วันวานเป็นอีกวันหนึ่งที่พสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศตกอยู่ในสภาพเหมือนกัน คือ เศร้าโศกเสียใจจากการสิ้นพระชนม์ของ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ แม้จะทำใจไว้บ้างแล้ว เมื่อทราบว่าพระองค์ทรงพระประชวร โดยมีประกาศสำนักพระราชวังแถลงให้ทราบเป็นระยะๆ ก็ตาม
นับเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของพสกนิกรชาวไทย หลังจากที่ปวงชนชาวไทยได้ฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันอย่างชื่นมื่น เพราะมีความหวังว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย สามารถแก้ไขทุกปัญหาที่หมักหมมอยู่มากมายได้ดีกว่ารัฐบาลรักษาการ ที่รักษาการจริงๆ มาครึ่งค่อนปี
เพราะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย ย่อมตระหนักดีว่าได้เข้ามาสู่อำนาจ ได้บริหารราชการแผ่นดินนั้น ประชาชนเป็นผู้มอบอำนาจให้ จึงต้องฟังเสียงประชาชน แก้ไขปัญหาให้กับประชาชน
ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่อยู่ในสามัญสำนึกของนักการเมืองทุกคน ไม่จำเป็นต้องประกาศเป็นวาระประชาชน อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์ภูมิอกภูมิใจกันนักหนาที่คิดคำนี้ขึ้นมาได้ แต่คนทั่วๆ ไปฟังไม่รู้เรื่อง
นี่คือส่วนดีที่เห็นได้ชัดในการปกครองระบอบประชาธิปไตย
โดยปีนี้ นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ได้ใช้วันที่ 31 ธันวาคม 2550 วันส่งท้ายปีเก่า แถลงการณ์จัดตั้งรัฐบาล เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่เลือกพรรคพลังประชาชนให้ชนะพรรคประชาธิปัตย์อย่างท่วมท้น
เพราะตลอดระยะเวลาที่ผลการเลือกตั้งออกมา แทนที่บรรยากาศการเมืองจะเข้าสู่ภาวะปกติ เหมือนอดีตที่ผ่านมา กลับเกิดความสับสนในหมู่ประชาชนที่สนใจการเมือง อันเกิดจากการไม่รู้จักแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่พยายามทุกวิถีทางในการชิงจัดตั้งรัฐบาล ทั้งๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้เลือกตั้งแบบไม่มีราคา
ความสับสนที่เกิดขึ้นในแวดวงการเมืองนั้น ได้ขยายวงกว้างออกไป โดยเพื่อนของเอกฉัตร มานั่งคุยให้ฟังว่า ทุกๆ ปีจะพาครอบครัวไปฉลองปีใหม่ที่ต่างจังหวัดตามกระแสนิยม แต่ปีนี้ลูกเมียอยากจะฉลองปีใหม่ที่กรุงเทพฯ ไม่อยากจะฝ่าจราจรที่ติดขัด ไม่อยากจะไปแย่งกันกินแย่งกันใช้กับคนที่ไปฉลองกันที่ต่างจังหวัด
ที่สำคัญ คนที่อยู่ในกรุงเทพฯ จะได้พบกับการจราจรโล่ง เดินทางไปไหนมาไหนสะดวก ปีหนึ่งมีแค่ 2 วันเท่านั้น คือ วันสงกรานต์กับวันปีใหม่
ใครที่ฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่กรุงเทพฯ ก็จะได้บรรยากาศแบบนี้
เพื่อนคนดังกล่าวเล่าให้ฟังว่า การที่ไม่เดินทางไปฉลองปีใหม่ที่ต่างจังหวัดปีนี้ แม้จะได้เห็นจราจรคล่องตัว แต่ไปต่างจังหวัดดีกว่า
เพราะไปต่างจังหวัดจะไม่ต้องรับรู้ข่าวสารการบ้านการเมือง แต่อยู่ในกรุงเทพฯ ต้องนั่งดูทีวีกับครอบครัว โดยเฉพาะรายการข่าวของสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง ปกติทั่วๆ ไปจะไม่มีการจัดระดับอายุคนดู
ในวันที่ 31 ธันวาคม ตอนบ่ายมีภาพข่าว นายสมัคร สุนทรเวช ร่วมกับพรรคประชาราช พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และพรรคมัชฌิมาธิปไตย แถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาล โดยโทรทัศน์ได้นำเสนอข่าวดังกล่าวทันทีที่นายสมัครแถลงข่าว แทรกในช่วงเวลาของรายการบันเทิง
เท่ากับว่าลูกของเขาแม้ไม่ได้สนใจกับข่าวการเมืองมากนัก ก็ได้รับรู้การจัดตั้งรัฐบาลในระดับหนึ่ง
แต่...ไม่ถึงชั่วโมง กลับมีภาพข่าว นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า การร่วมกันแถลงข่าวเป็นการจัดฉาก พรรคประชาธิปัตย์ยังมีหวังที่จะจัดตั้งรัฐบาล เพราะตัวเลขจำนวน ส.ส. ยังไม่นิ่ง อาจจะมีการให้ใบแดงกับพรรคพลังประชาชน 60 ใบ สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงทันที
ยุ่งละสิ...เพื่อนคนดังกล่าวต้องนั่งอธิบายให้ลูกฟังว่า นี่คือเกมการเมืองที่ผิดปกติ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย นับตั้งแต่ที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
เพื่อนคนดังกล่าวจึงเสนอแนะว่า ต่อไปนี้หาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยังเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และยังต้องโผล่หน้ามาออกทีวีทุกวัน ในช่วงภาคข่าวโทรทัศน์ทุกช่อง ควรจะจัดระดับอายุคนดู หรือไม่ก็ควรจะขึ้นตัวอักษรว่า
“ควรใช้วิจารณญาณในการชม”
เยาวชนของชาติจะได้แยกแยะได้ถูกต้องว่าในแวดวงการเมืองนั้น เขาไม่รู้จักแพ้รู้จักชนะกัน
การแสวงหาอำนาจของนักการเมือง มักจะลืมเรื่องจริยธรรม คุณธรรม และความถูกต้องชอบธรรม
ถึงวันนี้มีเพียง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับสมุนไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังมั่นใจว่าการเมืองยังพลิกผันได้ แต่คนทั่วๆ ไปเขามั่นใจกันว่า พรรคพลังประชาชนได้จัดตั้งรัฐบาลแน่นอน แม้คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ยังไม่รับรอง ส.ส. ครบถ้วนก็ตาม แต่ตัวเลขจำนวน ส.ส. คงจะไม่พลิกผันมากนัก เนื่องจากวันนี้สายตาของประชาชนกำลังจ้องไปที่ กกต. กำลังทำอะไรกันอยู่
คงไม่กล้าตอบแทนบุญคุณคนที่ตั้งมาจนลืมนึกถึงเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเอง
แน่นอน การที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ทำงานถนัดโดยไม่ต้องซ้อม โดยการเป็นฝ่ายค้านอย่างโดดเดี่ยวนั้น ย่อมเป็นประโยชน์กับประชาชนที่ได้พรรคการเมืองฝ่ายค้านอาชีพมาตรวจสอบรัฐบาล
แต่เกรงว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเล่นบทฝ่ายแค้นแทนฝ่ายค้าน เพียงประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น
นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วง
โต๊ะข่าวประชาทรรศน์