เหล็กใน
หลังผลเลือกตั้งออกมาเป็นทางการ
ถ้าใครที่ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของพรรคพลังประชาชน หรือพรรคไทยรักไทยเดิม
คงอดผิดหวังแทนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ ที่ต้องชวดเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไปอย่างน่าเสียดาย
หลังการยึดอำนาจ 19 กันยาฯ 49
ตอนนั้นใครต่อใครหลายคนก็คาดหมายว่าถ้ามีการเลือกตั้งใหม่เมื่อไหร่ พรรคประชาธิปัตย์น่าจะได้รับเลือกเข้ามาชนิดถล่มทลาย
เส้นทางสู่เก้าอี้นายกฯ ของนายอภิสิทธิ์ น่าจะสดใส และไม่ต้องเปลืองแรงมาก
เนื่องจากก่อนหน้านั้นบนเวทีการเมือง นายอภิสิทธิ์ ได้รับการจัดอันดับความรู้ความสามารถให้เป็นรองแค่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพียงคนเดียว
จะมีอีกคนก็คือนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
ดังนั้น พอเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร พ.ต.ท.ทักษิณต้องอพยพครอบครัวไปอยู่ต่างประเทศ
พรรคไทยรักไทยคู่ปรับก็โดนตุลาการรัฐธรรมนูญสั่งยุบทิ้ง
นายสมคิด ติดอยู่ในบ้านเลขที่ 111 ต้องเว้นวรรคการเมืองนาน 5 ปี
รัศมีของนายอภิสิทธิ์ จึงเปล่งประกายเจิดจรัส
แฟนๆ ประชาธิปัตย์ต่างพากันมั่นอกมั่นใจ หนนี้นายอภิสิทธิ์ไม่เป็นนายกฯ ไม่ได้แล้ว
แต่ขณะเดียวกันก็มีเสียงกระแหนะกระแหนสอดแทรกให้ได้ยินว่า ถ้าลองทหารยึดอำนาจให้แล้ว ทักษิณถูกขับไล่ไปเรียบร้อย พรรคไทยรักไทยโดนยุบ
ทุกอย่างลงล็อกเสียขนาดนี้ ถ้าอภิสิทธิ์ยังไม่ได้เป็นนายกฯ ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
ก็นั่นแหละ สุดท้ายก็ไม่รู้จะว่ายังไงจริงๆ
ถึงวันนี้บอกได้เลยว่าโอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล หรือโอกาสที่นายอภิสิทธิ์ จะได้เป็นนายกฯ คนที่ 25 นั้น
แทบไม่มีเปอร์เซ็นต์เหลืออยู่เลย
เพราะดูจากท่าทีพรรค "ตัวแปร" ทั้งหลาย พร้อมจะโดดเข้าร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนด้วยกันทั้งนั้น
รวมถึงพันธมิตรฝ่ายค้านเก่าอย่างพรรคชาติไทย
นั่นแหละ "ปลาไหล" ตัวจริงเป็นๆ
ดูจากสภาพการณ์ทั้งหลายทั้งปวงตอนนี้
การฝากความหวังไว้ที่ กกต.ว่าจะชักใบแดงให้พรรคพลังประชาชน 40-50 ใบ ก็ดูเหมือนจะเลื่อนลอยอยู่สักหน่อย
หรือจะตั้งหน้าตั้งตาสาปแช่งพรรคพลังประชาชนให้โดนยุบทิ้งอีกรอบ จะยิ่งเลยเถิดเข้าไปใหญ่
พรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ ทำได้อย่างเดียวคือยอมจำนน
เอาเวลาไปนั่งคิดทบทวนว่าอะไรคือจุดอ่อนของพรรคที่ทำให้พ่ายแพ้ทั้งที่มี "ตัวช่วย" มากมาย
การออกมาดิ้นรนตีรวนของแกนนำพรรคบางคนควรหยุดได้แล้ว
ขืนมากไปกว่านี้ จากพรรคที่น่าเห็นอกเห็นใจ
อาจจะกลายเป็นพรรคที่น่ารำคาญไป
ถ้าใครที่ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของพรรคพลังประชาชน หรือพรรคไทยรักไทยเดิม
คงอดผิดหวังแทนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ ที่ต้องชวดเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไปอย่างน่าเสียดาย
หลังการยึดอำนาจ 19 กันยาฯ 49
ตอนนั้นใครต่อใครหลายคนก็คาดหมายว่าถ้ามีการเลือกตั้งใหม่เมื่อไหร่ พรรคประชาธิปัตย์น่าจะได้รับเลือกเข้ามาชนิดถล่มทลาย
เส้นทางสู่เก้าอี้นายกฯ ของนายอภิสิทธิ์ น่าจะสดใส และไม่ต้องเปลืองแรงมาก
เนื่องจากก่อนหน้านั้นบนเวทีการเมือง นายอภิสิทธิ์ ได้รับการจัดอันดับความรู้ความสามารถให้เป็นรองแค่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพียงคนเดียว
จะมีอีกคนก็คือนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
ดังนั้น พอเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร พ.ต.ท.ทักษิณต้องอพยพครอบครัวไปอยู่ต่างประเทศ
พรรคไทยรักไทยคู่ปรับก็โดนตุลาการรัฐธรรมนูญสั่งยุบทิ้ง
นายสมคิด ติดอยู่ในบ้านเลขที่ 111 ต้องเว้นวรรคการเมืองนาน 5 ปี
รัศมีของนายอภิสิทธิ์ จึงเปล่งประกายเจิดจรัส
แฟนๆ ประชาธิปัตย์ต่างพากันมั่นอกมั่นใจ หนนี้นายอภิสิทธิ์ไม่เป็นนายกฯ ไม่ได้แล้ว
แต่ขณะเดียวกันก็มีเสียงกระแหนะกระแหนสอดแทรกให้ได้ยินว่า ถ้าลองทหารยึดอำนาจให้แล้ว ทักษิณถูกขับไล่ไปเรียบร้อย พรรคไทยรักไทยโดนยุบ
ทุกอย่างลงล็อกเสียขนาดนี้ ถ้าอภิสิทธิ์ยังไม่ได้เป็นนายกฯ ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
ก็นั่นแหละ สุดท้ายก็ไม่รู้จะว่ายังไงจริงๆ
ถึงวันนี้บอกได้เลยว่าโอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล หรือโอกาสที่นายอภิสิทธิ์ จะได้เป็นนายกฯ คนที่ 25 นั้น
แทบไม่มีเปอร์เซ็นต์เหลืออยู่เลย
เพราะดูจากท่าทีพรรค "ตัวแปร" ทั้งหลาย พร้อมจะโดดเข้าร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนด้วยกันทั้งนั้น
รวมถึงพันธมิตรฝ่ายค้านเก่าอย่างพรรคชาติไทย
นั่นแหละ "ปลาไหล" ตัวจริงเป็นๆ
ดูจากสภาพการณ์ทั้งหลายทั้งปวงตอนนี้
การฝากความหวังไว้ที่ กกต.ว่าจะชักใบแดงให้พรรคพลังประชาชน 40-50 ใบ ก็ดูเหมือนจะเลื่อนลอยอยู่สักหน่อย
หรือจะตั้งหน้าตั้งตาสาปแช่งพรรคพลังประชาชนให้โดนยุบทิ้งอีกรอบ จะยิ่งเลยเถิดเข้าไปใหญ่
พรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ ทำได้อย่างเดียวคือยอมจำนน
เอาเวลาไปนั่งคิดทบทวนว่าอะไรคือจุดอ่อนของพรรคที่ทำให้พ่ายแพ้ทั้งที่มี "ตัวช่วย" มากมาย
การออกมาดิ้นรนตีรวนของแกนนำพรรคบางคนควรหยุดได้แล้ว
ขืนมากไปกว่านี้ จากพรรคที่น่าเห็นอกเห็นใจ
อาจจะกลายเป็นพรรคที่น่ารำคาญไป