ที่มา Thai E-News
โดย จักรภพ เพ็ญแข
สุดท้ายก็เป็นไปตามพระพุทธวจนะ “วินาศกาเล วิปริตพุทธิ” หรือ “เมื่อถึงคราววินาศ ปัญญาย่อมวิปลาสไป” จริงๆ
ก็ในทันทีที่หน่วยเฉพาะกิจของผู้เผด็จการไทยที่เรียกว่าศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. พูดเรื่อง “ล้มเจ้า” นั่นล่ะครับ
โฆษกของ ศอฉ. คือพันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด ออกมานั่งแถลงข่าวเรื่องนี้ พร้อมแจกเอกสารที่ระบุว่าเป็น “เครือข่ายล้มเจ้า” ให้กับสื่อมวลชน อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งผมจะห้อยไว้ในตอนท้ายของบทความนี้ เพราะอยากให้เป็นหลักฐานถึงความเลอะเทอะของบางคน ที่หลงคิดว่าตนเองเป็นนิจจัง ท่ามกลางความเป็นอนิจจังทั้งหลาย
เงื่อนเวลาที่ออกมาแถลงเรื่องนี้ บอกชัดว่าต้องการให้เป็นเหตุผลและความชอบธรรมในการเข้าสลายการชุมนุมของชาวประชาธิปไตยที่แยกราชประสงค์และเครือข่ายทั่วประเทศ หลังจากที่ล้มเหลวซ้ำซากมาแล้วด้วยเหตุผลและข้ออ้างอื่นๆ ที่กระหน่ำผ่านสื่อของรัฐและสื่อทาสในเครือข่ายของตน ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมทำให้ผู้คนและธุรกิจแถวนั้นเดือดร้อน การชุมนุมทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหาย เกิดความขัดแย้งแตกแยกในหมู่แกนนำบนเวที เป็นต้น ยิ่งทำให้ปริมาณมวลชนและคุณภาพทางความคิดของผู้ชุมนุมแต่ละคนเพิ่มขึ้น ข้ออ้างมั่วๆ เหล่านั้นจึงกลายเป็นกระสุนด้านไปหมด
แล้วก็ต้องปฏิบัติ “ดึงฟ้า” ในที่สุด
สิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ เขียนให้คนที่อ้างว่ารัก เคารพ และเทิดทูนสถาบันอ่านกันโดยตรง หรือบุคคลภายในสถาบันจะอ่านเองก็ไม่เสียหายอะไร ถือว่าเป็นคำเตือนด้วยความปรารถนาดีก่อนที่พวกสอพลออย่างบางคนใน ศอฉ. มันจะพาจน หรือเข้าสู่ทางตันเกินกว่าจะแก้ไข
ย้อนกลับไปในสมัยรัฐบาลทักษิณกับม็อบพันธมิตรฯ ที่ใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ก่อนยึดอำนาจนั้น จำได้ไหมว่ารัฐบาลเลือกตั้งชุดนั้นถูกกระหน่ำโจมตีหนักหนาขนาดไหน ทั้งทุจริต รวบอำนาจ และคิดล้มเจ้า โดยใช้สื่อของรัฐเองเป็นเครื่องมือ รัฐบาลเองได้แต่หวังว่า ความจริงจะลอยเหนือความเท็จและการบิดเบือนอย่างด้านๆ แล้วประชาชนจะเข้าใจในที่สุด ไม่เคยคิดจะทำสงครามทางความคิดเพื่อต่อต้าน หรือฉกฉวยโอกาสที่จะเพิ่มอำนาจให้กับตนเอง หรือคิดใช้กำลังปราบปรามเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่อำนาจทั้งสามกองทัพและกองบัญชาการตำรวจแห่งชาติอยู่ในมืออย่างมั่นคง
เหตุผลหลักมีเพียงประการเดียวคือ ความเกรงใจสถาบัน
บวกกับเหตุผลรองคือความมั่นใจในระบอบประชาธิปไตยของประเทศ
ความเลวร้ายตามมาด้วยการยกเรื่อง “ระบอบทักษิณ” ซึ่งหลุดออกมาจากปากคนสำคัญของบ้านเมือง จนคนที่มาจากการเลือกตั้งต้องหลั่งน้ำตายุบสภา เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาว่าชนะเป็นครั้งที่ ๓ เขาก็อาละวาดอีก คราวนี้สั่งให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ และจำคุกคนที่ช่วยประคับประคองประชาธิปไตยอย่างกรรมการการเลือกตั้งสามท่าน เพื่อให้พ้นจากตำแหน่ง เมื่อได้สมใจแล้ว ก็ตั้งพวกตนเข้ามาเป็นผู้จัดการเลือกตั้งแทน
เมื่อแอบสำรวจแล้วพบว่า ไทยรักไทยจะชนะอีก คราวนี้ก็เลยสั่งใช้มาตรการเด็ดขาดคือให้ทหารเข้ายึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ และตั้งคณะกรรมการศาลเตี้ยต่างๆ มาสร้างปมความผิดให้เป็นตราบาปติดตัวแต่ละคนที่เป็นแกนนำในฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งถือเป็นศัตรูผู้ร่วมโลกกันไม่ได้อีกต่อไป
แล้วประชาธิปไตยก็ชนะใสอีกทั้งๆ ที่สั่งให้สาดโคลนโยนความผิดกันขนาดนั้น คราวนี้พรรคพลังประชาชนเป็นผู้ชนะในระบบรัฐสภาจนได้จัดตั้งรัฐบาลสองชุดติดต่อกัน แต่แล้วก็ถูกทำลายโดยกลไกที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย เพราะถูกครอบงำทั้งระบบโดยเผด็จการที่สั่งให้ทหารยึดอำนาจในนาม คมช. ขนาดที่จะเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ท่าอากาศยานนานาชาติ พยายามฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปลดนายกรัฐมนตรีด้วยข้อหาจัดรายการทำอาหารทางโทรทัศน์ และยุบพรรค โดยไม่มีความผิดและไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ในทางการเมืองเลย
แต่ฝ่ายประชาธิปไตยก็อยู่เฉยตลอดมาด้วยความเกรงใจสถาบันอีกเช่นกัน
ล่าสุดนี้ ประชาชนทั่วประเทศทนไม่ได้อีกต่อไป ยอมทิ้งนา ทิ้งไร่ ทิ้งงานที่ทำรายได้ให้กับตนเอง มาเสียสละทุกอย่างอยู่กลางถนนในกรุงเทพมหานคร จนถึงการชุมนุมแยกราชประสงค์ ก็สั่งให้ฆ่าเขาด้วยอาวุธสงครามเสียเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ ที่สี่แยกคอกวัว และข่มขู่คุกคามจะฆ่าหมู่ในที่ชุมนุมใหญ่อีก ทั้งๆ ที่ขอเพียงแค่สิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย คือยุบสภาและเลือกตั้ง
ไม่รู้หรือว่าบ้านเมืองยังไม่แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ เพราะความเกรงใจที่ยังเหลืออยู่นิดน้อยเท่านั้นเองนะครับ ถ้าประชาชนเขาฮึดสู้แล้ว นึกหรือว่าเขาจะไม่มีทางสู้
คนรากหญ้าเขาเก่งกว่าท่านหลายเท่านะครับ ไม่อย่างนั้นเขาอยู่รอดมาไม่ได้หรอกในระบบกาลีสามานย์ที่ท่านสร้างไว้ในบ้านเมืองนี้ แต่เขาไม่เคยปริปากบ่น ไม่เคยพูด ถ้าจะพูดก็พูดในสิ่งที่หวานหูท่าน เพราะเขามีความเกรงใจอย่างผู้ดี
การท้าทายผ่านหน่วยงานรองมือรองเท้าอย่าง ศอฉ. จึงเป็นความไม่ฉลาดของคนที่สั่งการและคนที่รับคำสั่งมาปฏิบัติ
ถ้า ศอฉ. มีความรักเทิดทูนสถาบันจริง ทำไมจึงงัดเรื่องนี้มาพูดในขณะนี้ ทำไมจึงไม่ดำเนินการมาตั้งแต่ต้น และทำไมไม่มีการปฏิบัติใดๆ มากกว่าออกมาแถลงข่าวเพื่อเอาใจคนบางคน ตกลง ศอฉ. กำลังจะช่วยสถาบันหรือซ้ำเติมสถาบันในสังคมที่กำลังถึงยุคเปลี่ยนผ่านอย่างนี้
สิ่งที่นำมาอ้างว่าเป็น “เครือข่ายล้มเจ้า” นั้น ความจริงคือการประมวลข้อกล่าวหาและข่าวลือทั้งหลายที่ตัวและพวกสร้างขึ้นมาเอง กวาดเข้ามาไว้ในที่เดียวกัน และเขียนผังออกมาในรูป mind mapping เพื่อให้ดูเท่และเป็นจริงเป็นจังเท่านั้นเอง ในนั้นไม่ได้บอกอะไรใหม่ และไม่ได้แสดงว่าคนที่นำมาแสดงเตรียมจะทำประโยชน์ใดๆ ให้กับสถาบันเลยแม้แต่น้อย
ดูเอาเองก็จะเห็น
การเล่นเรื่องที่เปราะบางอ่อนไหวในจังหวะสำคัญของบ้านเมืองอย่างนี้ ไม่ต่างกับการเล่นกับไฟ จะเพราะชนชั้นนำเมืองไทยหลงเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อของตนเองว่า ประชาชนชาวไทยนั้นโง่เขลาเบาปัญญากว่าตน หรือมั่นใจในอำนาจของตนจนเกิดความโอหัง ผมพูดไม่ได้ เพราะข่าววงในที่รับรู้มานั้นไม่ใช่สิ่งที่ควรนำมาพูดอย่างเปิดเผยในขณะนี้
พูดได้เพียงว่า การกระทำทั้งหมดนี้เป็นการเสี่ยงปวงชนชาวไทย ด้วยการกระทำของคนเห็นแก่ตัวและคับแคบขนาดเล่นเกมเสี่ยงพระมหากษัตริย์
ขอให้รู้ไว้ด้วยว่า คนที่เขารู้จักเกรงใจคนอื่นนั้น ถ้าลงได้หมดความเกรงใจแล้วก็จะกลายเป็นคนน่ากลัวที่สุด
อะไรก็เกิดขึ้นได้หลังจากนั้น.