเพราะตราบใดที่ประชาชนมองว่า รัฐบาลใช้กฎหมาย 2 มาตรฐานอยู่แล้ว จะออกกฎหมายความมั่นคงภายในประเทศ จะออกกฎหมายการบริหารราชการในภาวะฉุกเฉินร้ายแรง ออกมาบังคับใช้อย่างไรก็ตาม ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ก็จะไม่ยำเกรง เพราะมองว่าเป็นการกระทำ 2 มาตรฐานหรือต่อให้เป็นการประกาศใช้กฎอัยการศึกอย่างที่มีบางคนอุตริแนะนำ เพราะคิดว่าจะได้คุมสถานการณ์อยู่หมัด แต่เชื่อเถอะ ว่า ประกาศใช้จริงๆ ก็ไม่ได้ทำให้ประชาชนที่มาชุมนุมตามวิถีทางประชาธิปไตย จะยอมถอยแน่เพราะในความรู้สึกของกลุ่ม กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กลุ่มคนเสื้อแดงนั้น การชุมนุมเรียกร้องและการเคลื่อนไหวต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่ลอกเลียนแบบมาจากแกนนำม็อบพันธมิตรฯ และกลุ่มคนเสื้อเหลืองทั้งสิ้นแต่ไฉนแกนนำพันธมิตรฯ และกลุ่มคนเสื้อเหลืองจึงทำได้ทุกอย่าง ในขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงทำไม่ได้เลย ประเด็นเหล่านี้แหละที่กลาย เป็นแรงผลักดันให้กลุ่มคนเสื้อแดงฮึดสู้ไม่ถอยจนสุดท้ายภาพลักษณ์ของประเทศไทยจึงพังยับเยินในทุกๆ ด้าน แม้แต่ความเป็น “สยามเมืองยิ้ม” ที่เคยเป็นความภาคภูมิใจ เคยเป็นจุดขายในอดีตเพราะแม้แต่ต่างประเทศ ซึ่งรับรู้สถานการณ์ เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเมืองไทยทุกอย่างมาตั้งแต่การทำรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 เนื่องจากโลกของการสื่อสารที่เป็นสากลนั้น ไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลประเทศใดประเทศหนึ่งจะสามารถปิดหูปิดตาคนทั่วโลกได้เมื่อได้รู้ได้ เห็นในข้อมูลต่างๆ ที่เป็นความจริงมาโดยตลอด จึงเห็นได้ว่า ท่าทีของนานาประเทศไม่ได้ให้การยอมรับรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์อย่างสนิทใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศผู้ได้ดีมาจากการเป็นแกนนำม็อบยึดสนามบินสุวรรณภูมิแต่ในการทำหน้าที่รัฐมนตรีต่างประเทศ ได้สร้างความอึดอัดให้กับประเทศต่างทั่วโลกมาโดยตลอดนับแต่ดำรงตำแหน่งฉะนั้นวันนี้คงเห็นแล้วว่า ประเทศต่างๆ องค์กรต่างๆ ไม่ได้มองกลุ่มคนเสื้อแดง เป็นผู้ก่อการร้าย หรือเป็นผู้ก่อการกบฏ อย่างที่มีคนในรัฐบาล คนในกลุ่มหนุนหลังทั้งหลายต้องการจะให้เป็นลึกๆ นายอภิสิทธิ์ ซึ่งมีการศึกษาระดับที่ดีในโลกตะวันตก ย่อมรู้อยู่แก่ใจเป็นอย่างดีที่สุดว่า ชาติต่างๆ โดยเฉพาะชาติตะวันตกมองประเด็นประเทศไทยอย่างไร และทำไมการขอความร่วมมือของกระทรวงการต่างประเทศของไทย และรัฐบาลไทยจึงไม่เคยได้ผลเป็นจริงเป็นจังเลยสักครั้งเดียวยิ่งล่าสุดไม่เพียงแค่ต่างประเทศที่พากันออกแถลงการณ์ที่ไม่เป็นคุณกับ รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เลย แม้แต่บุคคลผู้ที่มีวุฒิภาวะในประเทศไทยด้วยกันเองยังอดรนทนไม่ได้กับท่าที และพฤติกรรม หรือแนวทางในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์หนึ่งในบุคคลที่พูดอย่างเป็นกลาง ในทุกเวที ก็คือ พระราชวิจิตรปฏิภาณ “เจ้าคุณพิพิธ” วัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมาก็ได้ออกโทรทัศน์ช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ทีวี เตือนสติรัฐบาลอย่างตรงประเด็นว่าการปิดหูปิดตาประชาชนก็ดี การกล่าวหาในเรื่องเกี่ยวกับสถาบันก็ดี หรือ การคิดที่จะสลายการชุมนุมด้วยกำลังทหาร-ตำรวจล้วนแล้วแต่จะทำให้เรื่องไม่จบ และจะยิ่งเสียหายมากขึ้นเช่นกันกับในการประชุมวุฒิสภาเพื่ออภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติตามมาตรา 161 เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ซึ่งบรรดา ส.ว.ที่มีความเป็นกลางโดยส่วนใหญ่ ล้วนต่างพูดตักเตือนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ให้แสวงหาหนทางยุติปัญหาโดยสันติ โดยการเจรจา เพื่อจะได้เป็นทางออกของประเทศไทยอย่งแท้จริงจากวิกฤตที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จะมีก็แต่ ส.ว.2-3 คน อย่างเช่นนายสมชาย แสวงการ นายวรินทร์ เทียมจรัส ซึ่งเป็นกลุ่ม 40 ส.ว. ที่ได้เข้ามาเพราะการเกื้อหนุนของ คมช. จึงมีการแสดงออกที่กระหายความรุนแรงในการปราบปรามประชาชนอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้บรรดา ส.ว.ด้วยกันเองก็ยังส่ายหน้าอย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า แรงกดดันทั้งจากภายในประเทศ และทั้งจากต่างประเทศ ได้ทำให้นายอภิสิทธิ์ ซึ่งต้องถือว่าเป็นคนที่ดื้อรั้นผิดปกติ จนแม้แต่ในทางการแพทย์ยังต้องจับตามองเป็นกรณีศึกษา และพูดคุยกันว่าคนปกติอะไร จะดื้อได้ ถึงขนาดนี้ และมีโลกในความคิดเฉพาะตัวพิเศษเช่นนี้แต่สุดท้ายเมื่อแรงกดดันมีเข้ามามากๆ จากทุกๆ ด้าน ทำให้นายอภิสิทธิ์เองก็ตกอยู่ในภาวะที่รู้ตัวว่า การขึงพืดไม่เจรจาหาทางออก หรือการคิดแต่จะใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม ซึ่งแม้จะประดิษฐ์ประดอยคำพูดให้หรูดูดีว่าเป็นการขอคืนพื้นที่ก็ตามแต่พฤติกรรมก็คือการใช้กำลังเข้าปราบปรามสลายการชุมนุม ซึ่งจะต้องมีการสูญเสียเกิดขึ้นอยู่ดี ซึ่งแน่นอนว่าหากกระทำก็ย่อมต้องถูกประณามจากสังคมทั่วโลกแน่ๆจึงนำมา สู่การตัดสินให้นายอภิสิทธิ์ แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่าขอเสนอ 5 กรอบทุกฝ่ายปรองดอง ร่วมแก้ทั้งระบบ ช่วยกันดูแลสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ดึงสู่การเมือง ปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ สร้างเป็นธรรมทุกเรื่อง มีกลไกอิสระคุมการนำเสนอข่าวสาร ตั้ง กก.อิสระสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ไม่สงบทุกกรณี ประกาศแผนแก้ปัญหาการเมือง และจะจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายน 53ถือเป็นการเดินเกมการเมืองที่ฉลาดมากๆ ของรัฐบาล โดย เฉพาะการที่นายอภิสิทธิ์ ใช้สไตล์ถนัด ระบุว่า แน่นอนว่าข้อเสนออาจไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับทุกคน แต่มีคำตอบไม่มากก็น้อย และเป็นจุดที่คิดว่าจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง “กลุ่มเสื้อแดงที่มาแสดงออก สิ่งที่เสนอไม่อาจตอบสนองยุบทันที 15 วัน หรือ 30 วัน ได้กระบวนการปรองดองจะแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ และแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน”ซึ่งตามข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ที่ให้เลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย. คาดว่ารัฐบาลต้องประกาศยุบสภาประมาณปลาย เดือนกันยายนหรือไม่เกิน 1 ตุลาคม 2553 หรืออีกประมาณ 5 เดือนเนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 กำหนดว่าถ้ามีการยุบสภาต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร แน่นอนว่าโดยหลักการ ดูเหมือนทุกภาคส่วนในสังคมจะเห็นว่านี่เป็นการเปิดประตูการเจรจาอีกรอบ หลังจากที่รัฐบาลมัวแต่ไปมุ่งมั่นกับการใช้การสลายการชุมนุมเป็นหลักอย่างไรก็ตาม สังคมทุกภาคส่วนยังจำเป็นที่จะต้องวิเคราะห์สถานการณ์ การเมือง และประเมินข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ให้ละเอียดก่อนว่าจะมีรูปธรรมอย่างไรซึ่งท่าทีของ นปช. และกลุ่มคนเสื้อแดงเอง หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เสนอการสร้างกระบวนการปรองดอง 5 ข้อ และจะจัดการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายนนั้น หลังเวทีชุมนุมแยกราชประสงค์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. กล่าวว่า นปช.จะยังไม่แสดงท่าทีปฏิเสธหรือตอบรับอะไรในช่วงนี้ แต่มองว่า เป็นข้อเสนอที่ดีกว่าการใช้กำลังในการปราบปรามประชาชน ซึ่งแกนนำ นปช.จะ นำเรื่องนี้หารืออย่างเป็นทางการเพื่อแจ้งผลให้นายอภิสิทธิ์รับทราบนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า เหตุผลที่นายกฯ เสนอโรดแมปดังกล่าว เป็นเพราะไม่สามารถที่จะบังคับใช้กลไกของรัฐ โดยเฉพาะการสั่งการทหารได้ จึงต้องตัดสินใจแบบนี้ ตอนนี้ทุกฝ่ายต้องมาช่วยกันหาทางออก ส่วนตัวไม่อยากให้เกิดความรุนแรงหรือมีคนตายอีกแล้ว นายจรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำ นปช. กล่าวว่า ถือว่าเป็นชัยชนะของคนเสือแดงในระดับหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลสามารถร่น ระยะเวลาการยุบสภากว่าเดิม ส่วนเบื้องหลังการที่นายกฯ ออกมาแถลงครั้งนี้ เป็นเพราะแกนนำ นปช.กับรัฐบาลมีการหารือกันตลอดเวลา ซึ่งนปช.ก็รู้อยู่แล้วว่า ผลต้องออกมาแบบนี้ ทำให้ที่ผ่านมานอนหลับอย่างมีความสุข เพราะไม่กังวลว่ารัฐบาลจะสลายการชุมนุมอย่างไรก็ตาม ยังมีการตั้งข้อสังเกตุว่า แม้คนเสื้อแดงพร้อมที่จะพิจารณาข้อเสนอต่างๆ ของรัฐบาลตลอดเวลา แต่การที่รัฐบาลจะเสนออะไรนั้นควรเสนอในบรรยากาศของความสงบและสันติกว่านี้ ไม่ใช่ว่าในทาง หนึ่งเสนอเงื่อนไขให้พิจารณา แต่อีกด้านหนึ่งกำลังขู่ว่าจะใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นก็คงต้องรอดูความจริงใจและความชัดเจนของรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ เพราะแน่นอนว่าการแถลงการณ์ของนายอภิสิทธิ์นั้น รัฐบาลดีดลูกคิดมาก่อนแล้วว่า มีแต่ได้กับได้เนื่องจากว่า ระยะเวลาแม้จะสั้นลงมาบ้าง แต่ก็ยังสามารถพิจารณาทั้งเรื่องงบประมาณ และเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชาการในเดือนกันยายนได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันก็ยังได้ภาพจาก สังคมส่วนใหญ่ว่า รัฐบาลอ่อนข้อแล้วหากคนเสื้อแดงไม่ยอมก็จะเป็นภาพลักษณ์ที่ติดลบทันทีทั้งๆ ที่ข้อเสนอนี้ จริงๆ แล้วต้องถือว่าเป็นเพียงข้อเสนอในกรอบใหญ่ แต่ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ยังต้องดูให้ลึกว่า จะยังคงมีการใช้ข้ออ้างอำนาจกฎหมายกดดันกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ต่อไปหรือไม่แค่รัฐบาลพิสูจน์ความจริงใจในการเจรจา ด้วยการยกเลิก พ.ร.บ.ฉุกเฉิน ยกเลิกการใช้สื่อของรัฐบาล โดยเฉพาะช่อง NBT ที่ เสนอข่าวข้างเดียว และยุติการยั่วยุด้วยต่างๆ นาๆ ทั้ง รายการสัมภาษณ์สดคนที่เข้าข้างรัฐบาล และการหยุดตัววิ่งที่สร้างความแตกแยกในสังคมหากรัฐบาลยอมยุติพฤติกรรมเหล่านี้ ก็เชื่อว่าการเจรจาน่าที่จะราบรื่นได้ไม่ยากนอกจากการเจรจาจะเป็นหนทางยุติปัญหาวิกฤติ ซึ่งบางกอก ทูเดย์ ยืนยันมาโดยตลอดแล้ว ความจริงใจในการเจรจา และไม่จ้องที่จะหาทางเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลาก็เป็นสิ่งที่สำคัญทำเพื่อประเทศชาติและสถาบันอย่างแท้จริง สักครั้งได้หรือไม่??