ความขัดแย้งในคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ในช่วงที่ผ่านมารุนแรงขนาด ทำให้ นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย บ่นออกมาดังๆว่า อยากจะลาออกกลับไปทำงานที่ศาลฎีกา
แม้ภายหลังเปลี่ยนใจยืนยันว่าจะทำหน้าที่ กกต.ต่อไป แต่มิได้หมายความว่า ความขัดแย้งกับ กกต.อีก 4 คนได้คลี่คลายลงไป
ตรงกันข้ามกลับทำให้แต่ละฝ่ายชิงไหวชิงพริบในการปล่อยข่าวทำลายกันอย่างรุนแรงมากขึ้น
ก่อนหน้านี้ นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมืองออกมาให้ข่าวถึงการทำหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนว่า ล่าช้า ไม่มีมีประสิทธฺภาพ ปล่อยให้มีการยกคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ไปเป็นจำนวนมาก ทั้งๆที่เรื่องดังกล่าวน่าจะมีความผิดถึงขั้นเพิกถอนสิทธิ ิเลือกตั้ง(ให้ใบแดง) หรือจัดการเลือกตั้งใหม่(ให้ใบเหลือง) จึงมีการหารือกันว่า อาจมีการเปลี่ยนหน้าที่ของ กกต. โดยเฉพาะของนายสมชัยซึ่งนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.เองก็ยอมรับ
อย่างไรก็ตาม นายอภิชาต พยายามขอร้องสื่อมวลชนว่า ความขัดแย้งบางเรื่องไม่ได้รุนแรงอย่างที่เป็นข่าว ออกไป จึงขอความร่วมมือในการเสนอข่าวว่าอย่าให้ประชาชนวิตก หวั่นเกรงมากไป
'อย่างเรื่องที่บอกว่า กกต.แตกหัก ที่ประชุมก็หัวเราะกันอยู่ เมื่อสักครู่พวกเราก็ยังคุยอยู่เลย ดังนั้น จึงขอให้สื่อให้ความร่วมมือ เพราะประชาชนที่ได้รับข่าวก็เกิดความวิตกว่ามีความรุนแรงเกิดขึ้น ทั้งที่บางอย่างไม่ได้เป็นอย่างนั้น กกต.ไม่ได้แตกหักอะไร เรายังทำงานกันปกติ เราก็ทำงานของเราไปในสภาพของความวุ่นวายของ กกต. ก็ไม่ได้มีอะไรน่ากลัว' นายอภิชาตกล่าว
แต่ล่าสุด นายสมชัยซึ่งตกเป็นฝ่ายตั้งรับมาตลอดได้เปิดเกมรุกโดยนำเอกสาร การแต่งตั้งคณะกรรมการ สืบสวนสอบสวนของ กกต.ที่มีความผิดปกติมาแจกจ่ายสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมาโดยเอกสารดังกล่าวมี 3 ฉบับ คือ
ฉบับแรก มติ กกต. ครั้งที่ 98/2550 ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2550 ระบุถึงกระบวนการสรรหา บุคลากร ผู้ปฏิบัติงานด้านสืบสวนสอบสวน และวินิจฉัยในการเลือกตั้ง ส.ส. โดยเห็นชอบให้แต่งตั้งตำรวจ จำนวน 1,200 นาย เป็นคณะกรรมการสืบสวนมีหน้าที่สืบสวนเรื่องคัดค้านในพื้นที่ ี่เขตเลือกตั้งและให้คณะกรรมการสืบสวน ที่ได้รับ การแต่งตั้งปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย โดยให้รองเลขาธิการด้านสืบสวน และผู้อำนวยการสำนักสืบสวน ควบคุมดูแลประสานงานในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการสืบสวน
ทั้งนี้ ในหนังสือดังกล่าวมี กกต. ลงนามออกมติเพียง 4 คน ขาดนางสดศรี สัตยธรรม ที่ลาการประชุมในช่วงบ่ายเนื่องจากติดภารกิจ
ฉบับที่ 2 เป็นคำสั่ง กกต.ที่ 300/2550 ลงนามโดยนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. วันที่ 14 พฤศจิกายน 2550 เป็นเอกสารสั่งการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวน ตามมติ กกต.ข้างต้น
ทั้งนี้ ก่อนการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนทั้ง 1,200 นายนั้น ทางด้านกิจการสืบสวนสอบสวน โดย พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา รองเลขาธิการ กกต. มีหนังสือ หนังสือด่วนที่สุด ที่ ลต 0202/ว 1043 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2550 เรื่องการสรรหาบุคลากรผู้ปฏิบัติงานในการเลือกตั้ง ส.ส.อันเป็นการเลือกตั้งทั่วไป
เอกสารดังกล่าวส่งถึงประธาน กกต.ทุกจังหวัด และ กทม. เพื่อให้ประธาน กกต.จังหวัดทุกจังหวัดสรรหา บุคลากรในพื้นที่ที่มีความเหมาะสมและเป็นกลางทางการเมืองจำนวน 3 ชุด ประกอบด้วย
1.ชุดสืบสวนสอบสวนพิจารณาสรรหาจากตำรวจชั้นสัญญาบัตรทำหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวน (สป.1-3) แบ่งเป็นชุดละ 3 คนต่อ ส.ส.แบบแบ่งเขต 1 คน
2.ชุดป้องปรามและหาข่าวพิจารณาสรรหาจากตำรวจฝ่ายปกครองอาสาสมัคร และผู้มีความเหมาะสม และเป็นกลางทางการเมือง โดยแบ่งเป็นชุดละ 2 คนต่อ ส.ส. แบบแบ่งเขต 1 คน
3.ชุดประจำศูนย์ประสานงานประจำจังหวัดพิจารณาขอรับการสนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัด จังหวัดละ 1 ชุด ชุดละ 5 คน และให้จัดการอบรมแก่เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการคัดเลือกทั้ง 1,200 นาย
ฉบับที่ 3 เป็นหนังสือลับที่ กกต.ด้านกิจการสืบสวนสอบสวนให้ผู้อำนวยการสำนัก 1-5 ตรวจสอบ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้สมัครงานในการเลือกตั้ง ส.ส.หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่จะมีการดำเนินการตามหนังสือทั้ง 3 ฉบับดังกล่าว วันที่ 18 ธันวาคม 2550 กกต.กลับมีมติให้แต่งตั้งตำรวจสันติบาลเพื่อมาช่วยภารกิจสนับสนุน กกต. โดยหนังสือระบุว่า ที่ประชุม เห็นว่าสันติบาลมีกำลังอยู่ทั่วประเทศและปฏิบัติงานในทางลับได้ น่าที่จะสนับสนุนภารกิจในการสืบหาข่าว การทุจริตการเลือกตั้ง จึงแต่งตั้งตำรวจสันติบาลจำนวน 708 นาย ให้เป็นเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือการปฏิบัติงาน เลือกตั้งเพื่อสืบสวนสอบสวนการกระทำความผิด
ปรากฏว่า มติ กกต. ในครั้งนี้มี กกต.ประชุม 4 คน ขาดนายสมชัยเพียงคนเดียว เนื่องจากไม่เห็นด้วย ที่จะให้สันติบาลเข้ามาช่วยงานด้านการสืบสวน
ต่อมา เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม สำนักงาน กกต.มีหนังสือด่วนที่สุด ถึงผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.) เกี่ยวกับการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติสันติบาลที่ช่วยปฏิบัติงาน โดยอ้างคำสั่ง กกต. ที่ 358/2550 เรื่องการแต่งตั้ง เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ลงนามโดยนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. โดยระบุให้ทางตำรวจสันติบาล ที่ได้รับการแต่งตั้งมารายงานตัว
นอกจากนี้ มีรายงานว่า เมื่อ พล.ต.ท.ระพีพัฒน์ ปาละวงศ์ ผบช.ส. ได้รับหนังสือ จึงทำหนังสือด่วนที่สุดถึง พล.ต.อ.วิเชียรพจน์ โพธิ์ศรี รองผบ.ตร. หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการเลือกตั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศรส.ลต.ตร.) ทันที เนื้อหาระบุว่า การแต่งตั้งตำรวจจากสันติบาลให้มาช่วย กกต.นั้นไม่มีการเซ็นรับทราบจาก ผอ.ศรส.ลต.ตร. แต่อย่างใด ดังนั้นการดำเนินการที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ศรส.ลต.ตร. ควรมีส่วนได้พิจารณาตกลงใจก่อนทุกครั้ง
ดังนั้น การแต่งตั้งตำรวจสันติบาลเพื่อมาช่วยงาน กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนนั้นไม่ได้ผ่าน ศรส.ลต.ตร. และการปฏิบัติหน้าที่จึงไม่เกี่ยวข้องกับศูนย์ดังกล่าว แต่เป็นการหารือร่วมกันระหว่าง กกต. และตำรวจสันติบาลโดยตรงและบุคคลที่มาช่วยงานก็ไม่ผ่านการตรวจสอบจาก สตช.ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแต่งตั้งตำรวจสันติบาล 708 นายดังกล่าวเป้นชุดสืบสวน เกิดขึ้นภายหลังที่นายสมชัยถูกโจมตีว่า ฝ่ายสืบสวนทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้นายสมชัยไม่พอใจ และไม่เข้าร่วมประชุมทุกครั้งที่ทางตำรวจสันติบาลนำสำนวนการทุจริตเข้าเสนอต่อ กกต.
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นใน กกต.ในเรื่องนี้ เปิดช่องให้พรรคพลังประชาชนร้อง ขอเปลี่ยนตัว พล.ต.ต.ชัยยะ สิริอำพันธ์กุล รองผบช.ส.หัวหน้าคณะกรรมการสืบสวนโดยอ้างว่า มีความสนิทสนมกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
จากสถานการณ์ล่าสุดยังไม่รู้ว่า ความขัดแย้งใน กกต.จะจบลงอย่างไร