ก่อนสิ้นปีเก่า กกต.ก็เขย่าหัวใจว่าที่ส.ส.ทุกคนที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน ด้วยการ แจกใบแดง 3 ใบให้แก่ นายประกิจ พลเดช นายรุ่งโรจน์ทองศรี และ นายพรชัย ศรีสุริยันโยธิน ว่าที่ ส.ส.เขต 1 จ.บุรีรัมย์ พรรคพลังประชาชน
ว่าที่ ส.ส. พรรคพลังประชาชน ที่ดูเหมือนว่าจะตกเป็นเป้าสังหารมากกว่าว่าที่ ส.ส. ของพรรคการเมืองอื่น ซึ่งสอดคล้องกับคำโฆษณาหาเสียงของหลายพรรคการเมืองก่อนวันเลือกตั้งว่า อย่าเลือกผู้สมัครพรรคพลังประชาชนเลย เลือกไปก็โดนใบแดง ต้องมาเลือกกันใหม่อีก
แต่ประชาชนไม่ได้เชื่อไปตามคำโฆษณาที่ว่านั้น และ ทำในสิ่งที่หัวใจสั่งการคือ ลงคะแนนให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคประชาชนได้ชัยชนะอย่างท่วมท้น มากถึง 233 คน
ทว่า การเป็น ส.ส. ในยุคนี้ ไม่ใช่ว่าเอาชนะใจชาวบ้านได้แล้ว ทำให้ประชาชนไว้วางใจ มอบหน้าที่ให้เป็นผู้แทนได้แล้ว ก็จะได้เป็น ส.ส. หากว่า กกต. ไม่อนุมัติ ไม่เห็นชอบก็ไม่ได้เป็น ดังเช่นกรณีว่าที่ ส.ส.เขต 1 จ.บุรีรัมย์ ทั้ง 3 คน ที่ประชาชนลงคะแนนให้มากกว่าเกือบ 80,000 คะแนน ชนะคู่แข่งมากกว่า 10,000 คะแนน แต่ กกต. ไม่เห็นชอบกับการออกเสียงของประชาชน และไม่อนุมัติให้เป็น ส.ส.
อำนาจพิเศษของ กกต. ที่สามารถยับยั้ง และหักล้างการออกเสียงของประชาชน ได้แบบเบ็ดเสร็จ เช่นนี้ เป็นอำนาจที่น่ากลัวมาก และเป็นการใช้อำนาจที่มีลักษณะไม่เคารพ ไม่ยอมรับมติของประชาชน ตามระบอบประชาธิปไตย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้อำนาจของ กกต. ทั้ง 4 คน ที่มีมติให้ใบแดงแก่ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์เขต 1 จ.บุรีรัมย์ ในครั้งนี้ เป็นการใช้อำนาจที่ขัดต่อกฎหมาย และไม่ชอบธรรม อย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน
เนื่องจาก กกต. ทั้ง 4 คน ลงมติให้ใบแดงโดยที่ไม่ได้เรียกว่าที่ ส.ส. 3 คน ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ทุตริตเลือกตั้ง มาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาแม้แต่คำเดียว แต่เป็นการลงมติให้ใบแดง หลังจากที่อ่านสำนวนการสอบสวนที่กกต.จังหวัดบุรีรัมย์ ส่งมาให้ เท่านั้น
กกต.ทั้ง 4 คน วินิจฉัยและพิพากษาประหารชีวิตทางการเมืองว่าที่ ส.ส. 3 คน ซึ่งประชาชนลงคะแนนไว้วางใจให้เป็น ส.ส. โดยการฟังความข้างเดียว และไม่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหา ได้เข้าชี้แจง ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ที่ประชาชนลงคะแนนให้เป็น ส.ส. มีโอกาสแก้ข้อกล่าวหา และตัดโอกาสประชาชนที่พร้อมจะมาเป็นพยานให้แก่ว่าที่ ส.ส. ที่เขาเลือกมาแล้ว มาบอกเล่าความจริงแก่ กกต.
ไม่น่าเชื่อว่า กกต. ทั้ง 4 คน ที่ลงมติให้ใบแดงว่าที่ ส.ส. 3 คน จะเคยเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกามาก่อน ถึง 3 คน และอีก 1 คน เป็นรองอัยการสูงสุด
ไม่น่าเชื่อว่า กกต. ทั้ง 4 คนนี้ เป็นบุคคลที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เห็นว่าเป็นผู้มีความเที่ยงธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของใคร เหมาะสมที่จะเป็น กกต.
ไม่น่าเชื่อว่า กกต. ทั้ง 4 คน จะลงมติอันเป็นโทษแก่ผู้ถูกกล่าวหา โดยที่ไม่เปิดโอกาสให้เข้าชี้แจง และดำเนินการกันอย่างรวบรัดอย่างผิดปกติ เช่นนี้
กรณีนี้ เกิดขึ้นจากมีผู้ร้องคัดค้านผลการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2549 โดยอ้างว่ามีชาวบ้านคนหนึ่งเป็นทีมงานของพรรคพลังประชาชน สัญญาว่าจะให้เงิน และแจกเงินรวม 2,000 บาทให้แก่ชาวบ้านในเขตเลือกตั้ง
ทันทีที่ได้รับคำร้อง กกต.บุรีรัมย์ ก็ดำเนินการสืบสวนสอบสวน และมีมติแจ้งข้อกล่าวหาให้ว่าที่ ส.ส. ทั้ง 3 คน ในวันที่ 24 ธันวาคม 2549 และให้เข้าชี้แจงในวันที่ 27 ธันวาคม 2549
กกต.บุรีรัมย์ ใช้เวลา 1 วันในการรับคำร้อง สืบสวนสอบสวน ประชุมเพื่อลงมติแจ้งข้อกล่าวหาผู้ถูกร้อง และ ทำบันทึกแจ้งผู้ถูกร้อง เป็นเรื่องที่รวดเร็วผิดปกติอย่างยิ่ง
ว่าที่ ส.ส. หรือ ผู้ถูกร้องทั้ง 3 คน เข้าให้ข้อมูลแก่ กกต.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2549 โดยปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิด และชาวบ้านคนที่ถูกอ้างว่าทำความผิด ก็ไม่ใช่ทีมงานของพรรคพลังประชาชน ว่าที่ ส.ส. 2 คน ให้ข้อมูลว่าไม่รู้จักคนที่ถูกอ้างว่าไปแจกเงินให้ผู้ฟังปราศรัยด้วย โดยมีพยาน 38 ปาก ให้ข้อมูลยืนยันความบริสุทธิ์ของผู้ที่ตนลงคะแนนเลือกตั้ง
กกต.บุรีรัมย์ รับฟังแล้ว เห็นว่าผู้ร้องคัดค้านและพยานฝ่ายผู้ร้องคัดค้าน ให้ข้อมูล ได้น่าเชื่อกว่าผู้ถูกร้องและพยานฝ่ายผู้ถูกร้อง ทั้งๆ ที่ ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคเพื่อแผ่นดินในเขตเลือกตั้งที่ 1 เช่นกัน ซึ่งเป็นคู่แข่งของผู้ถูกร้อง และพยานฝ่ายผู้ร้อง 3 คน ก็เป็นญาติกับผู้ร้อง
หลังจากรับฟังการให้ข้อมูลของทั้งสองฝ่ายแล้ว กกต.บุรีรัมย์ ก็เสนอสำนวนการสอบสวนเข้าสู่ที่ประชุมกกต. เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2549 โดยไม่ผ่านฝ่ายสืบสวนสอบสวนของ กกต. แต่ กกต. ทั้ง 4 คน ก็ยังนำเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาทันที และลงมติให้ใบแดงแก่ว่าที่ ส.ส. 3 คน ทันที โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องคัดค้าน หรือ ถูกกล่าวหา เข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา
กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง มาตรา 24 วรรคสอง บัญญัติไว้ว่า "...คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องให้โอกาสผู้ถูกร้อง ผู้ถูกคัดค้าน หรือ ผู้ถูกกล่าวหา ทราบเหตุแห่งการร้อง การคัดค้าน การกล่าวหา มีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงและแสดงหลักฐาน รวมทั้ง ต้องให้โอกาสการมาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง
กรณีเขตเลือกตั้งที่ 1 จ.บุรีรัมย์ ผู้ถูกร้องคัดค้าน ยังไม่มีโอกาสมาให้ถ้อยคำต่อคณะ กรรมการการเลือกตั้ง แม้แต่คำเดียว แต่ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง 4 คน ลงมติให้ใบแดง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ให้ชดใช้ค่าใช้จ่ายการในการเลือกตั้ง และดำเนินคดีอาญา ซึ่งเป็นโทษร้ายแรงที่สุดตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย
จึงต้องตั้งคำถามต่อ กกต. ทั้ง 4 คน ที่ร่วมลงมติว่า ยังสะกดคำว่าเที่ยงธรรม เป็นหรือไม่ และ กกต. อีก 1 ท่าน ที่ไม่เข้าร่วมประชุม ว่าจะทนให้ระบบเสียงข้างมากลากไป อยู่เหนือกฎหมาย อย่างนั้นหรือ
เมื่อ กกต. เชื่อว่า ว่าที่ ส.ส. 3 คน ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง จึงลงมติให้ใบแดง ตามอำนาจของท่าน
แต่หากประชาชนที่ลงคะแนนให้ว่าที่ ส.ส. 3 คน เห็นและเชื่อว่า กกต. ทั้ง 4 คน ทำผิดกฎหมายคณะกรรมการการเลือกตั้ง จะพร้อมใจกันลงมติให้ ใบแดง ไล่ กกต. ออกจากหน้าที่ จะทำได้หรือไม่
พึงระลึกไว้เสมอว่า กกต. ชุดนี้ ไม่ได้มีที่มาจากพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง แต่มาตามคำสั่งคณะรัฐประหาร มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นผู้เซ็นคำสั่งแต่งตั้ง
เพราะฉะนั้น การให้ใบแดง ไล่ กกต. ชุดนี้ จึงไม่กระทบต่อพระราชอำนาจ แต่จะกระเทือนถึงอำนาจของเหล่าเผด็จการ อย่างแน่นอน
นายกอ...