จาก มติชน
31 ธค 50
โดย กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สรุป:
"ผลก็คือ ตราบใดก็ตามที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกนายสมัคร นายสมัครย่อมยังไม่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามเป็นรัฐมนตรี และเมื่อเป็นรัฐมนตรีแล้ว หากต่อมาศาลพิพากษาให้จำคุกนายสมัครเพราะความผิดฐานหมิ่นประมาท นายสมัครก็ไม่ต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่ดี เนื่องจากนายสมัครได้รับประโยชน์จากข้อยกเว้นในมาตรา 182 (3) อันเป็นกรณีที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐมนตรีซึ่งต้องคำพิพากษาให้จำคุก ไม่ว่าคดีจะยังไม่ถึงที่สุด หรือจะมีการรอการลงโทษหรือไม่ต้องพ้นจากตำแหน่งไป"
มาตรา 182(3)
มาตรา 182 (3) กำหนดให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวเมื่อ
"ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นกรณีที่คดียังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท"
อ่านต่อ บทความเต็มที่นี่
เพื่อไทย
Monday, December 31, 2007
สมัคร สุนทรเวช มีลักษณะต้องห้ามเป็นนายกรัฐมนตรีจริงหรือ
2550...ปีแห่งการเสียโอกาส
ความจริงแล้วเรื่องราวที่จะสรุปต่อไปนี้ล้วนเป็นเรื่องที่ “ทีมเศรษฐกิจ” ได้ วิเคราะห์ผ่านตาท่านผู้อ่าน มาแล้วตลอดทั้งปี
เราได้ลำดับภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ปัญหาความวุ่นวายในสนามบินสุวรรณภูมิ ความล่าช้าของการก่อสร้างรถไฟฟ้า รวมถึงการยกเลิกโครงการประชานิยมต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น โครงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (โอทอป) ที่ล้วนแต่เป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จ และช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า
ที่รัฐบาลขิงแก่กลับมีนโยบายยกเลิกและเปลี่ยนแปลงโครงการไป อย่างหน้ามือ เป็นหลังมือไปหมด
การดำเนินการเช่นนี้ ทำให้ประเทศและคนไทยเสียโอกาสไป และทำให้ต้องเดินถอยหลังไปหลายก้าว ทั้งเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับ รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาแก้ไข ไม่ว่าใครจะเข้ามาก็ตาม
เหมือนเช่นที่มีการเปรียบเปรยว่า เรือเจาะรูให้ล่มง่ายนิดเดียว การกู้เรือกลับมาใหม่ยุ่งยากแสนเข็ญ
ฉันใดก็ฉันนั้น ในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ถ้าทุกฝ่ายช่วยกันคนละไม้ คนละมือ ทำลายมัน ก็ยากที่เราจะทำกลับคืนมาได้ และไม่รู้จะกลับมาได้เมื่อใด
เราถึงเรียกว่า “ปี 2550” เป็น “ปีแห่งการเสียโอกาส” เพราะเมื่อเศรษฐกิจของประเทศถูกฉุดลงมาแล้ว ยากยิ่งนักที่จะดึงขึ้นมาได้
เลิกประชานิยมไม่สนชาวบ้าน
นโยบายประชานิยมที่สร้างความคึกคักให้เศรษฐกิจของชาวบ้านในระดับรากหญ้า แต่ถูก “รัฐบาลสุรยุทธ์” มองในทางตรง กันข้ามว่าเป็นปัญหาของประเทศ การยกเลิก “โครงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน” จึงเกิดขึ้นเป็นลำดับแรก
ทั้งๆที่เป็นโครงการช่วยให้ประชาชนที่คิดทำมาหากิน แต่ไม่มีหลักทรัพย์ไปค้ำประกันการกู้เงินสามารถนำสิทธิต่างๆที่ธนาคาร ไม่เคยยอมรับ เช่น สิทธิในแผงลอย สิทธิในที่ดิน นส. 3 สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือสิทธิการเป็นเจ้าของเครื่องจักรไปค้ำ ประกันการกู้เงินได้
ขณะที่โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือโอทอป ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ผลิตภัณฑ์ ชุมชนและท้องถิ่น” แม้ไม่ได้ถูกยกเลิก แต่ภายใต้การบริหารอย่างไม่เอาใจใส่ ทำให้ การยกระดับสินค้าของชาวบ้านไปสู่ตลาดทั่วโลกที่เคยวิ่งฉิวเป็นอันต้องสะดุดลง
ด้านโครงการพัฒนาศักยภาพหมู่บ้าน/ชุมชน หรือหมู่บ้านเอสเอ็มแอล ถูกเปลี่ยน ชื่อเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง เมื่อเริ่มโครงการ ไปได้ไม่นาน จัดสรรเงินลงหมู่บ้าน ไป 18,253 หมู่บ้าน ภายใต้งบประมาณ 4,149 ล้านบาท และยังใช้ไม่หมดอีก 850 ล้านบาท
พอถึงต้นปีงบประมาณ 2551 ในเดือน ต.ค. 2550 รัฐบาลก็ตัดสินใจยกเลิกโครงการนี้อีก ด้วยเหตุผลว่าเป็นโครงการลักษณะเดียว กับยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขของรัฐบาลชุดนี้ โดยไม่ได้มองว่าการเบิกจ่ายงบประมาณของยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขไม่มีความคืบหน้าเลย
ส่วนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ที่เคยวางอนาคตให้ยกระดับเป็นธนาคารชุมชน แม้รัฐบาลนี้จะให้เดินหน้าต่อ แต่ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาไม่มีความคืบหน้าเช่นกัน
นอกจากนั้น รัฐบาลนี้ยังได้พยายามบอนไซศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบหรือทีซีดีซี ที่รัฐบาลก่อนปลุกปั้นให้เกิดขึ้นมา เพื่อเป็น ศูนย์กลางความรู้ด้านการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ อันจะนำไปสู่การพัฒนา “เศรษฐกิจแบบสร้างสรรค์มูลค่า” ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย
โดยสั่งยุบรวมกับสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (เอ็นดีเอ็มไอ) ภายใต้ชื่อใหม่ว่า สถาบันการเรียนรู้และสร้างสรรค์ (ไอดีซีแอล) ทั้งๆที่ไม่มีแผนรองรับว่าจะดำเนินงานกันอย่างไรต่อ พร้อมยังสร้างปัญหาคาราคาซังมากมาย
ด้วยเหตุเพียงความกลัวว่ายังมีเงาของคนในรัฐบาลทักษิณยังครอบงำอยู่เท่านั้นเอง!!
ชักเนื้อยึดสัมปทานไอทีวี
อีกหนึ่งผลงานโบดำที่ทำให้รัฐสูญเสียโอกาส แทนที่จะได้ “ค่าต๋ง” ผลประโยชน์เข้ารัฐ 25,000 ล้านบาท ตลอดอายุสัมปทาน 30 ปี
ีกลับต้องชักเนื้อ 5% ของภาษีสรรพสามิตสุรา-ยาสูบ ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทต่อปีไปหล่อเลี้ยง ทีวีสาธารณะแทน
ปัญหายุ่งๆนี้เกิดขึ้นเมื่อสถานีโทรทัศน์ไอทีวีถูกรัฐบาลยกเลิกสัญญาสัมปทานและให้ โอนทรัพย์สินของไอทีวีมาเป็นของรัฐ โดยเปลี่ยนชื่อเป็นสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี และกำลังจะกลาย เป็นทีวีสาธารณะในเร็วๆนี้
ภายหลังจากมีความขัดแย้งระหว่างคู่สัญญา คือ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) และบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) เรื่องการจ่ายค่าสัมปทานและการปรับผังรายการเพิ่มสัดส่วนของรายการบันเทิง
จนในที่สุด สปน.ได้ไล่เบี้ยค่าปรับอภิมหาโหด เล่นเอาไอทีวี “ล้มทั้งยืน”
แต่เรื่องไม่ได้จบลงแค่นั้น เมื่อรัฐบาลทำงานแบบสุกเอาเผากิน และรวบรัดออกร่าง พ.ร.บ. องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพ สาธารณะแห่งประเทศไทย หรือ พ.ร.บ.ทีวีสาธารณะ ที่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไปทั้ง 3 วาระแล้ว
โดยหวังว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย และมีการประกาศกฎหมายนี้ใช้ในหนังสือราชกิจจานุเบกษาแล้ว ก็จะผลักดันสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวีเป็นทีวีสาธารณะได้
แต่แล้วก็ไปไม่รอด เมื่อศาลปกครองสูงสุดได้สั่งจำหน่ายคดีที่ สปน.ยื่นฟ้อง บมจ.ไอทีวี ชำระเงิน 101,865 ล้านบาท
ประกอบด้วย ค่าปรับผังรายการ 97,760 ล้านบาท ค่าสัมปทานส่วนต่าง 2,887 ล้านบาท ค่าดอกเบี้ยของค่าสัมปทานส่วนต่าง 562 ล้านบาท และมูลค่าทรัพย์สินที่ส่งมอบไม่ครบ หลังการบอกเลิกสัญญาสัมปทาน 656 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี
ทำให้ข้อขัดแย้งทั้งหมดต้องกลับไปสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการใหม่
มาตรา 190 อุปสรรคการค้า
มาตรา 190 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ไทยสูญเสียโอกาสในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เพราะกำหนดให้การทำสนธิสัญญา และความตกลงระหว่างประเทศ ต้องเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบ และหากมีผลกระทบ มากต้องทำประชาพิจารณ์
ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยากในทางการปฏิบัติมาก เพราะการเจรจาทุกครั้งจะต้องขอความ เห็นชอบจากสภา ขณะที่การเจรจาการค้า ทั่วไป ไม่ได้เกิดขึ้นภายในครั้งเดียวแล้วสำเร็จ
หากต้องขอความเห็นชอบทุกครั้ง แน่นอนว่า การเจรจาจะมีความคืบหน้า ยาก ประเทศคู่เจรจาอาจเกิดความเบื่อหน่าย ที่สำคัญ หากสภาไม่เห็นชอบก็จะไม่สามารถเจรจาต่อได้
ถึงแม้ในรัฐธรรมนูญจะกำหนดต่อว่า ต้องมีกฎหมายลูกที่กำหนด หลักเกณฑ์และวิธีการในการเจรจาที่ชัดเจนเพื่อเป็นหลักปฏิบัติ ิสำหรับผู้เจรจา แต่ในระหว่างที่กฎหมายลูกยังไม่มีผลบังคับใช้การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีของไทย กับประเทศใหม่ๆก็ต้องหยุดชะงักไปโดยปริยาย
มาตรา 190 จึงอาจทำให้ไทยตกขบวนการค้าเสรี สุดท้ายจะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ รวมถึงความเชื่อถือ และความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศคู่เจรจาด้วย
ผลงาน “ทีโอที” เหลวไม่เป็นท่า
ปี 2550 ถือว่าเป็นปีแห่งการเสียโอกาสของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) อย่างหนักหนา สาหัส เพราะนอกจากไม่มีพัฒนาคุณภาพการให้บริการ ไม่สร้างรายได้เพิ่มแล้ว ยังเกิดความวุ่นวายและขัดแย้งกันเองไม่เลิกรา
นับตั้งแต่ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม มานั่งแท่นเป็นประธานคณะกรรมการ มีการเปลี่ยนกรรมการผู้จัดการใหญ่ถึง 4 คน เริ่มตั้งแต่นายสมควร บูรมินเหนทร์ นายวุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ และนายกิตติพงศ์ เตมียะประดิษฐ์ จนทำให้ขาดความต่อเนื่องในการบริหารงาน
ทีโอทีมีทั้งปัญหาภายใน ขั้นตอนการทำงานล่าช้า ประกอบกับบอร์ดไม่มีนโยบายชัดเจน จนพนักงานทีโอทีถอดใจในการทำงาน จึงส่งให้ผลดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เช่น จากที่กำหนดในปี 2550 จะมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงทะลุ 1 ล้านราย กลับทำได้ 400,000 รายเท่านั้น
ขณะที่ตลอดทั้งปีนี้ทีโอทีจึงมีกำไรเพียง 1,000 ล้านบาท ลดลงจากเดิมมีกำไร 6,981.22 ล้านบาท
ล่าสุดสำนักงานนโยบายและแผนรัฐวิสาหกิจได้ทำหนังสือ ถึงกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ให้เร่งจัดทำแผนยุทธศาสตร์ปรับโครงสร้างเพื่อฟื้นฟูฐานะการเงินอย่างเร่งด่วน
เพราะทีโอทีมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาด้านการเงินในอนาคตอันใกล้นี้
หวยบนดินสูญ 5.2 หมื่นล้าน
คำสั่งยุติหวยบนดิน แบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว ตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย.2549 ยาวนานมาตลอดปี 2550 ยังไม่เห็นวี่แววใดออกมาเรียกเสียงฮือฮากับนักเสี่ยงโชคได้อีกครั้ง
หนำซ้ำยังปล่อยให้หวยใต้ดินระบาด จน บรรดาเจ้ามือหวยใต้ดินออกอาการลิงโลดดีใจ ฟันกำไรเหนาะๆเข้ากระเป๋านับไม่ถ้วน
หากคำนวณเป็นตัวเลขแบบคร่าวๆ แต่ละงวดมียอดจำหน่ายหวยบนดินงวดละ 2,000 ล้านบาท ฉะนั้น ตั้งแต่รัฐบาลสั่งหยุดจำหน่ายหวยบนดินจนถึงงวดปัจจุบัน (30 ธ.ค. 2550) รวม 26 งวด
รัฐบาลเสียโอกาสจากการหารายได้ถึง 52,000 ล้านบาททีเดียว
น่าเสียดาย เพราะแทนที่เงินเหล่านี้จะถึงมือเด็กยากจน เช่น โครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน ที่เป็นโอกาสให้เด็กไทยที่ยากจนไปเล่าเรียนในต่างประเทศฟรีๆ แต่ดันทะลึ่ง ไปอยู่ในกระเป๋าของเจ้ามือหวยใต้ดินแทน
แผนก่อสร้างรถไฟฟ้าบิดเบี้ยว
จนแล้วจนรอดรถไฟฟ้า 5 สายทางที่หลายรัฐบาลวาดฝันให้ประชาชนชาวกรุงเทพฯ หลงเคลิ้มว่าจะเดินทางได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ก็ยังไม่ขับเขยื้อนไปไหน มีเพียง 2 สาย ที่ ครม.เห็นชอบ แต่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างใดๆทั้งสิ้น
เริ่มต้นจากสายสีแดงที่แบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ บางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 15 กม. และบางซื่อ-รังสิต ระยะทาง 26 กม. วงเงินลงทุน 68,000 ล้านบาท
แม้ที่ประชุม ครม.จะเปิดไฟเขียวให้เดินหน้าโครงการไปแล้ว พร้อมกำหนดว่าภายในเดือน ต.ค.2550 จะได้ผู้รับเหมาเพื่อดำเนินการก่อสร้างในช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน เพื่อลงมือก่อสร้างต้นปี 2551 แต่จนแล้วจนรอดถึงบัดนี้ก็ยังไม่สามารถเปิดประกวดราคาหาผู้รับเหมา
ขณะที่ช่วงบางซื่อ-รังสิต จะต้องรอให้เงินค่าก่อสร้างในช่วง แรกเหลือก่อนจึงจะลงมือได้
อีกทั้งมีปรากฏการณ์พิเศษของรถไฟฟ้าสายสีแดงที่จะเอารถไฟแบบดีเซลรางวิ่งไปพลางๆก่อน เมื่อเห็นว่ามีความพร้อมเพิ่มขึ้นค่อยหารถไฟฟ้ามาวิ่งบนรางเดียวกัน
สำหรับรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ-บางใหญ่ ระยะทาง 23 กม. วงเงิน 55,000 ล้านบาท จากนโยบายของรัฐบาลก่อน จะเป็นลำดับแรกที่ได้ก่อสร้างก่อน แต่ด้วยหลักเกณฑ์ที่รัฐบาลชุดนี้กำหนดให้ผ่าน พ.ร.บ.การเข้าร่วมการงานระหว่างรัฐบาลและเอกชน พ.ศ. 2535 จึงต้องถูกพิจารณากลั่นกรองหลายขั้นตอน
เมื่อ ครม.ให้เดินหน้าโครงการได้ ก็ยังติดปัญหาเงินค่าเวนคืนที่ดินที่สูงขึ้นถึงหนึ่งเท่าตัว จนกระทรวงคมนาคมต้องนำกลับไปพิจารณาใหม่ และเพิ่งเสนอให้ ครม.เห็นชอบในวงเงิน 9,209 ล้านบาท
ส่วนกำหนดเวลาที่วางไว้ว่าจะเริ่มหาผู้รับเหมาและก่อสร้างได้ในต้นปี 2551 ก็ยังเป็นปัญหาอยู่
เพราะธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (เจบิก) ผู้ให้เงินกู้ เห็นว่ารูปแบบโครงการเปลี่ยนแปลงไปจึงขอทบทวนการให้กู้ใหม่ทั้งหมด
ทอท.รายได้ลดกำไรหล่นวูบ
บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ในฐานะผู้กำกับดูแลสนามบินนานาชาติ ในประเทศไทย มีผลงานในอดีตโกยกำไรเป็นกอบเป็นกำปีละกว่า 10,000 ล้านบาท เพราะเป็นธุรกิจผูกขาด
แต่ตลอดทั้งปี 2550 นี้ กลับมีกำไรลดลงเหลือไม่ถึง 1,000 ล้านบาท
มาจากสาเหตุสำคัญ 2 ประการ ประการแรกจากการเปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้ต้องหักค่าเสื่อมราคาในปีแรก 5,000-6,000 ล้านบาท
แต่ประการที่ 2 ถือเป็นผลของการบริหารงานของคณะกรรมการ ทอท. ที่มี พล.อ.สพรั่ง เป็นประธาน โดยเฉพาะในกรณีที่เข้ามาล้างบางกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ที่ได้รับสัมปทานการ บริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์และร้านค้าปลอดภาษี ด้วยการประกาศยกเลิกสัญญาสัมปทาน
ทำให้รายได้ของ ทอท.ที่ได้รับจากกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ เดือนละ 300 ล้านบาท หรือปีละกว่า 3,000 ล้านบาทหายไป
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ทอท.ยังถูกกลุ่มคิง เพาเวอร์ ฟ้องร้องต่อศาลแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย กว่า 68,000 ล้านบาท พร้อมขอความคุ้มครองจากศาลไม่ให้ ทอท.เข้ามารื้อถอน
เท่ากับสิ่งที่คณะกรรมการ ทอท.ตัดสินใจไปมีแต่เสียกับเสีย จึงเป็นที่มาของ ปีแห่งการเสียโอกาสโดยแท้!!!
ทีมเศรษฐกิจ ไทยรัฐ
จาก ไทยรัฐ 31/12/50
เหลียวหลังการเมือง2550 ปีปฏิเสธเผด็จการ
เรื่องของกาลเวลา มีการกำหนดช่วงจากชั่วโมงเป็นวัน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี
ในห้วงรอยต่อแห่งกาลเวลาที่เวียนมาบรรจบครบปี ถือเป็นช่วงเหมาะสมที่สุด สำหรับการทบทวนสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในรอบปี
“ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” จึงขอใช้โอกาสในวันสุดท้ายของปี 2550 เหลียวหลังย้อนกลับไปมองร่องรอยปรากฏการณ์ทางการเมือง ในช่วงขวบปีที่กำลังจะผ่านพ้นไป
เริ่มจากฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ปีนี้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทำหน้าที่แทนสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา
โดยตั้งแต่ช่วงต้นปี เป็นเรื่องของการออกแบบรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นหัวหอกในการยกร่างฯ ตามปฏิทินเวลาที่วางไว้
ทั้งนี้ ในช่วงยกร่างฯ มีการตั้งธงกันเอาไว้หลายประเด็น เช่น มีการเสนอให้นายกรัฐมนตรี มาจากคนนอก ไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส. เสนอให้ ส.ว.มาจากการสรรหา
แต่สุดท้ายก็ต้านกระแสสังคมไม่ไหว ต้องยอมกำหนดให้ นายกฯ มาจาก ส.ส. ส่วนที่มาของ ส.ว.ให้มาจากการเลือกตั้งและสรรหาผสมกัน
ขณะเดียวกัน ก็ยกเลิกการเลือกตั้ง ส.ส. แบบวันแมนวันโหวต มาใช้แบบรวมเขตเรียงเบอร์
อย่างไรก็ตาม ต้องถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่มีการจัดลงคะแนนเสียง ประชามติร่างรัฐธรรมนูญ โดยคนส่วนใหญ่ให้ความเห็นชอบ
สำหรับการทำหน้าที่ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตลอดปี มีกฎหมายที่สำคัญ จำเป็นต่อการบริหารประเทศออกมาน้อยมาก
แต่มีปรากฏการณ์ใหม่เกิดขึ้นให้เห็น นั่นก็คือสมาชิก สนช.เปิดอภิปราย ทั่วไปรัฐบาลโดยไม่มีการลงมติ ซึ่งถือเป็นครั้งแรก ของสภา ที่มาจากการแต่งตั้งในยุครัฐประหาร
ดูแล้วก็คล้ายบรรยากาศแบบประชาธิปไตย แต่ในความเป็นจริง เป็นเรื่องอำนาจและผลประโยชน์ ที่ไม่ลงตัวของคนฝ่ายเดียวกัน ที่แบ่งกลุ่มแบ่งพวกอยู่ใน สนช.
มาถึงช่วงปลายปีก็เกิดเหตุการณ์ม็อบที่ไม่พอใจการพิจารณาร่างกฎหมาย ในช่วงใกล้เลือกตั้งปีนรั้วรัฐสภาบุกเข้าไปถึงหน้าห้องประชุม สนช.
ปรากฏการณ์เหล่านี้ สะท้อนให้เห็นถึงการชิงการนำของกลุ่มพลังภายใน สนช.ที่มีทั้งสายพันธมิตร สายเอ็นจีโอ สายข้าราชการพลเรือน และสายทหาร
สรุปภาพรวม 12 เดือนที่ผ่านมาของฝ่ายนิติบัญญัติ มีสภาพไม่ต่างจากคำเปรียบเปรย
ไก่ตรุษจีนในเข่งที่รอเชือด จิกตีกันเอง
หันมาที่ฝ่ายตุลาการ เป็นที่ชัดเจนว่าช่วงกลางปีที่ผ่านมา มีปรากฏการณ์การใช้อำนาจของตุลาการรัฐธรรมนูญ สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งเมือง
เมื่อตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย พร้อมสั่งเพิกถอนสิทธิ เลือกตั้งอดีตกรรมการบริหารพรรค 111 คน
ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตามมามากมาย อาทิ ทำให้ขาดแคลนบุคลากร ทางการเมือง เนื่องจากนักการเมืองระดับแกนนำถูกเว้นวรรคการเมือง 5 ปี
ทำให้เกิดการเมืองในรูปแบบร่างทรง ทั้งหัวหน้าพรรคที่เป็นร่างทรง กรรมการบริหารพรรคร่างทรง และผู้สมัคร ส.ส.ร่างทรง
ทำให้มีพรรคการเมืองเกิดขึ้นใหม่หลายพรรค ส่วนใหญ่ ป้อมค่ายที่แตกตัวออกมาจากพรรคไทยรักไทย
ขณะที่ทางด้านศาลยุติธรรม ในปีนี้ได้มีคำพิพากษาตัดสินคดี ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองหลายคดี อาทิ
ศาลอาญามีคำพิพากษาให้จำคุกนายสมัคร สุนทรเวช 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในคดีหมิ่นประมาทนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. แต่ให้ประกันตัวสู้คดีในชั้นอุทธรณ์
ศาลอาญาพิพากษาจำคุกนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ 3 ปี โดยไม่รอการลงโทษ ในคดีปั�นหุ้นทีพีไอโพลีน และมีคำพิพากษาให้จำคุกนายประชัย 1 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ในคดีละเมิดอำนาจศาล แต่อนุญาตให้ประกันตัวสู้คดี
ศาลอาญาพิพากษาให้จำคุกนายสมหมาย ภาษี 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในคดีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกรณีสั่งพักงานอดีตรอง ผอ.บริษัทไทยเดินเรือทะเล (บทด.) ในสมัยเป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง แต่ให้ประกันตัวสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ ส่งผลให้นายสมหมายหลุดจากเก้าอี้ รมช.คลังทันที
ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้จำคุกนายบุญมาก ศิริเนาวกุล อดีตผู้สมัคร ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ 1 ปี เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี ในคดีทุจริตเลือกตั้งเมื่อปี 2543 แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา ส่งผลให้ขาดคุณสมบัติพ้นจากการเป็นผู้สมัคร ส.ส.ก่อนถึงวันเลือกตั้ง
ศาลสถิตยุติธรรม ใช้กฎหมายเข้ม
สำหรับกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้นในการนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาในชั้นศาล
โดยเฉพาะคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่เป็นผลพวงมาจากการรัฐประหาร
มีการตรวจสอบเรื่องการทุจริตใหญ่ๆของรัฐบาลชุดที่แล้ว 15 เรื่อง ปรากฏว่าในรอบปีนี้ สามารถส่งสำนวนเข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาลได้เพียง 2 คดี คือ
คดีหลีกเลี่ยงภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป และคดีใช้อำนาจ โดยมิชอบซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก
และมีคดีที่ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณาเพื่อส่งฟ้องศาล 1 คดี คือ คดีออกสลากพิเศษ 3 ตัว 2 ตัว ทำให้รัฐเสียหาย
ส่วนที่เหลืออีก 10 กว่าเรื่องยังอยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการไต่สวน คตส. โดยผู้ถูกกล่าวส่วนใหญ่ขอเลื่อนการเข้าชี้แจงหลายครั้งหลายหน ทำให้การพิจารณายืดเยื้อมาจนถึงทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม คตส.ได้มีคำสั่งอายัดเงินในบัญชีเงินฝากและทรัพย์สินที่ครอบครัว บุตร และบริวาร ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้รับจากการขายหุ้นชินคอร์ป หลายระลอกรวมวงเงินกว่า 72,000 ล้านบาท
ในขณะที่ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาที่หลบไปตั้งหลักอยู่ต่างประเทศ อ้างเหตุที่ยังไม่มาชี้แจงข้อกล่าวหา ว่าเป็นเพราะไม่มั่นใจในความยุติธรรมของอำนาจรัฐปัจจุบัน และไม่มั่นใจในความปลอดภัย แต่ยืนยันหลังเลือกตั้งมีรัฐบาลใหม่แล้วจะกลับมา
หันมาทางฝ่ายบริหาร ในรอบปีนี้ชัดเจนว่า “รัฐบาลขิงแก่” ภายใต้การนำของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เกิดปัญหาเครื่องรวนมาตลอด
ช่วงต้นปี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ลาออกจากตำแหน่งรองนายกฯและ รมว.คลัง เพราะไม่พอใจที่นายกฯ แต่งตั้งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
ทำให้ต้องมีการปรับ ครม.ดึงนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ เข้ามาเป็น รมว.คลังคนใหม่
ถัดมาไม่นาน นายประสิทธิ์ โฆวิไลกูล ลาออกจาก รมต.ประจำสำนักนายกฯ ทำให้ต้องปรับ ครม.อีกครั้ง
ผ่านมาถึงช่วงปลายปี เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ ข้อห้ามรัฐมนตรีถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ พ่นพิษ ส่งผลให้นายอารีย์ วงศ์อารยะ ต้องลาออกจาก รมว.มหาดไทย นายเกษม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ลาออกจาก รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ นายสิทธิชัย โภไคยอุดม ลาออกจาก รมว.ไอซีที นายสวนิต คงสิริ ลาออกจาก รมช.ต่างประเทศ และนางอรนุช โอสถานนท์ ลาออกจาก รมช.พาณิชย์
ทำให้ พล.อ.สุรยุทธ์ต้องปรับ ครม. นั่งควบเก้าอี้ รมว. มหาดไทย ท่ามกลาง กระแสถล่ม เรื่องเขายายเที่ยง ทำให้เสียรังวัดไปพอสมควร
ในด้านผลงานของรัฐบาลชุดนี้ ไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่มีอะไรเข้าตาประชาชน ถึงขนาดถูกตั้งฉายาว่าเป็นรัฐบาลฤาษีขี่เต่า
สำหรับผู้นำรัฐบาลมีจุดแข็งอยู่จุดเดียว ก็คือ เรื่องการคืนอำนาจให้ประชาชน ประกาศเปรี้ยงจะให้มีการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม
แม้มีแรงยื้อจากบางฝ่ายที่อยากให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไป ถึงขั้นมีข่าวว่าจะเปลี่ยนตัวนายกฯ แต่ พล.อ.สุรยุทธ์ก็ยังมั่นคงในจุดยืนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
สรุปแล้วรัฐบาลชุดนี้ เป็นแค่รัฐบาลเฉพาะกาล ที่เข้ามาดูแลประเทศเพื่อรอเวลาเปลี่ยนผ่าน ให้มีการเลือกตั้งกลับไปสู่ระบอบประชาธิปไตย
เป็นแค่รัฐบาลคั่นเวลาจริงๆ
ส่วนอีกอำนาจหนึ่งที่ซ้อนอยู่กับอำนาจฝ่ายบริหาร นั่นก็คือ คมช.
เมื่อ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช. เกษียณอายุราชการจากเก้าอี้ ผบ.ทบ. ฐานอำนาจ ที่เคยมีอยู่เต็มเปี่ยมก็มีอันต้องเปลี่ยนมือ เกิดอาการตีนลอย อำนาจเบ็ดเสร็จหมดไป สุดท้ายก็ต้องโดดเข้ามาเป็นรองนายกรัฐมนตรี ดูแลด้านความมั่นคง
ตรงนี้เป็นปกติของระบบ เมื่ออำนาจปกติเปลี่ยนผ่านเข้ามา อำนาจพิเศษก็ต้องถอยไป
สำหรับอำนาจสำคัญอีกอันหนึ่ง ในสถานการณ์ที่ปีนี้เป็นปีเปลี่ยนผ่าน เพื่อคืนอำนาจประชาธิปไตย ให้ประชาชน คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จึงมีความสำคัญมาก
เพราะต้องทำงานท้าทายในการควบคุมการเลือกตั้งให้เกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรม ท่ามกลางการต่อสู้แข่งขันกันอย่างรุนแรงของพรรคการเมืองและขั้วอำนาจ
แม้ก่อนการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม กกต.ยังไม่สามารถแจกใบเหลืองใบแดงผู้สมัคร ส.ส.ที่มีพฤติกรรมทุจริตกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งได้ เพราะเวลากระชั้นชิด
แต่มาถึงวันนี้ ผลคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการออกมาแล้วว่า พรรคพลังประชาชนได้ ส.ส.เข้ามาเป็นอันดับหนึ่ง 233 คน พรรคประชาธิปัตย์ตามมาเป็นอันดับสอง 165 คน
พรรคพลังประชาชนได้สิทธิเป็นแกนนำรวบรวมเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลผสม ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ก็ประกาศพร้อมจัดตั้งรัฐบาล ถ้าพรรคพลังประชาชนรวบรวมเสียงข้างมากไม่สำเร็จ
ช่วงชิงอำนาจรัฐกันจนถึงเฮือกสุดท้าย
ท่ามกลางการร้องเรียนทุจริตเลือกตั้งและคัดค้านผลการเลือกตั้งนับร้อยเรื่องจากทั่วประเทศ ก็ต้องรอดูว่า กกต.จะใช้อำนาจตามกฎหมายเลือกตั้ง เพื่อรักษาความสุจริต ความยุติธรรม และความเที่ยงธรรม เข้มข้นมากขนาดไหน
ว่าที่ ส.ส.จะโดนเชือด แจกใบเหลือง ใบแดง ทั้งหมดกี่ราย
ทางด้านตัวแปรสำคัญทางการเมืองตลอดปีนี้ ก็ยังคงเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หัวขบวนกลุ่มอำนาจเก่า
แม้ว่าตัวอยู่นอกประเทศ แต่ก็มีนอมินีทางการเมืองอยู่ในเมืองไทย มีการต่อสายบัญชาการ มีบทบาทอยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนทางการเมืองมาตลอด
และมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆในช่วงสิ้นปีที่มีการเลือกตั้ง แถมกำลังจะมีบทบาทต่อเนื่องข้ามปีไปอีกด้วย หลังจากพรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้งได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
จากปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในรอบปี 2550 ชี้ให้เห็นว่า ผลจากการรัฐประหาร สามารถยึดอำนาจได้ แต่ ปกครองไม่ได้ บริหารประเทศไม่ได้
การทำงานของรัฐบาลเฉพาะกาล เชื่องช้า ไม่กล้าตัดสินใจ ทำให้ชาวบ้านยี้
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเหล่านี้ ถือเป็นบทเรียนของพวกเผด็จการ ที่ต้องควรรู้ว่า
ชาวบ้านรับไม่ได้กับรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
ทีมของเราจึงขอบอกว่า ปีนี้คือ ปีปฏิเสธเผด็จการ.
ทีมการเมือง ไทยรัฐ
จาก ไทยรัฐ 31/12/50
เผย สมชัย ไม่ร่วมลงมติแจกแดง
เมื่อเวลา 17.00 น. วานนี้ (30 ธ.ค.) นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงการพิจารณาเรื่องร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส. ว่า วันนี้คาดว่าคงยังไม่มีอะไรชัดเจน ในการพิจารณาให้ใบเหลืองใบแดง โดยในวันที่ 31 ธ.ค. กกต.จะหยุดพักการพิจารณา 1 วัน และจะเริ่มพิจารณาต่อกันในวันที่ 1 ม.ค. 2551 ที่มีสำนวนเรื่องร้องเรียนที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวนของสันติบาล เตรียมรอเข้าสู่การพิจารณาอีกกว่า 100 สำนวน เป็นที่น่าสังเกตว่าสำนวนที่สันติบาลเสนอเข้าสู่การพิจารณาของ กกต. จะไม่มีการยกคำร้องมีเพียงให้ไปสอบสวนเพิ่มเติมเท่านั้น นอกจากนี้ในวันที่ 1 ม.ค. นายประสพ บุษราคัม ว่าที่ ส.ส.อุดรธานี เขต 3 พรรคพลังประชาชน จะนำพยานหลักฐานเข้าชี้แจงต่อ กกต.กรณีที่ถูกร้องคัดค้านว่าปราศรัยใส่ร้าย และกรณีแจกซีดี
นางสดศรีกล่าวถึงกรณีที่พรรคพลังประชาชนเรียกร้องให้ กกต. ตรวจสอบความเป็นกลางของ พล.ต.ต. ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล รอง ผบช.ส. ในฐานะหัวหน้าฝ่ายสืบสวนสอบสวน ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก กกต. ให้ช่วยสืบหาข่าวการทุจริตเลือกตั้งว่า หากพรรคพลังประชาชนต้องการให้ กกต.ตรวจสอบ ก็สามารถยื่นเรื่องเข้ามาได้ กกต.จะส่งเรื่องไปยัง ผบ.ตร.ให้ช่วยตรวจสอบ อย่างไร ก็ตาม ตามปกติ พล.ต.ต.ชัยยะก็เป็นคณะอนุกรรมการสืบสวนของ กกต.อยู่แล้ว เมื่อถามถึงการแจกใบปลิวโจมตี กกต. นางสดศรีตอบว่า ทราบแล้วว่าเป็นฝีมือใคร แต่ ไม่อยากพูด เราก็ทำหน้าที่ไปตามปกติ ส่วนมติ กกต.ในการพิจารณาใบแดงที่ จ.บุรีรัมย์ เขต 1 ของพรรคพลังประชาชน ที่นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต. ด้านสืบสวนสอบสวน ไม่เข้าร่วมประชุมและไม่ร่วมลงมติพิจารณาด้วยนั้น ก็ขอให้ไปถามเจ้าตัวเอง ปกติหาก พล.ต.ต.ชัยยะเข้าชี้แจงเรื่องร้องเรียนต่อที่ประชุม กกต. นายสมชัยก็จะไม่ร่วมประชุมด้วย
ด้าน พล.ต.ต.ชัยยะพยายามหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถาม กรณีพรรคพลังประชาชนร้องเรียนว่ามีพฤติกรรมไม่เป็นกลาง โดยกล่าวเพียงว่า “ผมทำหน้าที่ เพื่อมารักษาความสงบเรียบร้อยเท่านั้น”
นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. กล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่องที่พรรคพลังประชาชนระบุว่า พล.ต.ต. ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล รอง ผบช.ส. ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าฝ่ายสืบสวนของ กกต.มีพฤติกรรมไม่เป็นกลาง ยังไม่เห็นเรื่องร้องเรียนอะไรเข้ามา แต่การแต่งตั้งเป็นมติของที่ประชุม กกต. เพราะเห็นว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน กกต.มีไม่เพียงพอ เมื่อ ผบช.ส.ส่ง พล.ต.ต.ชัยยะเข้ามา ก็ถือเป็นมติให้เป็นหัวหน้าทีมสอบสวน ยืนยันได้ว่าไม่ได้ แต่งตั้งจากคำสั่งใคร หรือมีใครมาแทรกแซง เพราะคนอย่างตนไม่มีใครแทรกแซงได้ เมื่อถามว่า หากปัญหาความขัดแย้งส่งผลไปถึงขั้นที่นายสมชัยลาออกจากตำแหน่งจะมีปัญหาในการทำงานของ กกต.หรือไม่ นายอภิชาตกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “อย่ามาถามผมเรื่องนี้ ผมไม่เคยคิดว่าการทำงานจะมีปัญหาอย่างไร ตอนนี้ทุกคนทำงาน คำถามนี้ผมไม่ตอบ เพราะไม่อย่างนั้นก็จะนำไปโยงกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วก็จะส่งผลเสียหายได้” นายอภิชาตกล่าวถึงการงดประชุม กกต.ในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ ว่า ต้องยอมรับว่าตอนนี้เหนื่อยกายมาก หากต้องทำงานต่อเนื่อง จะต้องทำงานอีก 20 กว่าวันที่ผ่านมาก็ไม่ได้หยุด
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.แถลงภายหลังการประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องร้องคัดค้านการเลือกตั้งว่า กกต.ได้พิจารณาเรื่องคัดค้านที่ร้องเรียนเข้ามาตั้งแต่วันที่ 25-30 ธ.ค. ที่มีทั้งสิ้น 117 เรื่อง โดยในวันที่ 30 ธ.ค.นี้ ได้พิจารณาไปแล้ว 33 เรื่อง โดยแยกเป็นการแจกเงินและทรัพย์สิน 15 เรื่อง หลอกลวง ใส่ร้าย 4 เรื่อง เจ้าหน้าที่วางตัวไม่เป็นกลาง 4 เรื่อง การติดตั้งป้ายผิดหลักเกณฑ์จากที่ กกต.กำหนด 5 เรื่อง และเรื่องอื่นๆ 5 เรื่อง ซึ่งจะเป็นเรื่องการฝ่าฝืนระเบียบการหาเสียง เช่น การหาเสียงในช่วงการเลือกตั้ง โดยเรื่องร้องเรียนทั้ง 33 เรื่องนั้น แบ่งตามรายภาคได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 14 เรื่อง ภาคกลาง 12 เรื่อง ภาคใต้ 3 เรื่อง ภาคเหนือ 4 เรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องร้องเรียนต่อพรรคพลังประชาชน 11 เรื่อง นอกนั้นเป็นเรื่องร้องเรียนพรรคชาติไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อแผ่นดินและพรรคประชาราช ทั้งนี้ กกต.ได้มีมติมอบหมายให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม 3 เรื่อง และ มอบหมายให้คณะกรรมการสอบสวนหาข้อมูล หลักฐาน โดยเฉพาะพยานบุคคล มาเพิ่มเติมอีก 9 เรื่อง นอกจากนี้ยังได้ยกคำร้องไป 21 เรื่อง ในการพิจารณาเรื่องร้องคัดค้านที่ผ่านมา กกต.ได้พิจารณายกคำร้อง พิจารณาให้ยุติเรื่องและไม่รับไว้พิจารณา รวมทั้งสิ้น 60 เรื่องที่มา ไทยรัฐ [31 ธ.ค. 50 - 05:22]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
5 เสือ กกต. กฎหมายปราบมาร ( ข้อมูลใครเป็นใครและทำหน้าที่อะไรใน กกต.) จาก ไทยรัฐ
อำนาจมืดคุกคาม กกต. ( อะไรเกิดขึ้นที่ กกต. ทำไม คุณสมชัย ไม่เข้าประชุม ) โดย ประดาบ
หมอเลี้ยบ ชี้แจกใบแดง 3 ว่าที่ สส. พปช. ไม่โปร่งใส
สมัครชิงแถลงตั้งรบ.4พรรค 'งูเขียว'เพื่อแผ่นดินแจม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ โรงแรมเอสซี ปาร์ค วันนี้ (31 ธ.ค.) นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน เตรียมแถลงพร้อม 3 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พรรคมัชฌิมาธิปไตย และพรรคประชาราช ร่วมจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคพลังพลังประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า การแถลงครั้งนี้ นอกจากแกนนำทั้ง 4 พรรคการเมืองดังกล่าวแล้ว พรรคพลังประชาชน ได้เชิญว่าที่ ส.ส.ของพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่พร้อมจะให้การสนับสนุนพรรคพลังประชาชนในการจัดตั้งรัฐบาลมาร่วมแถลงด้วย จากเดิมพรรคพลังประชาชนนัดแถลงประกาศจัดตั้งรัฐบาลในต้นปีหน้า
จาก ไทยรัฐ [31 ธ.ค. 50 - 08:37]‘สุเทพ'มั่นใจ‘กกต.'แจกใบเหลือง- แดงกว่า60ใบ
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคพลังประชาชนว่า ตนคิดว่าท้ายสุดแล้วการจัดตั้งรัฐบาลที่พรรคพลังประชาชนบอกว่ามีพรรคการเมืองต่างๆ เข้าร่วมแล้วจะยังมีการเปลี่ยนแปลงได้อีก เนื่องการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่ได้รับรองผลการเลือกตั้ง และยังไม่ประกาศว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใด จะได้เป็นผู้แทน ทั้งนี้ตนเชื่อด้วยว่า ผู้สมัครที่คิดว่าจะชนะมีจำนวนหลาย 10 คน และ ในหลาย 10 คนนั้นจะถูก กกต.แจกใบเหลือง ใบแดง เพราะจากการติดตามการเลือกตั้งที่ผ่านมาผู้สมัครหลายคนก็มีพฤติกรรมที่ไม่สุจริต ดังนั้นในสถานการณ์อย่างนี้คิดว่าถ้าตนเป็นพรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคชาติไทย และพรรคเล็ก จะไม่พลีพล่าม ต้องรอให้ กกต.พิจารณาใบเหลือง ใบแดงของ เสร็จสิ้นเสียก่อน แต่ที่มีการประกาศว่าจะร่วมกับพรรคพลังประชาชนแล้ว ก็ถอนตัวออกมาได้ ไม่ถือว่าเป็นการเสียหน้า
"สมมุติว่าถ้าเขาแถลงรัฐบาลร่วมกัน ตัวเลขเปลี่ยนไป แต่วันเข้าสภาผู้แทนราษฏร ยังมีสถานการณ์เปลี่ยนแปลงได้อีก เชื่อเถอะการเมืองตอนนี้เปลี่ยนไปมาก วันนี้ผมภาวนาอย่างเดียวว่าให้บ้านเมืองเรียบร้อย เพราะสิ่งที่กลัวคือว่าบ้านเมืองจะไปไกล ผมถึงไม่ตื่นเต้นอะไร ยังนั่งฟังได้ทุกวัน เหมือนดูละครสนุก ออกมาแต่ละฉาก โศกสลด เช้าด่าเย็นส่งเทียบเชิญ" นายสุเทพ กล่าว
ถามย้ำถึงการแจกใบเหลือง-ใบแดงของ กกต. มีผลต่อการจัดตั้งรัฐบาล นายสุเทพ กล่าวว่า ตนเชื่อว่ามีผล หากสมมุติว่าพรรคพลังประชาชนโดนใบแดงสัก 60 ใบ อาจจะเหลือ 160 ที่นั่ง ก็สู่สีกับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองที่จะมาร่วมรัฐบาลจะมาร่วมกับพรรคพลังประชาชนหรือไม่ ผมไม่ได้สมมุติอย่างเลื่อนลอย แต่เห็นว่าเขาทำความผิดมากจริงๆ และทำความผิดโดยไม่คิดว่าวันหนึ่งจะถูกจับ
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีกระแสการกดดันการทำงานของ กกต. นายสุเทพ กล่าวว่า กกต.ชุดใหญ่จะทำงานยากพอสมควร เพราะกลุ่มอำนาจเก่ายังมีอิทธิพลมากในระดับล่าง ซึ่งอาจจะทำให้การทำงานของกกต. เป็นไปอย่างล่าช้า ทั้งนี้ตนได้รับรายงานว่าขณะนี้มีความพยายามว่าจ้างประชาชนในต่างจังหวัดให้มาล้อม กดดันการทำงานของ กกต. อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการกดดันต่างๆ จะไม่ทำให้ กกต. หวั่นไหว
เมื่อถามถึงกรณีที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ว่าที่ ส.ส.เขต3 จ.เชียงราย พรรคพลังประชาชน ไม่เข้ามาชี้แจงข้อกล่าวหาต่อ กกต. กรณีทุจริตการเลือกตั้ง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ผู้กระทำความผิดจะไม่ไปชี้แจงหรือขอเลื่อนถ่วงเวลาไป กกต.ก็คงจะพิจารณาได้หากปรากฎพยานหลักฐานที่ทำให้ กกต.เชื่อได้ว่า ผู้นั้นกระทำความผิดจริงก็ตัดสินได้ ส่วนจะพิจารณาไปถึงพรรคว่ารู้เห็นเป็นใจหรือสมคบกันหรือไม่นั้น กกต.จะต้องเป็นผู้พิจารณา
ผู้สื่อข่าวถามถึงการคเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งใหม่ในบางพื้นที่ นายสุเทพ กล่าวว่า หากต้องมีการเลือกตั้งใหม่ในบางพื้นที่ที่ถูกใบเหลืองหรือใบแดง พรรคได้มีการเตรียมความพร้อมไว้แล้ว ซึ่งตนได้บอกกับผู้สมัครที่ได้คะแนนเป็นอันดับ 2 ให้เตรียมความพร้อมโดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคกลาง ทั้งนี้ก็จะมีการสั่งการเป็นรายบุคคลไป โดยให้ว่าที่ส.ส.เข้าไปช่วยในการรณรงค์หาเสียงด้วย
จาก hi-thaksin.org 30/12/07
เรียนชี้แจง...กรณีที่เพื่อนๆกังวลใจเรื่อง ใบเหลือง -ใบแดง..
ข้อความต่อไปนี้ คัดลอดจาก กระทู้ความเห็นใน www.pantip.com
โดยคุณ นางฟ้ามหาโหด ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลเชิงลึก และวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองได้แม่นยำ
คาดว่าน่าจะเป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องใน พรรค พปช.
ดังนี้
================================
ที่ดิชั้น ได้ขออนุญาต ลาเพื่อนๆ (ชั่วคราว) ไปแล้ว.นั้น..
แต่เห็นพี่ๆ เพื่อน เป็นกังวล ต่อกรณี ใบแดง ที่เพิ่งออกมาเมื่อวานนี้ ให้กับว่าที่ สส พลังประชาชน (แบบมีพิรุธ)
และทำให้เกิดการกังวลใจ กันเป็นอย่างมากว่า ..
ว่าที่ สส พลังประชาชน อาจจะโดนกลั่นแกล้ง ในลักษณะนี้ ตามมาอีกเป็นจำนวนมาก นั้น....
ขอเรียนให้ทราบว่า...
.... ถ้า กกต (ซึ่งก้อรู้กันดีว่าใคร) พยายามที่จะให้ ใบแดง แบบไม่เป็นธรรม( ตามแผน 4 ขั้น ของ คมช) ในลักษณะ ของ บุรีรัมย์ เช่นนี้อีก....
ก้อไม่ต้องกังวลค่ะ.....ทางพลังประชาชน ได้รับทราบ เรื่องนี้มานาน ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งแล้ว...ว่า สส อีสาน จะโดนแบบนี้...
มองภาพตามนี้นะคะ...คือ สส ทางอีสานเนี่ย...อันดับ ที่แข่งไล่ๆ ตามกันมา เป็น สส ระหว่าง สส ของพรรคพลังประชาชน และ สส ของพรรคเพื่อแผ่นดิน ซะเป็นส่วนใหญ่...( ตามมา ก้อเป็น ของรวมใจไทยชาติพัฒนา - มัชฌิมา....)
ส่วน สส ที่เป็น ของประชาธิปัตย์ ได้คะแนนในแต่ละแห่ง มาน้อย...
และ การโดนใบแดง นั้น....จริงอยู่ที่..ว่าที่ สส ของ พรรคที่โดน ใบแดง จะถูกตัดสิทธิ์ ไม่ให้เข้ามาลงเลือกตั้งใหม่
ดังนั้น จึงจะเป็น การแข่งกันต่อสู้กัน ของว่าที่ สส พรรค เพื่อแผ่นดิน - รวมใจไทยชาติพัฒนา -มัชฌิมา - ชาติไทย - ประชาธิปัตย์...
และอย่างที่เคยเรียนให้ทราบว่า บรรดาอดีต สส ไทยรักไทย ที่ออกไป แล้วไปอยู่กับ พรรคต่างๆ เหล่านี้ นั้น...
ตอนนี้ เค้ารวมกันติดหมดแล้ว.....
ในใจแทบทุกคน ถ้าตอนนี้ ย้ายพรรคได้ ย้ายมาแล้ว.
(ยกเว้น คนที่ตั้งใจทรยศพรรค ตั้งแต่แรก ซึ่งก้อมีอยู่ประมาณ 4-5 คน)..
แต่การย้ายพรรค ยังทำไม่ได้ จนกว่าจะมีการรับรอง สส อย่างเป็นทางการ
สส (ที่ได้ออกไปจาก ไทยรักไทย ตอนถูกยุบพรรค )เหล่านี้นั้น....เค้าออกไป เพราะเห็นว่า พรรคถูกยุบ คุณทักษิณเอง ในตอนนั้น ก้อไม่ได้แสดงท่าทีว่า จะสู้ต่อ ด้วยซ้ำ...
มันเหมือนเรือแตก ...ที่ กัปตัน ก้อถูกจับมัด โยนทะเลไป....
มองไปแล้ว หาอนาคตไม่มี....
จะไปว่าพวกเค้า ไม่มีอุดมการณ์ ก้อ ไม่ถูกนัก ....เพราะ อย่างที่บอก คุณทักษิณเอง ก้อ แสดงท่าที ไม่แน่นอนว่าจะสู้ต่อ หรือไม่อย่างไร ในตอนนั้น...
(ตอนนั้น คุณทักษิณ ก้อกำลัง hurt ขนาดหนัก....จากคนใกล้ชิด ที่ให้ใจไปเกิน 100)
หลังจากนั้น ก้อมีการตั้งพรรคพลังประชาชนขึ้น...จนการเลือกตั้งผ่านไป...และ พรรคพลังประชาชน ที่เพิ่งตั้งขี้นมาเพียง6 เดือน และ เป็นพรรคที่โดนโจมตี ใส่ร้าย จาก การประชาสัมพันธ์ของค่าย คมช มาตลอด....
กลับได้รับ การต้อนรับจาก ชาวอีสาน ถล่มทลาย
ไม่มีใครรู้กระแสความนิยม ในตัว คุณทักษิณ ว่า มากมายขนาดไหนได้ดีไปกว่า สส เหล่านี้....
ตอนนี้ สส เหล่านี้...เค้าไม่ได้รู้สึก ไม่มีอนาคต แบบเมื่อก่อน....เค้ารู้ดี...ว่า ต่อให้ แจกใบเหลือง -ใบแดง อีกสัก 100 ใบ....ประชาชนอีสาน ก้อ ไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ และ ไม่เลือกพรรคที่แสดงท่าทีอยู่ตรงข้าม กับ ฝ่ายคุณทักษิณ...
ดังนั้น....ถ้า พลังประชาชน โดนใบแดง 60 ใบ (อย่างที่คนหน้าดำ บางคนพูด)...
สส ที่จะได้กลับเข้ามา ก้อ ไม่ใช่ สส พรรคประชาธิปัตย์ อยู่ดี...
แต่ จะเป็น สส เพื่อแผ่นดิน - ชาติไทยรวมใจพัฒนา และ อื่นๆ....ซึ่ง ก้อคือ สส อดีตลูกหม้อ ไทยรักไทย นั่นเอง...
และ ก้อไม่ต้องกังวล นะคะ...ว่า ถ้าเป็น เช่นนี้ สส ใน เพื่อแผ่นดิน ก้อ จะมากขึ้น...
และ นายสุรเกียรติ จะนำพรรคไปเข้ากับขั้ว ประชาธิปัตย์...
บอกได้เลยว่า....ไม่เป็นเช่นนั้น แน่นอนค่ะ....
เพราะ นายสุรเกียรติ หรือ แม้แต่นายวัฒนา คุมเสียง สส สายอีสาน ไม่ได้แล้ว...
ถ้ายังขืน แสดงท่าที ฝักใฝ่ ฝ่ายประชาธิปัตย์ ...
หลังวันที่ 13 ที่เลือกตั้งซ่อมเสร็จ และ กกต ประกาศรับรองผล......จะได้เห็นการ ย้ายพรรค แน่นอน...
( เพราะสส เหล่านี้...มองข้ามช๊อต ไปถึง การเลือกตั้ง ในครั้งหน้าด้วย)
อีกกรณีนึงคือ...ถ้ายังติดปัญหา เรื่อง เงื่อนไข ด้านเวลา ที่ทำให้ การย้ายพรรค ยังไม่สามารถทำได้...
เราก้อ จะได้เห็น การที่ สส สายอีสาน (อดีตลูกหม้อ ไทยรักไทย) ที่กระจายอยู่ ตามพรรคต่างๆ....
ยกมือ โหวตให้ คุณ สมัคร สุนทรเวช เป็น นายกรัฐมนตรี...
เพราะ ตาม รธน. 50 นี้....มีมาตราเด็ด ที่ คนฟันข๊าวขาว ตั้งใจ และ หวังไว้ว่า จะเอาไว้ปราบ พรรคพลังประชาชน...แต่กลับกลายมาเป็น กุญแจ ดอกสำคัญ ที่ทำให้ พรรคพลังประชาชน แก้ปัญหาได้ในทุกเรื่อง...และ ทำให้สามารถ ตั้งรัฐบาลสำเร็จ....
นั่นก้อคือ...." การฟรีโหวต" ( ที่ สส มีอิสระเต็มที่ ในการ จะออกเสียงแบบใด ก้อได้ ไม่ต้องปกฏิบัติ ตาม มติพรรคนั่นเอง...)
ดังนั้น...ขอให้เพื่อนๆ พี่ๆ ทุกท่าน โปรดสบายใจได้..
การที่ พลังประชาชน โดนกลั่นแกล้ง เรื่อง ใบแดง เช่นนี้ ไม่ได้ทำให้ เราไม่สามารถ จัดตั้งรัฐบาลได้...
เราจัดตั้งได้แน่นอน เพียง แต่ อาจมีความยุ่งยาก ขึ้นบ้างเท่านั้น...
เรื่องทั้งหมด ที่ คนเหล่านี้ พยายามนั้น...ก้อทำได้แค่ การกวนน้ำ ให้ ขุ่น.....คอยแหย่ คอยยุ พรรคอื่นๆ หวังจะทำให้ขาดความเชื่อมั่นเท่านั้น...
แต่ ไม่สำเร็จหรอกค่ะ....
ขอให้พี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคน....ไม่ต้องเป็นกังวลใจ ไม่ต้องไปเต้นตามเกม ของเค้า...อย่างที่เคยบอกไว้....ว่านี้เป็นแค่การดิ้นเฮือกสุดท้าย ของ ประชาธิปัตย์ แอน เดอะ แกงค์ แค่นั้น....
ขอให้พี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคน มีความสุข กับ ปีใหม่ 2551 ค่ะ....
แก้ไขเมื่อ 31 ธค. 50
========
ที่มา pantip 31/12/50
โพลชี้‘ทักษิณ'นักการเมืองที่ปชช.ชอบมากที่สุด
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) เปิดเผยสำรวจความคิดเห็นประชาชน กรณี "ที่สุดแห่งปี 2550" ในกลุ่มตัวอย่าง 8,367 คน ทุกสาขาอาชีพ ระหว่างวันที่ 10-30 ธันวาคม พบว่า ความหวังในปีหน้าที่ประชาชนอยากให้ประเทศไทยเป็น อันดับ 1 ร้อยละ 49.36 คือประเทศไทยมีความสงบสุข ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้สงบ รองลงมาร้อยละ 30.45 คือเศรษฐกิจในประเทศดีขึ้น และอันดับ 3 ร้อยละ 20.19 มีผู้นำประเทศที่ดี มีรัฐบาลที่ดี ส่วนเหตุการณ์ที่ทำให้ประชาชนมีความสุขมากที่สุด คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหายจากพระอาการประชวร คิดเป็นร้อยละ 71.12 รองลงมาร้อยละ 20.89 มีการเลือกตั้งเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย และอันดับ 3 ร้อยละ 7.99 บ้านเมืองสงบสุข
ส่วนนักการเมืองที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุด คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร้อยละ 47.53 รองลงมาร้อยละ 43.28 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และอันดับ 3 ร้อยละ 9.19 นายชวน หลีกภัย นักการเมืองหญิงที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุด คือ นางปวีณา หงสกุล ร้อยละ 45.95 รองลงมา คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และอันดับ 3 ร้อยละ 13.50 น.ส.จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ คิดเป็นร้อยละ 13.50 สำหรับดารา-นักร้องที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุด ยังคงเป็น "เบิร์ด" ธงไชย แมคอินไตย์ นักร้องเพลงไทยสากลหญิง คือ ดา เอ็นโดรฟิน นักร้องลูกทุ่งชาย คือ ไมค์ ภิรมย์พร นักร้องลูกทุ่งหญิง คือ ต่าย อรทัย ดาราชาย ได้แก่ "เคน" ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ ดาราหญิง คือ "แพนเค้ก" เขมนิจ จามิกรณ์ นักกีฬาชาย คือ นักฟุตบอล "ลีซอ" ธีรเทพ วิโนทัย นักกีฬาหญิง ได้แก่ ปลื้มจิตร์ ถินขาว นักวอลเลย์บอล
จาก hi-thaksin.org 30/12/50
‘ทักษิณ' ปลื้มสมาชิกพปช.แห่เยี่ยม-ยันกลับเมืองไทยแน่
ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ว่าที่ ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคพลังประชาชน กล่าววานนี้ (29 ธ.ค.) กรณีว่าที่ ส.ส.และอดีต ส.ส. พรรคพลังประชาชนกว่า 60 คน ยกคณะไปเยี่ยม พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ฮ่องกง เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ที่ผ่านมาว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้เลี้ยงอาหารกลางวันที่โรงแรมรอยัล การ์เดนท์ ฝั่งเกาลูน โดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้นำพวงมาลัยมอบให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนตนเป็นตัวแทนกลุ่มกล่าวอวยพรปีใหม่ และขอบคุณ พ.ต.ท.ทักษิณที่สร้างความเจริญให้ประเทศไทย ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ยังรักและศรัทธาต่อผลงานที่เคยทำไว้ ส่งผลให้พรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ขณะที่ พ.ต.ท. ทักษิณกล่าวแสดงความยินดีกับพวกเราที่กำลังจะได้เป็น ส.ส. และอวยพรปีใหม่ พร้อมระบุว่าคณะปฏิวัติมีแผนบันได 4 ขั้นคือ ยุบพรรค ยึดทรัพย์ สลายขั้ว และสนับสนุนพรรคการเมืองอื่นให้ได้รับชัยชนะ เขาใช้ความพยายามขจัดพวกเรา แต่ก็ไม่สามารถสกัดได้ เพราะพวกเรายังรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น ทั้งยังมีคนใหม่ๆไหลเข้ามารวมตัวกัน
ร.ต.ท.เชาวรินกล่าวอีกว่า จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวพร้อมมีน้ำตาคลอเบ้าว่า "ทรัพย์สินของผมที่ถูกอายัดนั้น ล้วนหามาจากการประกอบธุรกิจจนประสบความสำเร็จแล้วจึงมาเล่นการเมือง ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าเมื่อเข้าสู่การเมืองแล้วต้องมาเจอะเจอกับเหตุการณ์เยี่ยงนี้ในชีวิต ผมทำธุรกิจจนมั่นคงแล้วจึงเข้าสู่การเมือง ไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าทุกวันนี้ต้องขอยืมเงินคนอื่นมาใช้จ่าย ไม่เคยคิดว่าครอบครัวต้องถูกกระทำจนต้องแยกกันอยู่ ทั้งลูก เมียไม่มีโอกาสจะอยู่ด้วยกัน" ทำให้คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณที่ฟังอยู่ใกล้ๆถึงน้ำตาไหลร้องไห้ออกมา
"ผมต้องกลับประเทศไทยแน่ เพราะนั่นคือบ้านเกิดเมืองนอนของผม ถ้าเป็นไปได้ผมจะใช้ความรู้และประสบการณ์ช่วยเหลือรัฐบาลให้ทำงานเพื่อประเทศชาติเข้มแข็งประชาชนมีความสุข เมื่อสักครู่มีพวกเราถามผมว่าจะกลับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ จริงหรือ ตอบได้เลยว่าไม่กลับ เพราะจะมีผลกระทบกับคนหนุ่มสาว ราคาดอกกุหลาบจะแพงมาก คร่าวๆน่าจะเป็นเดือนเมษายน ช่วงใกล้สงกรานต์ จะได้ไปทำบุญ ผมขอขอบคุณที่มาเยือน ขอเอาใจช่วยให้ทุกคนประสบความสำเร็จ สมประสงค์ในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ" ร.ต.ท.เชาวรินอ้างคำพูด พ.ต.ท.ทักษิณ
จาก hi-thaksin.org 30/12/07
นพ.สุรพงษ์ ชี้มีความพยายามสกัด พปช.ตั้งรัฐบาล
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ติงการให้ใบแดงว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชน น่าจะแค่ใบเหลือง ยันใบเหลือง-แดงเยอะ ไม่กระทบพรรคการเมืองที่จะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน ชี้มีแผนให้บันไดขั้น 4 สกัดพรรคตั้งรัฐบาล
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน ตั้งข้อสังเกตถึงการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ใบแดงว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชน ว่า ช่วงเวลาในการจัดตั้งรัฐบาลขณะนี้อยู่ในสภาวะที่ไม่ปกติ และไม่เคยมีพรรคการเมืองที่จะจัดตั้งรัฐบาลรอผลการเลือกตั้งให้ชัดเจนเท่านี้มาก่อน รวมถึงมีการสร้างข่าวว่าจะมีการแจกใบเหลือง-ใบแดง จำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า พรรคพลังประชาชนเห็นว่า การทำงานของ กกต. ขณะนี้มี 2 มาตรฐาน คือ เป็นการทำตามขั้นตอนที่ถูกต้องผ่านฝ่ายสืบสวนสอบสวน และมีการตั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายสืบสวนสอบสวนพิเศษขึ้นมาพิจารณา สรุปเป็นสำนวนส่งให้ กกต.ชุดใหญ่ พิจารณาได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านฝ่ายสืบสวนสอบสวน ซึ่งถือเป็นช่องทางพิเศษ จึงต้องจับตาดูถึงความเที่ยงธรรม ซึ่งขณะนี้ฝ่ายกฎหมายของพรรคกำลังรวบรวมข้อมูลขอความเป็นธรรมอยู่
"พรรคพลังประชาชนพบว่า บุคคลที่มาทำหน้าที่เป็นประธานคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าว มีความสนิทสนมกับกลุ่มที่เคยเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาก่อน จึงอาจไม่เป็นกลาง อีกทั้งการให้ใบแดงว่าที่ ส.ส.ของพรรคทั้ง 3 คน ก็ผ่านทางช่องทางพิเศษมาจากคณะอนุกรรมการชุดนี้ ซึ่งพรรคเห็นว่า ว่าที่ ส.ส.ทั้ง 3 คน ควรได้แค่ใบเหลืองเท่านั้น" นพ.สุรพงษ์ กล่าว
นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ส่วนตัวยังคงเชื่อมั่นในการทำงานของ กกต.ชุดใหญ่ ว่าจะจัดการเลือกตั้งให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ แม้จะมีการข่มขู่และถูกแทรกแซงทุกรูปแบบ แต่ก็ต้องการเห็น กกต.ทุกคนทำหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม และ กกต.ทุกคนก็จะได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปี
นอกจากนี้ นพ.สุรพงษ์ ยังเรียกร้องให้ กกต.ตรวจสอบกระแสข่าวว่า การเลือกตั้งล่วงหน้ามีผู้มาลงคะแนนเลือกตั้งมากกว่าผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพราะที่ผ่านมาได้เคยขอข้อมูลไปยัง กกต.แล้ว แต่ยังไม่ได้รับ โดย กกต.อ้างว่าคอมพิวเตอร์เสีย ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ ซึ่งผิดกับต่างจังหวัดที่มีการทำข้อมูลเสร็จแล้ว
ต่อกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า พรรคพลังประชาชนอาจโดนใบเหลือง-ใบแดงกว่า 60 ใบ นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า เป็นการปล่อยข่าว และแสดงให้เห็นถึงความพยายามเข้าไปแทรกแซงการทำหน้าที่ของ กกต. และมีผู้ที่กำลังจะหมดอำนาจพยายามเข้าไปแทรกแซงกระบวนการนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องจับตาดู อย่างไรก็ตาม ไม่รู้สึกกังวลว่า การให้ใบแดงว่าที่ ส.ส.ของพรรค จะกระทบต่อพรรคการเมืองที่จะเข้ามาร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน โดยพรรคการเมือง 3 พรรคที่เคยติดต่อไป ยังคงยืนยันจะร่วมงานกับพรรคเหมือนเดิม ส่วนการตัดสินใจของพรรคชาติไทยและพรรคเพื่อแผ่นดิน คงจะมีความชัดเจนในการแถลงอย่างเป็นทางการ วันที่ 2 ม.ค.นี้
"ผมขอตั้งข้อสังเกตต่อไปถึงการสกัดไม่ให้พรรคพลังประชาชนจัดตั้งรัฐบาลว่า มีความพยายามที่จะให้บันไดขั้นที่ 4 บรรลุผล กำหนดตัวนายกรัฐมนตรีตามที่ผู้มีอำนาจต้องการ โดยเป็นการแจกใบเหลือง-ใบแดงให้กับพรรคพลังประชาชนจำนวนมาก เพื่อให้พรรคที่เหลือไหลไปร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์" นพ.สุรพงษ์ กล่าว
ที่มา : สำนักข่าวไทยจาก hi-thaksin.org 31/12/50
3ว่าที่ส.ส.บุรีรัมย์‘พปช.'ยันสู้ต่อหลังถูกใบแดง
นายประกิจ พลเดช ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 บุรีรัมย์ พรรคพลังประชาชน เป็นผู้ที่ได้คะแนนเป็นอันดับ 1 และเป็นว่าที่ ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 1 บุรีรัมย์ ซึ่งถูกกกต.กลางประกาศให้ใบแดง บอกว่ารู้สึกตกใจ แต่ตนมีพยานยืนยันพร้อมว่าไม่ได้แจกเงินซื้อเสียงตามที่มีผู้ร้องเรียน
โดยนายหนูไกล สุดมี ซึ่งถูกอ้างว่าเป็นแกนนำและรับเงินก็ยืนยันกับ กกต.จังหวัด แล้วว่าไม่ได้รับเงินแต่อย่างใด ส่วนนายจรุญ กองกิจ อดีตผู้ใหญ่บ้าน ม.5 ต.เสาเดียว อ.หนองหงส์ ที่อ้างว่าได้รับเงินก็เป็นหัวคะแนนให้กับนายหนูแดง วรรณกลางซ้าย ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 บุรีรัมย์ พรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งเป็นผู้ร้องเรียนพวกตน ในเมื่อพวกตนทั้ง 3 คนซึ่งไม่เคยแจกเงินซื้อเสียงเลย แต่ต้องมาถูกลงโทษแบบนี้ ก็ไม่อยากเรียกร้องอะไรอีก คงพูดได้เพียงว่าถ้ายังมี กกต.ที่ขาดความเป็นธรรมก็ไม่ควรจะมีกกต.เลยน่าจะดีกว่า อย่างไรก็ตามตนพร้อมจะต่อสู้กับความอยุติธรรมต่อไป เคียงคู่กับพี่น้องประชาชนที่ให้โอกาสและตัดสินใจเลือกตน อย่างที่เห็นได้จากผลการเลือกตั้ง
ด้านนายพรชัย ศรีสุริยันโยธิน และนายรุ่งโรจน์ ทองศรี ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 บุรีรัมย์พรรคพลังประชาชน ที่มีคะแนนเป็นลำดับที่ 2 และลำดับ 3 ซึ่งถูกให้ใบแดงเช่นกัน กล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่องและยังรู้สึกสับสนกับข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ ตอนแรกก็ไม่อยากจะเชื่อกระแสข่าวที่ออกมา เพราะรู้สึกว่าตนบริสุทธิ์ ไม่ได้กระทำผิดก็คงไม่โดนใบแดงแน่นอน ประกอบกับยังไม่ได้เข้าไปชี้แจงที่ กกต.กลาง จึงเห็นว่าคงจะยังไม่มีการตัดสินวินิจฉัย อย่างไรก็ตามยังไม่รู้ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป คงต้องรอหารือกับทางแกนนำพรรคพลังประชาชนก่อน
จาก hi-thaksin.org 30/12/50
จับตาสมัครรื้อกองทัพเช็กบิล คมช.ปมจัดซื้ออาวุธ
จับตา'สมัคร 1' จัดระเบียบอำนาจใหม่ 'ทหาร ตร. มท. ยุติธรรม สื่อ นักวิชาการ กลุ่มทุน' เผยวาระเร่งด่วน รื้อโครงสร้างกองทัพ รุ่น 10 ฟื้นอีกหน พร้อมส่งสอบคอรัปชั่น
แหล่งข่าวจากพรรคพลังประชาชนที่เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ฮ่องกง กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความพอใจผลการเลือกตั้งที่พรรคได้ ส.ส.233 คน พร้อมกันนั้นได้ปลอบใจผู้สมัคร ส.ส.ที่สอบตก และให้คำสัญญาว่า ผู้ที่สอบตกจะมีตำแหน่งทางการเมืองให้ เช่น ที่ปรึกษาและเลขานุการรัฐมนตรี
แหล่งข่าวกล่าวว่าพ.ต.ท.ทักษิณ รู้สึกแปลกใจที่อดีตส.ส.กทม.ของพรรคส่วนใหญ่สอบตก โดยแกนนำพรรคบางคนได้แจ้งให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ทราบว่า เหตุที่ ส.ส.กทม.สอบตกนั้นมาจากการเคลื่อนไหวของ นปก.ที่กระทำการหลายอย่างเกินกว่าเหตุ
แหล่งข่าวบอกด้วยว่าในการฟอร์มรัฐบาล สมัคร 1 นั้น มี 4 แกนนำพรรคดำเนินการ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ เห็นด้วยที่จะตั้งรัฐบาลผสม 6 พรรค มีเสียง 315 เสียง และขณะนี้กำลังพิจารณารายชื่อบุคคลที่จะมาเป็นรัฐมนตรี รวมทั้งรายชื่อรัฐมนตรีและตำแหน่งต่างๆ ของพรรคร่วมรัฐบาลอื่นว่าเหมาะสมหรือไม่
แหล่งข่าวรายเดิมบอกว่าเมื่อรัฐบาลสมัคร 1 เข้าบริหารประเทศแล้ว สิ่งที่พรรคจะทำในลำดับถัดไปคือ การจัดระเบียบอำนาจใหม่ ของข้าราชการประจำ ทหาร ตำรวจ มหาดไทย กระบวนการยุติธรรม นักวิชาการ นักธุรกิจและสื่อ โดยใช้เครือข่ายของอำนาจใหม่ทั้งหมด
'ที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนคือ รื้อโผทหารใหม่ให้เร็วที่สุด โดยจะดึงนายทหารและเตรียมทหารรุ่น 10 ที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาอยู่ในสายกำลังหลัก และได้มอบให้เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่น 10 บางคนไปหารือต่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.บ้างแล้ว เบื้องต้นจะให้ พล.อ.อนุพงษ์ อยู่ในตำแหน่งต่อไปก่อน แต่ตำแหน่งอื่นๆ ต้องเปลี่ยนแปลงทันที' แหล่งข่าวระบุ
ส่วนการเช็กบิลคมช.และองค์กรต่างๆ คงไม่มี จะมีก็เพียงการเข้าไปตรวจสอบว่ามีการคอรัปชั่นหรือไม่ โดยเฉพาะการจัดซื้ออาวุธ
'เรื่องยกเลิก คตส.นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ย้ำว่า จะไม่ยกเลิกแน่ ไม่อย่างนั้นสังคมจะประณาม พรรคพลังประชาชน แต่ก็จะใช้วิธีตรวจสอบคู่ขนานว่า การทำงานของ คตส.นั้นยึดหลักกฎหมาย หลักนิติธรรมและกลั่นแกล้งกันหรือไม่ หากพบข้อบกพร่อง พรรคก็จะเสนอให้สังคมรับรู้เช่นกัน' แหล่งข่าว กล่าว‘เฉลิม'แนะกกต.ส่งสำนวนฯให้ศาลฎีกา
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่ยำรุง ว่าที่ ส.ส.ลำดับที่ 2 กลุ่ม 6 กทม. พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำลังมีการพิจารณาใบเหลือง-ใบแดง ที่ค่อนข้างเร่งรีบ ซึ่งตนเห็นว่า หาก กกต.ไม่สามารถพิจารณาให้เสร็จทันกำหนดก็ควรที่จะส่งเรื่องทั้งหมดไปให้ศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณาตัดสิน รวมถึงเชื่อว่าการสืบสวนการพิจารณาใบเหลือง-ใบแดง ซึ่งมีคณะอนุกรรมการตรวจสอบสำนวนคดีการทุจริตการเลือกตั้งของ กกต.มีตำรวจยศ พล.ต.ต.คนหนึ่ง ที่มีความใกล้ชิดกับกลุ่มพันธมิตรเดิมที่เคยขับไล่อดีต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้ามาทำงานรับผิดชอบ
อย่างไรก็ตาม ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่ายังคงเชื่อมั่นใน กกต.ทั้ง 5 คนพร้อมทั้งอยากให้ กกต.ทำงานอย่างละเอียดรอบคอบไม่ควรที่จะเร่งรีบในการพิจารณา
จาก hi-thaksin.org 30/12/50
‘หมอเลี้ยบ'ชี้แจกใบแดง3ว่าที่ส.ส.พปช.ไม่โปร่งใส
นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน เปิดเผยถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ให้ใบแดงแก่ผู้สมัครของพรรคในเขตที่ 1 จังหวัดบุรีรีมย์ว่า การสืบสวนข้อมูลนั้นมีถึง 2 มาตราฐาน และการพิจารณาข้อมูลและสืบสวนยังได้ใช้ช่องทางพิเศษที่ให้คณะอนุกรรมการชุดใหม่ส่งข้อมูลการสืบสวนให้กกต.พิจารณาโดยไม่ผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการสืบสวน ทั้งนี้ยังตั้งข้อสังเกตุด้วยว่าผู้ที่เป็นประธานคณะกรรมการชุดใหม่ที่ตั้งขึ้นมานี้มีความใกล้ชิดกับผู้ที่ขับไล่รัฐบาลชุดที่แล้วด้วย
นายแพทย์สุรพงษ์ กล่าวว่า พรรคพลังประชาชนยังเชื่อมั่นในการทำงานของกกต. ว่าจะเป็นไปด้วยความบริสุทธ์ ยุติธรรม และพรรคเองก็เคารพในกติกา ของบ้านเมือง เพราะที่ผ่านมาตลอด 2-3 เดือนนี้มีกระแสข่าวที่มีความพยายามจะแจกใบเหลืองใบแดงจำนวนมาก ทั้งนี้ยังเชื่อว่าข่าวลือดังกล่าวเป็นการพยายามที่จะทำให้พรรคพลังประชาชนไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาล แต่ก็ถือว่าความพยามดังกล่าวนั้นไร้ผล
สำหรับว่าที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน เขต 1 จ.บุรีรัมย์ ที่ถูกพิจารณาให้ใบแดง คือ นายประกิจ พลเดช นายพรชัย ศรีสุริยันโยธิน และนายรุ่งโรจน์ ทองศรี
จาก hi-thaksin.org 30/12/50
Sunday, December 30, 2007
ด่วน อำนาจมืด คุกคาม กกต
แม้การเลือกตั้งจะผ่านพ้นไปแล้ว และ ประชนได้ตัดสินใจแล้วว่าต้องการให้พรรคพลังประชาชนจัดตั้งรัฐบาลและเป็นผู้ บริหารประเทศ ด้วยการเลือกผู้สมัครของพรรคพลังประชาชนมากเป็นอันดับ 1 ถึง 233 เสียง แต่กระบวนการสกัดกั้น พรรคพลังประชาชน ไม่ให้ได้เป็นรัฐบาล ที่มีมาตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง และรุนแรงที่สุดในช่วง 7 วันสุดท้ายก่อนลงคะแนนเลือกตั้ง ยังไม่หยุดปฏิบัติการ เพื่อจะบรรลุเป้าหมายของผู้บงการและขับเคลื่อนขบวนการนี้ ที่อาศัยอยู่ในบ้านสี่เสาเทเวศร์
เป้าหมายของ จอมบงการก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้พรรคพลังประชาชน ไม่ได้เป็นรัฐบาล และให้พรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล บริหารประเทศต่อไปภายใต้การชี้นำของขบวนการสี่เสาเทเวศร์
ล่าสุด จอมบงการแห่งบ้านสี่เสาเทเวศร์ ได้ส่งหัวหน้าคณะรัฐประหาร ที่มีอาการอกหัก เครียดจัด แค้นจัด จนแทบบ้าคลั่งเต็มที เมื่อได้เห็นผลการเลือกตั้งที่ออกมาจากการตัดสินใจของประชาชน ไปเจรจากับ กกต. ท่านหนึ่ง เพื่อให้เจ้าร่วมขบวนการสกัดกั้นพรรคพลังประชาชน เป็นรัฐบาล หลังจากที่ กกต.อีก 4 คน ตกลงรับแผนแล้ว แต่มีเงื่อนไขที่จะต้องทำให้ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวน ที่ชื่อ สมชัย จึงประเสริฐ ยอมรับและเข้าร่วมแผนงานนี้ด้วย เนื่องจาก สมชัย จึงประเสริฐ เป็นผู้ที่รับผิดชอบสำนวนคดีร้องเรียนทั้งหมด
หาก สมชัย ไม่เสนอให้ที่ประชุมกกต. พิจารณา ตามจำนวนที่จอมบงการต้องการ หรือ ไม่เสนอตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ ก็ไม่มีทางที่จะสกัดกั้นพรรคพลังประชาชนได้
ข่าวชิ้นนี้ ยังเป็นที่รับรู้กันอยู่ในวงแคบเฉพาะกกต.5 คน และคนใกล้ชิดอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งถูกเรียกไปพบ และออกมาพร้อมกับใบสั่ง และนายทหารระดับสูงของคมช. ที่เพิ่งประชุมกันไปเมื่อวันที่ 26 – 27 ธันวาคม ที่ผ่านมา
ทั้งประชุมกันเองในหมู่สมาชิกคมช. ที่มีพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าทีม ทั้งการประชุมร่วมกับ พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตัวแทนของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ การประชุมร่วมกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เอง รวมไปถึงการยกทีมไปพบพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เพื่อหารือถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากประชาชนลงคะแนนให้พรรคพลังประชาชน มากที่สุด และจะได้เป็นรัฐบาล เพราะเป็นสถานการณ์ที่คมช. ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าประชาชนจะเทคะแนนให้พรรคพลังประชาขนมากขนาดนี้
ประดาบ ได้รับการบอกเล่าเรื่องนี้จากเจ้าหน้าที่ระดับสูงในฝ่ายสืบสวนสอบสวนสำนักงานคณะ กรรมการการเลือกตั้งท่านหนึ่ง ว่าเมื่อเร็วๆ นี้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ได้แจ้งไปยังนายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ประธานกกต. ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของพล.อ.สนธิ ที่ถูกวางตัวให้มาเป็นประธานกกต. เพื่อปฏิบัติภารกิจสกัดกั้นพรรคพลังประชาชนเป็นการเฉพาะ ว่า พล.อ.เปรม ต้องการให้กกต.ออกใบแดง ให้พรรคพลังประชาชนอย่างน้อย 20 ใบ ซึ่งตรงกับที่หนังสือพิมพ์มติชน เคยเสนอข่าวไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่มีใครเชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะไม่เคยมีครั้งใดที่พรรคการเมืองพรรคเดียว จะถูกใบแดงถึง 20 ใบ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง
หลังจากได้รับแจ้งความประสงค์ของพล.อ.เปรม นายอภิชาติ ในฐานะเพื่อนร่วมรุ่นวปรอ. ของพล.อ.สนธิ และในฐานะประธานกต. ก็แจ้งให้กกต.อีก 4 คนทราบ ปรากฎว่ามีนางสดศรี สัตยธรรม เพียงคนเดียวที่ รับใบสั่งด้วยความยินดีและพร้อมใจปฏิบัติตาม โดยไม่มีคำถามและข้อสงสัย ในขณะที่กกต.อีก 3 คน คือ นายประพันธ์ นัยโกวิท นายสุเมธ อุปนิสากร และ นายสมชัย จึงประเสริฐ ไม่เห็นด้วย และต้องการทราบเรื่องจากปากของพล.อ.สนธิ โดยตรง ก่อนตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ข่าวชิ้นนี้ สอดคล้องกับท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ และ พรรคชาติไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน ที่มีความมั่นใจว่ากกต.จะออกใบเหลือง ใบแดง มากจนเป็นเงื่อนไขให้การจัดตั้งรัฐบาลของพรรคพลังประชา ชน เป็นไปไม่ได้ ทั้งๆ ที่ได้รับการเลือกตั้งมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ ถึง 68 เสียง มากกว่าพรรคชาติไทยกับพรรคเพื่อแผ่นดิน รวมกันเสียอีก
อาการ มั่นใจว่าจะมีโอกาสได้จัดตั้งรัฐบาลของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และเชื่อว่าพรรคพลังประชาชนจะตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ เพราะติดปัญหาใบเหลืองใบแดง ในขณะที่ พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มั่นใจว่าถึงที่สุดแล้วพรรคประชาธิปัตย์ จะได้เป็นรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกับที่นายวารินทร์ โหรคมช. ทำนายว่านายสมัคร จะไม่ได้เป็นนายกรัฐฒนตรี และพรรคประชาธิปัตย์ จะได้เป็นรัฐบาล เป็นอาการผิดปกติอย่างมากสำหรับการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่พรรคการเมืองที่ได้คะแนนมากเป็นอันดับ 1 จะต้องเป็นฝ่ายค้าน และพรรคที่แพ้การเลือกตั้งจะได้เป็นรัฐบาล
แต่ทว่า ความมั่นอกมั่นใจของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย และ ท่าทีของนางสดศรี สัตยธรรม กกต. ที่ออก มาเด้งรับความต้องการของคมช. ด้วยการโวยวายว่านายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวน ทำงานช้า และจงใจทำสำนวนอ่อน เพื่อไม่ให้มีการออกใบเหลือง ใบแดง
นางสดศรี สัตยธรรม ยังกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่กกต.ปล่อยเอกสารการสอบสวนรั่วไปถึงพรรคพลังประชาชน พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนหน้าที่ของกกต. โดยเสนอตัวมาเป็นกกต.ฝ่ายสืบสวนสอบ สวน แทนนายสมชัย เอง อีกทั้งยังออกมาให้ข่าวล่วงหน้าว่าจะมีการแจกใบแดง จนทำให้เกิดการพลิกขั้วตั้งรัฐบาล
ปรากฎการณ์ ที่เกิดขึ้นในซีกฝั่ง พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย คมช. และ กกต.บางคน โดยเฉพาะนางสดศรี สัตยธรรม สอดรับกันเป็นเนื้อเดียว อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ได้มีการวางแผนร่วมกันไว้ล่วงหน้า
หลังการเลือกตั้งผ่านไป 3 วัน กกต.เพิ่งออกใบเหลืองให้แก่พรรคพลังประชาชนได้แค่ 3 ใบ ทำให้จอมบงการแห่งบ้านสี่เสาเทเวศร์ และ ลูกสมุนในคมช. เริ่มอึดอัด หายใจติดขัด เพราะกกต.ให้คำตอบไม่ชัดเจนว่าจะทำตามใบสั่งที่ส่งมาหรือไม่ ในขณะที่ใบแดงที่รออยู่ กลับจะตกแก่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถูกจับซื้อเสียงพร้อมเงิน 1.3 ล้านบาท ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ส่งผลให้จอมบงการและคมช. ยิ่งไม่สบายใจ ว่ากกต.จะทำงานด้วยความเที่ยงตรงต่อหลักการของกฎหมาย หรือ ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ต่อคมช.กันแน่
เมื่อไม่มั่นใจในกกต. ก็ทำให้ไม่มั่นใจในอนาคตของตนเอง พล.อ.สนธิ จึงต้องลงมือด้วยตนเอง ด้วยการเรียกกกต. ทั้ง 5 คน มาพบอีกรอบหนึ่ง ซึ่งข่าวนี้ก็รั่วไปถึงหนังสือพิมพ์อีก และมีการรายงานข่าวกันอย่างเปิดเผย แต่มีนางสดศรี สัตยธรรม เพียงคนเดียวที่ออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง ในขณะที่กกต.อีก 4 คนปิดปากเงียบ ไม่รับและไม่ปฏิเสธ
การพบปะของกกต. กับ พล.อ.สนธิ ไม่ได้เป็นการพบกันอย่างเป็นทางการในฐานะรองนายกรัฐมน ตรี กับ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หากแต่เป็นการเรียกพบทีละคน ในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหาร กับ กกต.แต่ละคน ที่ได้รับการแต่งตั้งจากหัวหน้าคณะรัฐประหาร เพื่อทวงถามบุญคุณ และสั่งให้ปฏิบัติตามใบสั่งของจอมบงการแห่งบ้านเสี่เสาเทเวศร์ ที่เป็นนายใหญ่ของคมช.
พล.อ.สนธิ สามารถเจรจาหว่านล้อมให้กกต. 2 คน คล้อยตามได้ด้วยการข่มขู่ จนเกิดความหวาดกลัวในชีวิตตนเองและครอบครัว ได้แก่ นายประพันธ์ นัยโกวิท และ นายสุเมธ อุปนิสากร ในขณะที่ กกต.อีก 2 คน คือ นายอภิชาติ สุขัคนานนท์ และ นางสดศรี สัตยธรรม พร้อมใจกันรับปฏิบัติเต็มที่ แต่ท่าทีของนายอภิชาติ ไม่โฉ่งฉ่างแจ่มชัดเท่ากับนางสดศรี เพราะเก็บอาการได้ดีกว่า
แต่ การข่มขู่ของพล.อ.สนธิ ที่ใช้ได้ผลกับคนอื่น กับไม่ได้ผลเมื่อนำมาใช้กับนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวน ซึ่งเป็นคนสำคัญในการนำเสนอสำนวนการร้องเรียน ให้กกต.ทั้งคณะพิจารณา เนื่องจากนายสมชัย ยึดหลักของกฎหมาย และความต้องการของประชาชนเป็นสำคัญ ไม่ยอมยึดหลักกู และความต้องการของคมช. เป็นหลัก
ผลที่เกิดขึ้นกับนายสมชัย จึงประเสริฐ เมื่อไม่ยอมรับใบสั่งของคมช. ก็คือ ข้อ เสนอเชิงบังคับให้หยุดงานด้วยการลาพักร้อน 10 วัน ซึ่งนายสมชัย ก็ไม่ยินยอมอีก จึงได้รับข้อเสนอใหม่ ให้ออกไปจากฝ่ายสืบสวนสอบสวน เพื่อเปิดทางให้นางสดศรี สัตยธรรม มาทำหน้าที่กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวน แทน
1 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง จนถึงทุกวันนี้ นางสดศรี พูดกับนักข่าวหลายครั้งว่าการทำงานของฝ่ายสืบสวนสอบสวนมีปัญหาล่าช้า และอยากจะทำงานฝ่ายสืบสวนสอบสวนแทนนายสมชัย และได้ยื่นข้อเสนอไปที่ ประธานกกต. แล้ว ซึ่งนายอภิชาติ ในฐานะประธานกกต. ก็มีท่าทีตอบรับกับข้อเสนอนี้ อย่างน่าประหลาดใจ เพราะเท่ากับไม่ไว้วางใจการทำหน้าที่ของนายสมชัย
นอกจากนี้ ยังมีการแต่งตั้งพล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอำพันธุ์กุล รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ซึ่งเป็นตำรวจรับใช้ในบ้านของนายสนธิ ลิ้มทองกุล มี หน้าที่หลักคือเปิดปิดประตูบ้านสุโขทัยของนายสนธิ และดูแลความปลอดภัยของสำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ มาเป็นประธานอนุกรรมการสอบสวนสอบสวนของกกต. อีกด้วย ซึ่งไม่ต้องบอกว่าสำนวนการสอบสวนจะออกมาในทิศทางใด และเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อพรรคพลังประชาชน
แรงกดดันที่นายสมชัย ในขณะนี้หนักหน่วงและรุนแรงมาก และกำลังจะลุกลามไปถึงบุคคลในครอบครัวของนายสมชัย อีกทั้งยังมีการขัดขวางไม่ให้นายสมชัย เข้าร่วมการประชุมกกต.ทั้งคณะ เพื่อไม่ให้นายสมชัย มีส่วนร่วมในการลงมติ เพื่อให้การออกใบเหลืองใบแดง เป็นไปตามที่คมช. และจอมบงการแห่งบ้านสี่เสาเทเวศร์ต้องการ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เจ้าหน้าที่ระดับสูงในกกต. ฝ่ายสืบสวนสอบสวน ได้รู้ระแคะระคาย และกลเกมของฝ่ายคมช. แล้ว ว่ากำลังบีบบังคับนายสมชัย อย่างไร จึงทำให้การทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวน เป็นไปด้วยความตึงเครียด และระมัดระวังตัวสูง เพราะไม่มั่นใจความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว
มีการยกตัวอย่างการทำหน้าที่ของกกต.จังหวัดที่ผิดปกติอย่างชัดเจน ก็คือ ที่ จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งประธานกกต. เป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัด คือ นายเกษม วัฒนธรรม ยื่นสำนวนสอบสวนให้ออกใบแดงแก่ผู้ได้รับการเลือกตั้งของพรรคพลังประชาชนทั้ง 9 คน เนื่องจาก นายเนวิน ชิดชอบ ไปยืนฟังการปราศรัยหาเสียงของพรรคพลังประชาชน
ฝ่ายสืบสวนสอบสวน เห็นว่าเป็นการยื่นคำร้องให้ใบแดงที่ไม่มีเหตุผล และไม่น่าเชื่อว่าคนระดับประธานกกต. จะให้เหตุผลเช่นนี้ เพราะในการปราศรัยหาเสียงของพรรคพลังประชาชนที่สนามหลวง มีอดีตกรรมการบริหารพรคไทยรักไทย หลายคนไปร่วมสังเกตการณ์และฟังการปราศรัย เป็นเรื่องปกติ และเป็นสิทธิในฐานะพลเมือง แต่ ประธาน กกต.บุรีรัมย์ กลับใช้เหตุผลนี้เสนอให้ใบแดงแก่พรรคพลังประชาชน แบบยกจังหวัด หากกกต.เห็นด้วยกับนายเกษม ก็คงเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า กกต.คณะนี้อยู่ใต้การบัญชาการของคมช. และทำงานใบสั่ง ไม่ได้เป็นองค์กรอิสระ
ในขณะที่คมช. กล่าวหาว่ารัฐบาลทักษิณ แทรกแซงกกต. องค์กรอิสระ และเป็นเหตุแห่งการรัฐประหารยึดอำนาจ แต่ คมช.เองกลับทำเลวร้ายกว่าหลายพันเท่า และทำกันโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ไม่เกรงกลัวสายตาประชาชนที่ตัดสินเลือกพรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาล แม้แต่น้อย
สถานการณ์ในขณะนี้ จึงทำให้นายสมชัย จึงประเสริฐ และครอบครัว ตกอยู่ในอันตราย อย่างน่าเป็นห่วง ทั้งแรงกดดันในกกต.ด้วยกันเอง และคำข่มขู่คุกคามจากคมช. และจอมบงการแห่งบ้านสี่เสาเทเวศร์
กำลัง ใจจากประชาชน คือ สิ่งที่น่าจะช่วยให้นายสมชัย ยืนหยัดอยู่เพื่อความถูกต้อง และความดำรงอยู่ของพรรคพลังประชาชน ที่กำลังถูกหาเหตุ หาเรื่องออกใบเหลือง ใบแดง และยุบพรรค ไม่เว้นแต่ละวันในขณะนี้
มีแต่กำลังใจจากประชาชนเท่านั้น ที่จะต่อต้านอำนาจมืด อำนาจเผด็จการที่กำลังเข้าครอบงำกกต. ได้
เช่นเดียวกับ มีแต่พลังประชาชนเท่านั้น ที่จะต่อต้านเผด็จการครอบงำประเทศไทย และชีวิตคนไทย ได้
จึงขอเชิญชวนพวกเราทุกคนร่วมกันให้กำลังใจนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ผู้ยืนหยัดอยู่กับความถูกต้อง ด้วยครับ
โดย ประดาบ hi-thaksin.org
30/12/50
กกต. แจก 3 ใบแดง พปช.
เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา (30 ธ.ค.) นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกต. มีมติให้ใบแดงกับว่าที่ ส.ส.เขต 1 จ.บุรีรัมย์ พรรคพลังประชาชน คือ นายประกิจ พลเดช นายพรชัย ศรีสุริยันโยธิน และนายรุ่งโรจน์ ทองศรี ข้อกล่าวหาเรื่องของการแจกเงิน และการขนคนใบฟังการปราศรัย กกต.เห็นว่ามีการกระทำผิดจริงตามข้อกล่าวหา จึงต้องเพิกถอนสิทธิ์เป็นเวลา 1 ปี และให้จัดการเลือกตั้งใหม่ และให้ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์ทั้ง 3 ราย ชดใช้ค่าเสียหาย รวมถึงจะถูกดำเนินคดีอาญาด้วย
ด้านนายสุเมธ อุปนิสากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ปฏิเสธกระแสข่าวที่ว่าสำนวนการสอบสวนใบเหลือง-ใบแดงมีการรั่วไหล และว่า กกต.จะทยอยตรวจสอบใบเหลือง-ใบแดงให้แล้วเสร็จโดยเร็ว คาดว่าภายใน 2-3 วันจะทราบผลว่ามีใบเหลือง-ใบแดงจำนวนเท่าใด ทั้งนี้ วันที่ 3 ม.ค. 2551 จะทราบจำนวนผู้ร้องเรียนทั้งหมดว่ามีจำนวนเท่าใด และจะประกาศผลในส่วนที่ไม่มีผู้ร้องเรียน
นายสุเมธ ยังปฏิเสธว่าไม่มีการดักฟัง กกต.ในการพิจารณาใบเหลือง-ใบแดง แต่หากมีการดักฟังจริงก็ไม่เกิดปัญหาขึ้น เพราะ กกต.ทำงานอย่างโปร่งใส จึงไม่มีความกังวลในเรื่องนี้ และขณะนี้มีเรื่องร้องเรียนมายัง กกต.แล้วกว่า 100 เรื่อง
ที่มา ไทยรัฐ 30/12/50ถึงเวลาสมานฉันท์กันอย่างยุติธรรม
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ถึงเวลาสมานฉันท์กันอย่างยุติธรรม ฉบับนี้ประจำวันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม 2550............
• หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ถึงเวลาสมานฉันท์กันอย่างยุติธรรม ฉบับนี้ประจำวันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม 2550............
• เปรียบเทียบ รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 40 กับ รัฐธรรมนูญฉบับ คมช.ปี 50 ความเข้มแข็งของพรรคการเมืองช่างห่างไกลกันลิบลับ เห็นได้จากหลังเลือกตั้งนับจากปี 40 เป็น ต้นมา พรรคการเมืองมีแนวโน้มจัดตั้ง รัฐบาลที่แข็งแกร่ง ได้มากขึ้น โดยเฉพาะยุค รัฐบาลทักษิณ สามารถเริ่มทำงานช่วยเหลือประชาชน ได้ตั้งแต่วันแรกที่รู้ผลการเลือกตั้งเลยทีเดียว!!!.............
• แต่รัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ คมช.ที่ พวกเผด็จการเสียงข้างน้อย คุย นักคุยหนาว่าดีที่สุดในโลก จนป่านนี้แล้ว การจัดตั้งรัฐบาล ยังไม่มีอะไรแน่นอน ข้อสำคัญ พรรคการเมืองที่ได้รับการความไว้วางใจจากประชาชนทั่วประเทศเป็นอันดับ 1 ต้องทำตัวไม่ต่างจาก ขอทาน เที่ยววิ่งไปขอความเมตตาปรานีจากพรรคเล็กพรรคน้อย ซึ่งมีอำนาจต่อรองเหนือพรรคอันดับ 1 ไปแล้ว และนี่ก็คือ สิ่งที่ พวกเผด็จการเสียงข้างน้อย ต้องการเห็นมากที่สุด!!!.............
• ภาวะกลับตาลปัตรที่เกิดขึ้น ก็เพราะมี ใครบางคน ต้องการหมุนทวนเข็มนาฬิกาให้สถานการณ์ย้อนยุคกลับไป เนื่องจากกลัวว่า อำนาจทางอ้อม ที่ประชาชนมอบให้พรรคการเมืองจะมีมากเกินไปจนไปกระทบ โครงสร้างอำนาจดั้งเดิมทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ ก็เลยต้องแก้ด้วยการ พบกันครึ่งทาง ใช้อำนาจเก่าแก่ถ่วงดุลอำนาจใหม่ตามวิถีประชาธิปไตย!!!.............
• เรื่องนี้ เห็นได้จากข้อเสนอ 5 ข้อของ พรรคชาติไทย และ พรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ยื่นให้กับ พรรคพลังประชาชน ส่งต่อไปให้ ใครบางคนในต่างประเทศ รายละเอียดทั้ง 5 ข้อเป็นอย่างไร พ่อแม่พี่น้องประชาชนลองไปอ่านจากข่าวให้ดีๆก็จะพบได้เองว่า เป็นข้อเสนอที่สะท้อนมุมมองของ อำนาจเก่าแก่ ที่มีต่อ อำนาจใหม่ ได้ อย่างชัดเจนที่สุด!!!.............
• “เห่าไฟ” มองว่า พรรคชาติไทย กับ พรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นเพียง ทูต ในการเจรจาหย่าศึก เพื่อนำไปสู่การปกครองแบบ ถ่วงดุลซึ่งกันและกัน ไม่ให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้นมาอีก หากพรรคพลังประชาชน ไม่รับข้อเสนอ ก็จะมีการงัดแผน 2 ขึ้นมาใช้ นั่นก็คือ ให้ พรรคชาติไทย กับ พรรคเพื่อแผ่นดิน ไปจับขั้วกับ พรรคประชาธิปัตย์ แล้วรอฟังผลใบแดงใบเหลืองจาก กกต. !!! .............
• จริงๆแล้ว อำนาจเก่าแก่ ไม่ต้องเจรจากับ พรรคพลังประชาชนก็ได้ “เห่าไฟ” เชื่อว่า พวกฮาร์ดคอร์ หรือ พวกซาดิสต์ ในกลุ่มอำนาจเก่าแก่ ก็คงจะลุ้นให้ใช้วิธี แตกหัก ผลักพรรคพลังประชาชนไปเป็นฝ่ายค้าน แต่โชคดีที่ยังพอมี กุนซือ ที่สุขุมรอบคอบ เตือนว่า แผ่นดินอาจไม่สงบสุข วิธีหักดิบเอาพรรคอันดับ 2 ขึ้นมาเป็นรัฐบาล ก็เท่ากับ ทำร้ายจิตใจประชาชน ที่ออกไปใช้สิทธิเลือกพรรคอันดับ 1 อย่างรุนแรง บ้านเมืองมีหวังไม่ได้อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุขแน่นอน!!!.............
• ด้วยเหตุนี้ สถานการณ์การเมือง จึงปรากฏออกมาอย่างที่เห็นกันอยู่นี่แหละ ส่วนจะเป็นอย่างไรต่อไป ก็ขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศต้องการจะให้เป็นอย่างไร “เห่าไฟ” ขอบอกว่า อย่าได้ดูถูกดูแคลนตัวเองเด็ดขาด ใครจะดูถูก รากหญ้า อย่างไรก็ช่างเขา แต่ รากหญ้า อย่าได้ดูถูกตัวเอง เพราะ พลังของรากหญ้า ก็คือ พลังของแผ่นดินนั่นเอง!!!.............
• หากจำกันได้ ตอนปฏิวัติ เป้าหมายก็คือต้องการเล่นงาน พรรคตัวแทนรากหญ้า ให้ถึงตายใช่หรือไม่ แต่มาวันนี้ ผู้มีอำนาจรู้แล้วว่า ยิ่งทำลายก็ยิ่งเติบโต ก็เลยยอมเจรจาด้วย สันติวิธี พรรคที่เป็นตัวแทนรากหญ้าก็ขอให้จดจำใส่ใจเอาไว้ให้ดี ถ้าวันใดไม่มี ชาวรากหญ้า ให้การสนับสนุน รับรองได้เลยว่า ต้องตายไร้แผ่นดินไทยกลบหน้าแน่นอน!!!.............
• หลังจากนี้ ก็ ต้องตามไปดูกันต่อว่า เมื่อยื่นข้อเสนอ 5 ข้อมาแล้ว จะมีข้อเสนออะไรติดตามมาอีกระหว่างการจัดตั้งรัฐบาล รวมไปถึงการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ผ่านมา ประชาชนชาวรากหญ้า ซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ของแผ่นดินก็ยอม อ่อนข้อ ให้มากพอแล้ว หากต้องการ สมานฉันท์ กันจริงๆ ก็ต้องยึดหลักความเป็นธรรมด้วย ไม่ใช่สมานฉันท์แบบเอาแต่ ได้ฝ่ายเดียว โดยเฉพาะ เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น เห็นแล้วไร้ความเป็นธรรมสิ้นดี!!!.............
• ส่วนคำขู่เรื่องปฏิวัติ “เห่าไฟ” ฟังแล้วรู้สึกเฉยๆ ไม่ใช่ท้าทาย แต่อยากเตือนให้กลับไปทำการบ้านเรื่อง ยุทธวิธี ให้ดีกว่านี้ เพราะก่อนหน้า 19 กันยายน 2549 คำว่า ปฏิวัติ หมายถึงการหย่าศึกนองเลือด ประชาชนถึงได้มอบดอกไม้ให้แทนก้อนอิฐ แต่หลังจากนั้น คำว่า ปฏิวัติ ในสายตาประชาชนหมายถึง การบริหารงานล้มเหลว ประชาชนยากจนถ้วนหน้า แถมยังใช้อำนาจรัฐแบบเลือกปฏิบัติ ใครขืนปฏิวัติอีก ก็จะกลายเป็น จำเลย ในประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ วีรบุรุษ อีกต่อไป!!!.............
• จริงๆแล้ว ใกล้ปีใหม่ “เห่าไฟ” ไม่น่าหยิบเอาเรื่องซีเรียสมาเขียน แต่ก็อดไม่ได้ เพราะมันเป็น ความจริง ที่คนไทยต้องเผชิญหลังจากเทศกาลปีใหม่ผ่านพ้นไป ยังไงก็ขออวยพรให้ ทุกคนประสบความสุขสมหวังในปีหน้า ชีวิตคนเราอยู่ได้ไม่ถึงร้อยปี ถ้าให้ดีก็รักกันไว้ให้มากๆดีกว่าจะมาทะเลาะเบาะแว้งฆ่าฟันกันเอง สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าครับ!!! .............
จาก ไทยรัฐ 30/12/50
5 เสือกกต. กฎหมายปราบมาร
เมื่อวันเวลาหมุนเปลี่ยนเวียนผัน ผ่านมาถึงสิ้นปี
ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ “ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” ต้อง มานั่งประชุมปรึกษาหารือกันเพื่อเลือกบุคคลการเมืองแห่งปี
และแน่นอน ผู้ที่ได้ครองตำแหน่งบุคคลการเมืองแห่งปี จากการ พิจารณาของเราไม่ได้หมายความว่า
เขาผู้นั้นต้องเป็นบุคคลที่มีผลงานยอดเยี่ยม หรือมีความสามารถเก่งกาจเชี่ยวชาญการเมือง
เพราะเวทีแห่งนี้ ไม่ใช่เวทีประกวดบุคคลดีเด่นทางการเมือง
แต่บุคคลการเมืองแห่งปี ในนิยามของเรานั้น หมายถึงบุคคลที่มีบทบาท มีศักยภาพ สร้างความเปลี่ยนแปลง สร้างสีสันฉูดฉาด สร้างความสั่นสะเทือนให้เกิดขึ้นกับการเมืองไทยได้อย่างชัดเจน
สำหรับปีนี้ “ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” ยอมรับว่า จากสถานการณ์การเมืองที่ไม่ปกติในรอบปี ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการรัฐประหาร
ทำให้การพิจารณาคัดเลือกบุคคลการเมืองแห่งปี มีความคิดเห็นแตกต่างหลากหลาย จะหยิบใครมาพิจารณาก็มีข้อด้อย ข้อเสียข้อติติง มีริ้วรอยตำหนิ
ทั้งผู้นำรัฐบาล บิ๊ก คมช. อดีตผู้ก่อการยึดอำนาจ อดีตผู้นำที่ระหกระเหินไปอยู่ต่างประเทศ ที่มีการเสนอชื่อขึ้นมา ส่วนใหญ่โดดเด่นไปในเรื่องความขัดแย้ง ต่อสู้ ห้ำหั่น
หยิบยกใครมาพิจารณาก็เต็มไปด้วยเงื่อนไขหักล้าง มีทั้งเสียงเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ไม่มีใครได้เสียงข้างมาก ไม่มีใครได้เสียงเอกฉันท์
สุดท้ายจึงต้องมีการทบทวน พิจารณากันอย่างรอบด้านในมุมที่กว้างออกไป และในที่สุด ทุกคนก็เห็นพ้องต้องกัน มีมติเป็นเอกฉันท์ให้
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นบุคคลการเมืองแห่งปี 2550
ปีนี้จึงเป็นปีแรกที่บุคคลการเมืองแห่งปีเป็นคณะบุคคล ไม่ใช่บุคคลเพียงคนเดียวเหมือนที่ผ่านๆมา
สำหรับเหตุผลที่ทีมของเราลงมติให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้รับตำแหน่งบุคคลการเมืองแห่งปี
ก็เพราะปีนี้การเมืองไทยอยู่ในสถานการณ์พิเศษ เป็นปีแห่งการ เปลี่ยนผ่านจากห้วงรัฐประหาร กลับสู่ความเป็นประชาธิปไตย โดยผ่าน กระบวนการเลือกตั้งของประชาชน
ซึ่ง กกต.ถือเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการ เปลี่ยนผ่านครั้งนี้
โดยเฉพาะการควบคุมการเลือกตั้งในภาวะสงครามการเมือง ภาย ใต้สถานการณ์รัฐประหารไม่สะเด็ดน้ำ
สำหรับที่มาของคณะกรรมการการเลือกตั้งชุดนี้ ที่ประกอบด้วย
นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารการเลือกตั้ง นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย นายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง
ชัดเจน 5 เสือ กกต.ชุดนี้ ไม่ได้มาจากคณะรัฐประหาร แต่มีที่มา จากการสรรหาของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา และผ่านการลงมติคัดเลือกจากวุฒิสภาในช่วงวิกฤติการเลือกตั้งจากเหตุที่ กกต.ชุดอย่างหนา 3 คน ถูกศาลตัดสินจำคุกโดยไม่รอลงอาญา และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี
แต่ระหว่างที่รอกระบวนการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ได้เกิดปัญหาสะดุด เพราะมีการรัฐประหาร
จากนั้นคณะผู้ยึดอำนาจจึงมีประกาศแต่งตั้งให้ผู้ที่ได้รับการคัด เลือกจากวุฒิสภาทั้ง 5 คน เข้ามาทำหน้าที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ถือเป็นการแต่งตั้งตามน้ำ
แน่นอน 5 เสือ กกต.ชุดนี้ ล้วนเป็นมือกฎหมาย เพราะเป็นอดีตผู้พิพากษาและอดีตอัยการระดับสูง ได้รับการยอมรับในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ตรงไปตรงมา
นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. สำเร็จการศึกษานิติศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมดี จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเนติบัณฑิตไทย
เคยเป็นผู้พิพากษาในแผนกคดีปกครองในศาลฎีกา อธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 และภาค 5 ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา
นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารการเลือกตั้ง สำเร็จการศึกษานิติศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมดีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเนติบัณฑิตไทย
เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีอัยการคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร อธิบดีอัยการ คดีทรัพย์สินทาง ปัญญาและการค้าระหว่าง ประเทศ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอัยการสูงสุด และรองอัยการสูงสุด
นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต. ด้านสืบสวนสอบสวน และวินิจฉัย จบการศึกษานิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเนติบัณฑิตไทย
เคยเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าแผนก คดีเยาวชนและครอบครัวในศาลอุทธรณ์ ภาค 3 อธิบดีผู้พิพากษา ภาค7 และภาค 9 ผู้พิพากษาศาลฎีกา และผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
นายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน สำเร็จการศึกษานิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เคยเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งธนบุรี ผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศในศาลฎีกา อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 7 และผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอาญากรุงเทพใต้
นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง จบนิตศาสตรบัณฑิต จุฬาฯ และนิติศาสตรมหาบัณฑิตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เคยเป็นรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลอุทธรณ์ภาค 9 ผู้พิพากษาศาลฎีกา และผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
ระดับเปาบุ้นจิ้น ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม มีการมองกันว่า กกต.ทั้ง 5 คนเป็นมือกฎหมายถนัดเรื่องการตัดสินคดี แต่อาจไม่เชี่ยวชาญเรื่องการเมือง ในขณะที่ นักการเมืองมีสารพัดวิชามาร จะทันเกมกันหรือไม่
แต่ กกต.ก็ได้พิสูจน์ว่าด้วยความเป็นนักกฎหมาย สามารถใช้กฎหมายแก้ปัญหาได้ โดยเฉพาะ ในประเด็นนักการเมือง 111 คนที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจากคดียุบพรรคไทยรักไทย
กกต.ได้ตอบข้อหารือ ไม่ให้นักการเมืองทั้ง 111 คน เข้ามายุ่งเกี่ยว กับการหาเสียงเลือกตั้ง ย้ำชัดเรื่องนี้ไม่ใช่คำสั่ง เป็นเพียงคำแนะนำ แต่ถ้าใครฝ่าฝืนอาจมีคนอื่นไปฟ้องศาลดำเนินคดี
เพียงเท่านี้ ก็สามารถสยบความเคลื่อนไหวของคนในบ้านเลขที่ 111 ได้อย่างชะงัด
ทำให้นักเลือกตั้งที่สมัยก่อนไม่ค่อยเกรงกลัวกติกา ผวาไปตามๆกัน
นอกจากนี้ กกต.ยังวางระเบียบคุมเข้มการหาเสียง กำหนดจำนวน ขนาดแผ่นป้ายหาเสียง จุดติดแผ่นป้าย กำหนดจุดปราศรัยใหญ่ ป้องกันการทุ่มเงินโฆษณาหาเสียง สร้างความเท่าเทียมให้กับทุกพรรค
ส่งผลให้บรรยากาศการหาเสียงเป็นไปแบบราบเรียบ อยู่ในกรอบ ไม่คึกคักครึกโครมเหมือนที่ผ่านๆมา
แต่อีกมุมหนึ่ง การออกระเบียบคุมเข้ม ก็ช่วยทำให้การหาเสียงแบบผิดกฎหมายลดลงไป
เหนืออื่นใด ภารกิจสำคัญของ กกต.ชุดนี้ คือ การดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งอย่างเคร่งครัด
เพื่อดำรงความบริสุทธิ์และยุติธรรมในการเลือกตั้ง
สำหรับภาคปฏิบัติในการจัดเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งนี้ กกต.ได้ประเดิมการทำหน้าที่ด้วยการตัดสิทธิผู้สมัคร ส.ส.ที่ขาดคุณสมบัติไปกว่า 30 คน
และในจัดการเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันที่ 15-16 ธันวาคม ที่มีประชาชนตื่นตัวออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้ามากเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งสิ้น 2,965,279 คน
การดูแลในภาพรวมก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
นอกจากนี้ ก่อนการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ตั้งแท่นพิจารณาเรื่องการกระทำผิดกฎหมายเลือก ตั้งหลายคดี อาทิ
กรณีการจ่ายเงินจ้างยานพาหนะขนคนไปฟังปราศรัยที่ อ.พระทองคำ จ.นครราชสีมา กรณีนายประแสง มงคลศิริ ผู้สมัคร ส.ส.อุทัยธานี พรรคพลังประชาชน หาเสียง โดยใช้รูปและวีซีดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จนที่สุดนายประแสงต้องชิงลาออกจากสมาชิกพรรค ถูกตัดสิทธิการเป็นผู้สมัคร ส.ส.
นอกจากนี้ กกต.ยังมีมติส่งเรื่องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนิน คดีอาญากรณีพรรคพลังประชาชนปลอมลายเซ็นในใบสมัครเป็นสมาชิกพรรคของนายสิทธิ ชัย โควสุรัตน์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน
สำหรับการเลือกตั้งใหญ่วันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมาหมาดๆ กกต.ก็ทำหน้าที่ในการควบคุมดูแลการเลือกตั้งให้ผ่านไปได้ ด้วยความเรียบร้อย
โดยผลคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.อย่างไม่เป็นทางการ พรรคพลังประชาชนได้รับเลือกเข้ามาเป็นอันดับหนึ่ง 233 คน พรรคประชาธิปัตย์ 165 คน พรรคชาติไทย 37 คน พรรคเพื่อแผ่นดิน 24 คน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 9 คน พรรคมัชฌิ-มาธิปไตย 7 คน และพรรคประชาราช 5 คน
พรรคพลังประชาชนประกาศตัวเป็นแกนนำเชิญพรรคเล็กจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่ประชาธิปัตย์ก็ประกาศพร้อมจัดตั้งรัฐบาลถ้า พรรคพลังประชาชนรวบรวมเสียงข้างมากไม่สำเร็จ
เดินเกมจับขั้วกันฝุ่นตลบ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ท้าทายคณะกรรมการการเลือกตั้งอย่างยิ่งก็คือ
มีการร้องเรียนว่าที่ ส.ส. จำนวนหลายสิบราย ใช้วิชามาร มีพฤติกรรมทุจริต ทำผิด กฎหมายการเลือกตั้ง
หวังผลให้มีการแจกใบเหลือง ใบแดง
โดยหลังการเลือกตั้ง กกต.ได้เริ่มพิจารณาเรื่องร้องเรียนและมีมติประเดิมแจกใบเหลืองว่าที่ ส.ส.นครราชสีมาไปแล้ว 3 คน ในกรณีจ้างรถขนชาวบ้านไปปราศรัยที่ อ.พระทองคำ
และยังมีเรื่องร้องเรียนและร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งอีกเป็นร้อย สำนวนที่จ่อคิวรอการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ตรงนี้ถือเป็นภารกิจสำคัญของ กกต.ที่ต้องตัดสินด้วยความ สุจริตและเที่ยงธรรม เพื่อให้ผลการชี้ขาดเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่าย
เพราะกฎหมายต่างๆที่ออกมาทั้งรัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้ง เป็นเพียงตัวหนังสือ
แต่การนำกฎหมายไปใช้ในภาคปฏิบัติให้เป็นจริง ขึ้นอยู่กับ คนที่บังคับใช้กฎหมาย
โดยเฉพาะในสถานการณ์การเลือกตั้งหลังการรัฐประหาร การเมืองแบ่งเป็น 2 ขั้ว มีการต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างรุนแรง เพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐ
กกต.จึงมีบทบาทสำคัญในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อให้ทุกฝ่ายในสังคมยอมรับการตัดสินชี้ขาดผลการเลือกตั้ง
ฉะนั้น การที่จะทำให้การเลือกตั้งสามารถเปลี่ยนผ่านนำ พาประเทศชาติให้พ้นจากวิกฤติไปได้ จึงขึ้นอยู่ที่ กกต.ชุดนี้
เพราะหากผลการเลือกตั้งที่ออกมาไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม ก็อาจจะนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือดอย่างที่หมอดูบางราย ทำนายเอาไว้
เหนืออื่นใด ถ้าการบังคับใช้กฎหมายเป็นข้อยุติความขัดแย้ง ไม่ได้ ปัญหาก็ไม่จบ
ความสูญเสียจะกินลึก จนล่มจมหายนะ ประสบเคราะห์กรรม กันทั้งประเทศ
ด้วยบทบาทและหน้าที่ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยน ผ่านประเทศไทยในครั้งนี้ ความเข้มแข็งและเที่ยงธรรมของ กกต. จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ทีมของเราจึงยกให้ 5 เสือ กกต. เป็นบุคคลการเมืองแห่ง ปี 2550.
จาำก ไทยรัฐ ( 30/12/50)
'ชูวิทย์'ขู่มอบพวงหรีดให้ 'เติ้ง'หากเข้าร่วมรัฐบาลพปช.
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทย ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวบริเวณหน้าที่ทำการพรรคชาติไทย เพื่อประท้วงนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ที่จะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน ซึ่งนายชูวิทย์ได้นำป้ายที่มีเนื้อหาการให้สัมภาษณ์ของนายบรรหาร เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2550 ว่าจะไม่เข้าร่วมกับพรรคพลังประชาชน
โดยนายชูวิทย์ กล่าวว่า การที่พรรคชาติไทยนำเสนอแนวทาง 5 ประการเป็นการบังหน้าเพื่อเข้าร่วมรัฐบาล ตนขอถามว่าลืมคำพูดที่ว่าจะไม่ทำให้ผู้ใหญ่ที่เคารพมา 30 ปีผิดหวัง คำพูดนี้หายไปไหน คนเราต้องมีจุดยืน วันนี้ประชาชนไม่ต้องการรัฐบาลที่เข้มแข็ง แต่ต้องการฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง จะปล่อยให้พรรคประชาธิปัตย ์เป็นฝ่ายค้านพรรคเดียวทำได้อย่างไร ซึ่งก่อนหน้าไปจับมือ กอดคอ ปรึกษาหารือกัน ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าอยู่ขั้ว พรรคประชาธิปัตย์ แต่หลังวันที่ 23 ธ.ค.กลับไปร่วมกับพรรคพลังประชาชน
นายชูวิทย์ กล่าวว่า ท่านพูดเองว่าจะไม่ไปร่วมกับพรรคพลังประชาชน แต่การเอาสถาบันมาอ้าง ทำให้คนอื่นเลวหมดเพื่อจะได้ร่วมรัฐบาล แค่แย้มปากก็เห็นไรฟัน ดังนั้นนายบรรหารต้องมีจุดยืนบ้าง ไม่ใช่น้ำลายไหล อยากจะร่วมรัฐบาลอย่างเดียว อายุ 80 ปีแล้วจะลืมคำพูดง่ายเท่ากับหลอกลวงประชาชน ท่านให้ประชาชนไปโหวต ในวันที่ 23 ธ.ค. เสร็จแล้ววันนี้ก็พลิกไปอยู่กับพรรคพลังประชาชน
'ผมขอเรียกร้องให้นายบรรหารมาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านเข้มแข็ง เพื่อตรวจสอบรัฐบาล พลังประชาชน ไม่เช่นนั้นวันที่ไปร่วมรัฐบาลผมจะนำพวงหรีดไปมอบให้ การเป็นนักการเมืองไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นรัฐบาล เสมอไป ท่านเป็นฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่ได้ดี ผมยอมรับทั้งสองพรรคใหญ่ แต่ไม่เข้าใจพรรคชาติไทยวิ่งจนตีนพลิก ไปบ้านคนนั้นคนนี้ ผมเคารพความอาวุโสของท่าน แต่ไม่เคารพจุดยืน เพราะท่านไม่มีจุดยืนทางการเมือง ดังนั้นผมจะไปมอบพวงหรีดเพื่อแสดงให้เห็นท่านได้ตายไปในทางการเมืองแล้ว แต่ถ้าไปจัดตั้งรัฐบาล กับพรรคประชาธิปัตย์ผมจะเอากระเช้าดอกไม้ไปให้”นายชูวิทย์ กล่าว
ร้องศาลฏีกาขอเลือกตั้งใหม่
ผู้สมัครส.ส.ปชป.ร้องศาลฎีกา ขอเลือกตั้งใหม่ เพราะพปช.เป็นนอมีนีทักษิณ
นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. ได้ยื่นฟ้อง คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้ง 5 คน พรรคพลังประชาชน และนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรค และผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 พรรคพลังประชาชน ต่อศาลฏีกา เนื่องจากรัฐธรรมนูญ ปี 50 มาตรา219 (3) กำหนดเป็นอำนาจหน้าที่ ศาลฏีกา มีอำนาจวินิฉัยคดีเกี่ยวกับเลือกตั้ง และการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ส.ส.และส.ว. โดยตนได้ยื่นให้ศาลฏีกา วินิจฉัย 4 ข้อ คือ
1. ขอให้ศาลมีคำสั่งว่า พรรคพลังประชาชน เป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทย ไม่มีสิทธิ์ ส่งส.ส.ในนามพรรคพลังประชาชน ทั้งส.ส.สัดส่วน และเขต ให้ถือว่าเป็นโมฆะ หรือไม่เป็นผลทางกฎหมาย
2.มีคำสั่งให้นายสมัคร เป็นนอมินี หรือเป็นตัวแทนของหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ไม่มีสิทธิ์ลงนามส่งผู้สมัคร ลงรับเลือกตั้ง และการลงนามส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นโมฆะ
3.ขอให้มีคำพิพากษาว่า การเลือกตั้งล่วงหน้า เมื่อวันที่ 15-16 ธ.ค.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เพิกถอนการเลือกตั้งล่วงหน้า ตลอดจนการเอาบัตรเลือกตั้งล่วงหน้าไป รวมนับคะแนนเสียง โดยให้เพิกถอนการนับคะแนน เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2550 และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
4.ขอให้มีคำพิพากษาว่า การแจกซีดีให้กับประชาชนเป็นการผิดกฎหมาย ทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม และห้ามมิให้ กกต.ประกาศรับรองผลทั่วประเทศ หรือ เพิกถอนการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งของผู้สมัครพรรคพลังประชาชน ทั้งนี้ศาลฏีกานัดไต่สวนเวลา 16.00 น.วันที่ 3 ม.ค.2551
จาก Hi-Thaksin.org 29/12/07
Saturday, December 29, 2007
วีรบุรุษหลงสนาม
พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม และรองประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กลายเป็นที่รู้จัก และสนใจของผู้คนขึ้นมา ก็เมื่อหนังสือ พิมพ์ลงข่าวว่าเขาเรียกตัวเองว่า วีรบุรุษ
วีรบุรุษ ในความหมายของ พล.อ.สพรั่ง ไม่ใช่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงตายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
แต่หมายถึงตัวเขาเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องตอบคำถามกับนักข่าวในเรื่องที่ ถูกโจมตีว่า เขาเบิกงบราชการไปสูงถึง 7.2 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการ นำบอร์ด 13 คน พร้อมลูกเมีย รวมถึงครอบครัวตัวเอง เดินทางไปดูงานด้าน การรักษาความปลอดภัย และการแบ่งการจราจรทางอากาศระหว่างท่าอากาศยานในประเทศ กับท่าอากาศยานระหว่างประเทศที่เยอรมนี และอังกฤษ หลังจากที่เพิ่งจะเข้าไปเป็นประธานบอร์ดบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้เพียงไม่กี่เดือน
ในขณะที่ผู้บริหารสนามบินที่ถูกอ้างถึงไม่ได้อนุญาตให้พวกเขาเข้าไป เสาะแสวงหาข้อมูลตามที่ต้องการ หรือแม้แต่ในกรณีที่จะขอไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่า ก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิมีการลอกเลียนแบบสนามบินจากประเทศเยอรมนีมาจริง หรือไม่
ความเป็นคนพูดจาโผงผาง และออกจะมีบุคลิกพิเศษของ พล.อ.สพรั่ง ดึงดูดให้ สื่อมวลชน และผู้คนทั่วไปต้องหันมาให้ความสนใจในตัวเขา และงานที่เขาทำมากขึ้น เมื่อเขาได้ แต่งตั้งผู้คนจำนวนมากเข้าไปเป็นคณะทำงาน และที่ปรึกษา ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นบอร์ด ทอท. หรือบอร์ดบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ที่เขานั่งเป็นประธานอีกตำแหน่ง แต่ละบอร์ดล้วนแต่มีวาระต้องดำเนินการตามธงที่ได้ตั้งไว้หลายเรื่องด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า พล.อ.สพรั่ง และบอร์ดทั้งหมดจะดูกระตือรือร้นกับงานในภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้ทำอย่าง ไร แต่ผลการดำเนินงานของ ทอท. และทีโอที กลับออกมาในทางตรงกันข้าม
เส้นกราฟที่น่าจะวิ่งฉิวขึ้นไปสร้างสถิติใหม่ กลับดิ่งลงตามลำดับจากต้นปีจนถึงปลายปี
ว่าแต่เป็นเพราะอะไร? ทีมเศรษฐกิจ ขออนุญาตประเมินภาพรวม และผลงานในแต่ละด้านเป็นอนุสนธิว่า ครั้งหนึ่ง เมื่อรัฐวิสาหกิจต้องกลับไปอยู่ในมือทหาร หรือในมือของผู้ที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจในกิจการนั้นๆ เหมือนเมื่อยี่สิบปีก่อน...ผลที่ได้จะเป็นเช่นไร
ขยันฟันเบี้ยประชุมแห่งปี
อย่างที่เกริ่นไว้แต่ต้นว่า นอกจากจะแต่งตั้งบุคคลจำนวนมากเข้าไปเป็นคณะทำงานในบอร์ด ทอท. และบอร์ดทีโอที แล้ว พล.อ.สพรั่ง ยังแต่งตั้ง พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน รองปลัดกระทรวงกลาโหม และประธานกรรมาธิการคมนาคม สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) “เพื่อนรัก” เข้าไปทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาประธานบอร์ด มีอำนาจเรียกตรวจสอบ และสั่งการกำกับดูแลกิจการภายในของ ทอท.แทนประธานบอร์ดได้ด้วย
ที่ ทอท.นับแต่วันที่ พล.อ.สพรั่งเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 17 พ.ย. 2549 พบว่า บอร์ด 15 คน ประชุมกันจนถึงวันที่ 17 ธ.ค. 2550 รวมแล้วกว่า 43-45 ครั้ง เฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือเดือนละ 4 ครั้ง จากเดิมที่เคยมีการประชุมกันเดือนละครั้งเฉลี่ยทั้งปี 12-14 ครั้ง
ทั้งนี้ ทอท.จะต้องจ่ายค่าตอบแทนบอร์ดเป็นรายเดือน คนละ 20,000 บาท บวกค่าเบี้ยประชุมที่ขอปรับขึ้นอีกคนละ 15,000 บาทต่อครั้ง หากประชุมกันถี่ ทอท.ก็ต้องจ่ายถี่ จึงมีการทำข้อตกลงกันว่า ถ้าประชุมเกิน 2 ครั้งใน 1 เดือน ให้จ่ายค่าเบี้ยประชุมแค่เบี้ยประชุมเพียง 2 ครั้ง บอร์ดแต่ละคนจึงได้เงินเดือนรวมเบี้ยประชุมกันเดือนละ 50,000-60,000 บาท
15 คน ทอท.ต้องจ่ายเดือนละ 750,000-900,000 บาท
ยังไม่นับคณะทำงานด้านต่างๆที่แต่งตั้งกันเข้ามาอีกกว่า 5-6 คณะ และคณะอนุกรรมการทั้งจากคนในบอร์ด และคนนอกที่เข้ามาทำหน้าที่กลั่นกรองเรื่องต่างๆให้อีก 10-20 ชุด คนเหล่านี้มีค่าเบี้ยประชุมเฉลี่ยคนละ 3,000-5,000 บาทต่อการประชุมแต่ละครั้ง แต่ละเดือนมีการประชุม 2 ครั้ง คนเหล่านี้ก็จะได้ค่าตอบแทนอีก เฉลี่ยเดือนละ 6,000-10,000 บาท
ล่าสุด บอร์ดยังได้มีมติให้จ่ายเงินรางวัลหรือโบนัสแก่ตัวเองอีกคนละ 216,000 บาท เฉพาะประธานบอร์ดตั้งได้เพิ่มอีก 25% ก็จะตก 270,000 บาท ขณะ ที่รองประธานได้ 243,000 บาท ถ้านับรวมปี 2549 ที่เพิ่งเข้าไปนั่งเก้าอี้ได้ไม่นาน
ถ้าปี 2550 ทอท.มีรายได้ และกำไรดีเหมือนปี 2549 บอร์ดก็คงจะได้รับเงินรางวัลไปเต็มๆคนละ 1,200,000 บาท
เช่นเดียวกับบอร์ดทีโอทีที่ พล.อ.สพรั่งเรียกประชุมบอร์ดถี่ยิบไม่แพ้กันรวม 40 ครั้งใน 10 เดือน นับตั้งแต่เข้าไปรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2550 หรือเฉลี่ยเดือนละ 4 ครั้ง ครั้งละ 10,000 บาท ตกเดือนละ 40,000 บาท ยัง ไม่นับคณะกรรม- การย่อยที่บอร์ด แต่ละคนเข้าไปร่วมเป็นกรรมการด้วยอีก 5 ชุด แต่ละชุดได้เบี้ย ประชุมครั้งละ 10,000 บาท ประชุมกัน5 ครั้งใน 1 เดือน ก็ตก 50,000 บาท
ทีนี้ถ้ารวมกับการประชุมบอร์ดชุดใหญ่ด้วย บอร์ดแต่ละคนอาจ มีรายได้เหยียบเดือนละถึง100,000บาท
ชำเราสนามบินสุวรรณภูมิ
กลับมาที่ผลงานของบอร์ด ทอท.ที่ทำงานกันอย่างหัวปัก หัวปํา แต่สิ่งที่ได้รับนับแต่เริ่มภารกิจแรกของ พล.อ.สพรั่ง และบอร์ดที่เขาแต่งตั้งเข้าไป ก็คือ มีมติให้สัญญาสัมปทานที่ทำกับคิงเพาเวอร์ทั้งในส่วนที่ให้บริหารพื้นที่ เชิงพาณิชย์ และร้านค้าปลอดภาษี เป็นโมฆะ!
หลังจากนั้นก็ปฏิเสธไม่ยอมมีนิติ สัมพันธ์ใดๆ นับตั้งแต่ ไม่ยอมต่ออายุบัตรเข้า-ออกให้แก่เจ้าหน้าที่สาขาธนาคารไทยพาณิชย์ และทหารไทยที่ได้พื้นที่ในสนามบินสุวรรณภูมิ รวม ถึงพนักงานร้านค้าทั้งหมด พร้อมปฏิเสธไม่ยอมรับรายได้ ค่าเช่ารายเดือนที่คิงเพาเวอร์จัดเก็บจากร้านค้าไปส่งมอบให้
ในขณะที่สัญญาสัมปทานซึ่งมีอายุ 10 ปีดังกล่าว ระบุผลตอบแทนขั้นต่ำที่จะ ได้รับจากร้านค้าปลอดภาษี รวมตลอดสัญญา 16,700 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งผลตอบแทนจากรายได้ในอัตรา 15-20% โดยคิงเพาเวอร์ได้ชำระค่าสัมปทานล่วงหน้าไปแล้ว 2 ปี เป็นเงิน 2,500 ล้านบาท
ส่วนสัญญาบริหารพื้นที่ร้านค้าเชิงพาณิชย์อายุ 10 ปี ระบุผลตอบแทนขั้นต่ำต่อปี เป็นเงิน 1,400 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งผลประโยชน์อีก 15% ของรายได้ โดยสัญญานี้ คิงเพาเวอร์ได้ชำระค่าสัมปทานล่วงหน้าไปแล้ว 2,000 ล้านบาทเช่นกัน ประเมินมูลค่าผลตอบแทนโดยรวมในระยะ 10 ปีไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท
ตามด้วยการฮาราคีรีตัวเองอีกครั้งด้วยการประกาศฉีกสัญญาสัมปทานที่ทอท. มอบให้แก่คิงเพาเวอร์ จนเป็นผลให้คิงเพาเวอร์ต้องนำเรื่องขึ้นฟ้องร้องต่อศาลของความเป็นธรรมต่อ ศาลแพ่ง พร้อมเรียกค่าเสียหายกับ ทอท.เป็นมูลค่าสูงถึง 68,000 ล้านบาท
ผลจากการไม่ยอมรับรู้รายได้ ทำให้ฐานะการเงินของ ทอท.ประสบภาวะขาดสภาพคล่องกำไรสุทธิในปี 2550 ลดลงอย่างฮวบฮาบจากปี 2549 ที่มีกำไรกว่า 9,379 ล้านบาท เหลือ เพียง 1,094 ล้านบาท
ในขณะที่รายได้ซึ่งควรจะได้จากหลายทาง เช่น ค่าเช่าพื้นที่ภายในศูนย์ขนส่งสาธารณะเพื่อสร้างช็อปปิ้ง มอลล์ รวมตลอดถึงค่าเช่าอาคารสำนักงาน และคลังสินค้า และค่าเช่าโครงข่ายระบบโทรคมนาคม ที่ควรจะบริหารจัดการรายได้อย่างเต็มรูปแบบ และจัดเก็บจากผู้ประกอบการรายอื่นๆได้
ก็กลับไม่ได้มีการจัดเก็บ หรือติดตามให้มีการจ่ายค่าตอบแทนแก่ ทอท.อย่างเต็มเม็ด เต็มหน่วย แต่กลับปล่อยทิ้งค้างไว้ให้เป็นภาระในอนาคต แทนที่จะเปิดให้รายอื่นที่มีศักยภาพกว่าเข้าไปเช่าพื้นที่ทำธุรกิจต่างๆ เหล่านั้นแทน
แปลว่า รายได้หลักก็ไม่เอา รายได้รองก็ไม่มีปัญญาจัดเก็บ!
นี่ยังไม่นับความพยายามบอร์ดของ พล.อ.สพรั่ง บอร์ดและที่ปรึกษาร่วมมือกันก่อการร้าย และกระทำชำเราสนามบินสุวรรณภูมิด้วยกรรมวิธีต่างๆ
ตั้งแต่กล่าวหาว่า การก่อสร้างสนามบินมูลค่ากว่า 130,000 ล้านบาท ซึ่งต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากล และกฎของสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) มีการทุจริตกันอย่างมโหฬาร จนเป็นเหตุให้รันเวย์ร้าว แท็กซี่เวย์ทรุดตัว หลังคา รั่ว ร้านค้าเกะกะทางเดิน ตลอดจนถึงเครื่องตรวจระเบิดไม่ทำงาน และสายการบินโลว์คอสต์ แอร์ไลน์ไม่ประสงค์จะลงจอด
ขณะที่ส้วมในอาคารยังสกปรก และมีจำนวนน้อยไม่เพียงพอรองรับผู้คนที่แห่ไปเยี่ยมชมสนาม บินหลายหมื่นคนในช่วงเปิดสนามบินแรกๆได้ ไม่เท่านั้น ยังมีการตามไปข่มขู่จะยกเลิกสัญญาบริหารโรงแรมโนโวเทลในสนามบิน
กระทั่งถึงการข่มขู่ว่า จะเปลี่ยนบริษัทรักษาความปลอดภัยในสนามบิน แต่จนแล้วจนรอด ก็กลับต่อสัญญาให้บริษัทเดิมออกไปอีก 5 ปี แถมยังเพิ่มกะของ รปภ.ให้ได้รับเงินมากขึ้นด้วย เป็นต้น
ไม่ใช่แต่เท่านี้ บอร์ด รวมถึงที่ปรึกษาประธานบอร์ด ยังผลักดันให้ ครม.มีมติให้เปิดใช้สนามบินดอนเมือง เป็นสนามบินคู่แฝด เพื่อให้เครื่องบินที่มีเส้นทางบินในประเทศ และสายการบินต้นทุนต่ำสามารถลดต้นทุนการบินมาใช้สนามบินดอนเมืองได้ ก่อนจะเตรียมการผลักดันให้เปิดดอนเมืองเป็นสนามบินนานาชาติ แข่งกับสุวรรณภูมิอีกครั้งในเวลาต่อมา
ยึดคืนสัมปทานโทรคมนาคม
หันมาดูทีโอที ที่ พล.อ.สพรั่ง นั่งเป็นประธานบอร์ดอยู่ หลังจากที่เข้าไปรับตำแหน่ง ในวันที่ 6 ก.พ. 2550 พล.อ.สพรั่งได้นำเสนอยุทธศาสตร์การผนวกรวมโครงข่ายสื่อสารทุกระบบเข้าด้วย กัน เรียกชื่อสั้นๆว่า “เทเลคอมพูล” ครั้งนั้น พล.อ.สพรั่งมองว่าโครงข่าย โทรคมนาคมเป็นเรื่องของความมั่นคง ไม่ควรจะตกไปอยู่ในมือเอกชน หากแต่ควรเป็น ของรัฐ จึงคิดจะเอาโครงข่ายที่มีอยู่ทั้งหมดกลับมารวมไว้ในที่เดียวกันยังทีโอที ตามเดิม
ยุทธศาสตร์ที่ว่านี้หมายความว่า สัมปทานมือถือของเอกชน ไม่ว่าจะเป็นระบบเครือข่ายของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส, ของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เครือข่ายของบริษัท โทเทิ่ล แอ๊คเซส คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค จะต้องถูกดึงกลับคืนมาเป็นของรัฐ
แม้สัญญาสัมปทานเหล่านี้จะยังไม่หมดอายุ แต่ พล.อ.สพรั่งก็คิดว่า อย่างไรเสียก็ต้องหมดสัญญาอยู่ดี จึงไม่ต่างตรงไหน ถ้าจะดึงกลับคืนมาก่อน
นี่ไม่เฉพาะแต่สัมปทานมือถือเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปจนถึงสัมปทาน โทรศัพท์พื้นฐานที่ให้แก่บริษัททรู และทีทีแอนด์ทีไปทำด้วย
ว่าแต่ยุทธศาสตร์นี้มีอันต้องคว้าน้ำเหลว เพราะไม่มีเอกชนรายใดเห็นด้วย ที่แน่ๆ พล.อ.สพรั่งและบอร์ด อาจถูกเอกชนเหล่านี้ยื่นฟ้องต่อศาลได้ เช่นเดียวกับที่ถูกคิงเพาเวอร์ฟ้องมาแล้ว
อีกผลงานก็คือ โครงการจ้างเหมาติดตั้งอุปกรณ์ชุมสายเพื่อรองรับการให้บริการ อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband) มูลค่า 976 ล้านบาท ซึ่งเสนอให้มีการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ และเป็นรายการที่ พล.อ.สพรั่งขอมา ภายใต้ข้ออ้างเพื่อความมั่นคง และความจำเป็นเร่งด่วนที่จะนำไปใช้ในภาคใต้ เช่นเดียวกับที่ขอเครื่องซีทีเอ็กซ์ จากสุวรรณภูมิไปใช้ตรวจระเบิดที่ภาคใต้นั่นแหละ!!
จริงๆเดิมทีหน่วยข่าวกรองทางทหารได้ขอบริจาคเงินจากทีโอทีเพื่อ จัดซื้อ อุปกรณ์ดังกล่าว ถูกโจมตีมากว่า ทีโอทีมีกำไรเพียงปีละ 1,000 ล้านบาท ไม่สมควรจะบริจาคเงินในวงเงินที่สูงขนาดนั้นแก่ทหารได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม บอร์ดก็ยังคงยืนกรานต้องการจัดซื้ออุปกรณ์ดังกล่าวให้ จึงมีมติให้ทีโอทีจัด
ซื้อโดยวิธีพิเศษโดยการเปิดเจรจากับเอกชนเป็นการด่วน และตกลงจ้างเหมาไปเป็นเงินทั้งสิ้น 860 ล้านบาท
ผลงานของ พล.อ.สพรั่ง และบอร์ดทีโอที ยังไม่จบเท่านี้ หากแต่ในวันที่ 16 พ.ย. 2550 บอร์ดยังมีมติให้ทีโอทียื่นฟ้องร้องศาลแพ่งเรียกค่าเสียหายกรณีที่บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ดีแทค และทรูมูฟ ได้หยุดจ่ายค่าเชื่อมโยงโครงข่าย (Access charge) ในแบบเก่า ซึ่งเป็นการจ่ายในลักษณะที่ กสท และเอกชน เป็นผู้จ่ายอยู่ฝ่ายเดียว เพื่อจะไปจ่ายค่าเชื่อม โยงในแบบใหม่ (Interconnection charge) ที่กำหนดให้ผู้ให้บริการทุกรายเปลี่ยนระบบมาใช้ค่าเชื่อมโยงโครงข่ายที่ให้ ทั้ง ทีโอที กสท และเอกชน ต่างคนต่างจ่ายเมื่อโทร.เข้าหากัน ทั้งยังจ่ายในราคาที่ต่ำกว่าเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคด้วย
แต่เนื่องจากการเปลี่ยนระบบการจ่ายค่าเชื่อมโยงโครงข่ายดังกล่าว ทำให้ ทีโอทีสูญรายได้ในช่วงปี 2550 ไปเป็นจำนวนถึง 14,000 ล้านบาท
ขณะที่รายได้จากการให้บริการของทีโอที มีแนวโน้มจะลดลงตามลำดับด้วยเหตุที่คุณภาพการให้บริการต่ำ ไม่มีเลขหมายใหม่ๆเพิ่มแก่ลูกค้า อีกทั้งผู้บริโภคยังหันไปใช้บริการโทรศัพท์มือถือของเอกชนเพิ่มขึ้น ทำให้ทีโอทีต้องดิ้นทุกทางเพื่อให้รายได้ของตนกลับมา ขณะเดียวกันก็เพื่อจะรักษาสถานภาพของตนไว้ให้ได้ด้วย
หลังเลือกตั้ง และมีรัฐบาลใหม่เข้ามา เราต่างก็หวังว่า พล.อ.สพรั่ง และบอร์ดที่เขากอดคอเข้ามาด้วยกันในรัฐวิสาหกิจสำคัญข้างต้นนี้ จะเก็บกระเป๋ากลับบ้านไปด้วยดี หลังจากที่ “หลงสนาม” มานานเต็มทนแล้ว.
จาก ไทยรัฐ 29/12/50