ที่มา เดลินิวส์
ขจัดคู่แข่งในทุกวิถีทาง นี่คือความสุดโต่งทางการเมืองที่นำไปสู่วิกฤติ
การเมืองที่สุดโต่ง ยังเปิดให้บทบาทของทุนเข้ามาอย่างสุดโต่ง ใช้เงินมากมายมหาศาล โดยหลักของประชาธิปไตยแล้ว ควรต้องเป็นการเมืองที่มีขอบเขต
การเมืองควรจำกัดตัวเอง เรื่องไหนไม่ควรยุ่งก็ไม่ยุ่ง เช่น เรื่องสื่อ หรือ กองทัพ ไปวุ่นวายจนเกิดปัญหา เพราะต้องการเอาทหารไปเป็นฐานทางการเมือง ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล หรือผู้ว่าฯ กลายเป็นหัวคะแนนใหญ่ ผ่านงบผู้ว่า ซีอีโอ เป็นต้น
การเมืองควรแข่งกันเรื่องนโยบาย การกำหนดทิศทางบริหารประเทศ ไม่ใช่แข่งกันแล้วยึดกุมกลไกราชการ กลไกสื่อ ยึดครองทุกอย่างในสังคม แล้วใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือ เอากลับมาฟาดฟันกัน
ถ้าเอาหลักความพอประมาณเข้ามา จะชัดเจนว่า การเมืองและอำนาจต้องถูกตีกรอบ ควรให้การแข่งขันทางการเมืองเป็นเรื่องของเหตุและผล...”
ใครหนอ ช่างกล่าววาจาได้ไพเราะเสนาะหูเช่นนี้ ถูกต้อง มีจริยธรรมสูงส่งยิ่ง ใช่แล้ว คนนั้น คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯรูปหล่อสุดเท่าที่ไทยเคยมีมา คนไทยโชคดีมากที่ได้ อภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ
นายกฯคนนี้แหละ พูดวรรคทองนี้ไว้เมื่อปี 2550 หลังทหารยึดอำนาจ และ เอามาตีพิมพ์ในหนังสือ การเมืองไทยหลังรัฐประหาร ทางออกจากวิกฤติ ก่อนจะกลับไม่ได้ ไปไม่ถึง
เค้ายังเขียนในบทนำว่า หวังว่าข้อความที่ปรากฏด้วยความบริสุทธิ์ใจจะเป็นประโยชน์กับประชาชนเจ้าของประเทศทุกคน รวมทั้งผู้มีอำนาจและผู้เกี่ยวข้องกับการกำหนดอนาคตประเทศ เป็นอีกเสียงที่ช่วยหาทางออกประเทศ ก่อนจะกลับไม่ได้ ไปไม่ถึง
อองซาน ซูจี ผู้นำพรรค NLD ที่ได้รับ รางวัลโนเบล ของพม่า แค่วิจารณ์ รัฐประหาร 19 ก.ย.นำไทยสู่หายนะ เหมือนทหารที่ครองเมืองพม่านานเกินไป ก็ถูกซีกรัฐบาลอัดยับ ส.ว.ลากตั้งบางคนถึงขนาดบอก อองซาน ซูจี รับเงินมาพูด ไม่รู้หรือว่า อภิสิทธิ์ ก็เคยพูดมาแล้ว แล้ว อภิสิทธิ์ ไปรับเงินใครหรือ
เพียงแต่ผ่านมา 2 ปีเศษ ไทยกำลังก้าวสู่ การนองเลือดและสงครามกลางเมืองทุกที แม้ผ่าน 26 เม.ย.ที่โหรบอก เป็นวันดาวพฤหัสย้ายราศีเข้าภพวินาศ เสี่ยงนองเลือดไปแล้ว แต่ภาวะบ้านเมืองแตกได้ทุกเมื่อ
แล้วใครหรือ สั่งคุมสื่อเบ็ดเสร็จ คนไหนขวางทาง ต้องมีอันเป็นไป ใครหรือ สั่งทหาร ใช้กองทัพปราบปราม ผู้ชุมนุมที่กลายเป็น ผู้ก่อการร้าย และ ล้มสถาบัน ไปหมด ทั้งที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ไม่อยากทำ
แม้แต่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีต ผบ.ทบ. ยังมีชื่อในเอกสาร ศอฉ.ว่า คือผู้อยู่ในเครือข่ายที่มีพฤติกรรมส่อล้มสถาบัน ดังนั้น ชื่อคนอื่น ๆ ก็แทบไร้ความหมาย และ ไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว
ก่อนจะกลับไม่ได้ ไปไม่ถึง จึงขอเสนอให้ นายกฯ อภิสิทธิ์ หาเวลาสงบ ๆในราบ 11 กลับไปอ่านข้อความที่ตัวเองให้สัมภาษณ์อีกครั้ง แล้วเปรียบเทียบตัวตน ที่แท้จริง ตอนนั้นกับตอนนี้ เหมือนหรือ ต่างกัน
อ่านแล้วอาจได้สัจธรรมที่สร้างสรรค์ แทนที่จะมุ่งแต่การเอาชนะคะคาน เช่นตอนนี้.
ดาวประกายพรึก
เพื่อไทย
Sunday, May 2, 2010
ก่อนจะกลับไม่ได้ไปไม่ถึง
“หากวิเคราะห์การเมืองที่เกิดขึ้นช่วงที่ผ่านมา จะพบว่า ความไม่พอเพียงของการเมืองมีส่วนอยู่มาก ปัญหา คือการเมืองสุดโต่ง ไม่พอประมาณ นำไปสู่ความแตกแยก เพราะเป็นการเมืองที่คล้าย ๆ ว่า ผู้ชนะเอาไปทุกสิ่งทุกอย่าง (winner take all) จึงทุ่มไม่อั้น