“สมชัย” ประกาศสู้ต่อ ยังไม่ถอดใจลาออกจนกว่าจะทำงานให้ลุล่วง ระบุงานต้องมาก่อน ขณะที่กลุ่ม นปช. ชุมนุมให้กำลังใจ พร้อมจี้ กกต.ทำงานด้วยความเป็นกลาง อย่าเลือกปฏิบัติหรือจ้องเล่นงานเฉพาะบางพรรคการเมือง ขณะเดียวกันเตรียมประกาศรับรอง ส.ส. ชุดแรกวันนี้ คาดรับรองได้กว่า 100 คน “สดศรี” เอาอีก ระบุกดดัน กกต.มาก หากลาอกหมดจะไม่มีการรับรองส.ส.
การทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในวันที่ 2 มกราคม ผ่านมา ยังคงดำเนินไปอย่างตอเนื่องท่ามกลางกระแสความขัดแย้งภายใน จากกรณีของนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านกิจการสืบวนสอบสวนและวินิจฉัย ที่มีข่าวลาออกและขอกลับไปทำหน้าที่เดิมที่ศาลยุติธรรม รวมถึงความต่อเนื่องกรณีแจกใบแดงให้กับว่าที่ ส.ส. 3 คน ใน จ.บุรีรัมย์
โดยล่าสุดมีประเด็นแฉออกมาอีกว่า มีความพยายนามกดดันให้ระงับการประกาศรับรอง ส.ส.บุรีรัมย์ทั้ง 4 เขต แต่ กกต.ก็ยังคงยืนกรานว่าได้ทำหน้าที่เป็นกลางแล้ว ขณะที่ พิจารณาแล้วใบเหลือง-ใบแดง 13 เรื่อง รอดหมด และพร้อมเตรียมประกาศรับรอง ส.ส. ชุดแรกภายในวันที่ 3 ม.ค.ไม่ต่ำกว่า 100-200 คน
ทั้งนี้ นายสมชัย จึงประเสริฐ กล่าวถึงกระแสข่าวการลาออก ว่า หลังจากได้รับกำลังใจจากหลายฝ่าย ทำให้มีกำลังใจปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่ของ กกต.ให้สำเร็จ เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ รวมถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้จัดการเลือกตั้งให้ยุติธรรม และลุล่วง ซึ่งตนก็รับใส่เกล้าและที่ผ่านมาก็จัดการเลือกตั้งได้ดีและควรทำให้สำเร็จ
ส่วนที่หลายฝ่ายจับตามองงานด้านสืบสวนสอบสวนรวมถึงมองว่าการสืบสวนไม่เป็นกลาง นายสมชัย กล่าวว่า การจับตามองจากหลายฝ่ายเป็นเรื่องดี ซึ่งหากไม่มีใครสนใจกลับจะเป็นเรื่องแปลก อย่างไรก็ตาม ฝ่ายสอบสวนเป็นกลาง อย่าเอาความคิดเก่าๆ มาตัดสิน คือต้องเข้าใจว่า หน้าที่ด้านสืบสวนของ กกต. ไม่ได้มีหน้าที่สืบสวนจริงๆ แต่มีหน้าที่อ่านสำนวนและนำเสนอสำนวนให้ กกต.ทราบ ส่วนพนักงานสืบสวนในพื้นที่ กกต.ใช้ตำรวจจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และแต่งตั้งถึง 1,200 คน ซึ่งได้เสียงบประมาณอบรมไปเป็นจำนวนมาก
“ปีใหม่ ก็อยากเห็นการพูดจาไพเราะ ภาษาดอกไม้ แต่ดอกไม้กับงานไปด้วยกันไม่ได้ ซึ่งงานต้องมาก่อน แล้วดอกไม้ค่อยตามมา” นายสมชัย กล่าว
ขณะที่นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านกิจการบริหารการเลือกตั้ง กล่าวเชื่อมั่นว่า นายสมชัย จะไม่ละทิ้งหน้าที่ในภาวะวิกฤติตอนนี้ เพราะจะทำให้เกิดปัญหาในการทำงานและยืนยันไม่มีปัญหาความขัดแย้งภายใน กกต.
ส่วนกรณีการแจกใบแดงให้กับ ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ 3 คน ที่ถูกมองว่าไม่เป็นธรรมนั้น นายประพันธ์ กล่าวว่า ไม่เป็นความจริง เพราะกกต.ได้มอบหมายให้คณะกรรมการสืบสวนที่ จ.บุรีรัมย์ แจ้งข้อกล่าวหาและรับการชี้แจง ซึ่งทั้ง 3 คน ก็ได้รับทราบและก็มีหนังสือชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดจึงไม่ให้ทั้ง 3 คน เข้าชี้แจงต่อกกต.กลางเช่นเดียวกับกรณีของเขตเลือกตั้งอื่นๆ ทั้งที่เป็นกรณีเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายประพันธ์กล่าวว่า ขณะนี้สำนวนต่างๆ ได้มอบหมายให้ทางจังหวัดเป็นคนชี้ข้อกล่าวหาทั้งหมด เพราะต้องยอมรับว่าไม่มีเวลาแล้ว และกรณีต่างๆ ที่มาชี้แจงต่อกกต.กลางขณะนี้เป็นคำสั่งที่กกต.นัดหมายก่อนหน้านี้ ซึ่งหากผู้สมัครคนใด ต้องการที่จะเข้าชี้แจงต่อกกต.กลาง ก็สามารถแจ้งเข้ามาได้ โดยกกต.ก็จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป
“ที่มีข่าวว่า กกต.จะแยก 50-60 ใบแดง ไม่รู้เอาข่าวมาจากไหน เพราะกกต.ทำตามพยานหลักฐานที่มีและเป็นกลาง และจะเอาที่ไหนไปให้ขณะนั้น” นายประพันธ์กล่าว
ขณะที่ นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า ตนเพิ่งได้รับรายงานจากประธาน กกต.บุรีรัมย์ และกำลังตรวจสอบ พร้อมทั้งจะสำเนารายงานให้กกต.ทุกคนได้ดู โดยเรื่องนี้เป็นเหตุที่ต้องมาพิจารณาว่า เกิดจากอะไร ซึ่งหากประชาชนไม่เข้าใจถึงกระบวนการต้องรีบชี้แจงให้เข้าใจ เพื่อลดแรงกดดันให้เบาลง
“เราก็ระวังเรื่องความเป็นกลาง และไม่มุ่งที่จะทำร้ายหนึ่งพรรคการเมืองใด การพิจารณาต้องทำตามพยานหลักฐาน อีกทั้งการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งยังต้องส่งสำนวนให้คณะกรรมการตรวจสอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาด้วย”
อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกันนี้ ที่ด้านหน้าอาคารศรีจุลพทรัย์ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ผู้ชุมนุมประมาณ 50 กว่าคน นำโดย นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข เดินทางมาชุมนุมสนับสนุน การทำงานของนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต. โดยไม่ต้องการให้ลาออกจาก กกต. และขอให้ กกต.ทำงานด้วยความเป็นกลางด้วย
นายสุรชัย ได้กล่าวปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียง เสนอ 4 ข้อเรียกร้องต่อ กกต. ประกอบด้วย 1.ให้ กกต.ดำเนินการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และหากมีการแทรกแซงก็ให้ กกต.ออกมาเปิดเผยต่อสาธารณะ 2. การแจกใบเหลือง ใบแดง ต้องให้โอกาสผู้ถูกร้องเรียนชี้แจง และต้องไม่เลือกปฏิบัติ
3. ขอคัดค้านการพูดของนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง ที่ระบุว่าหาก กกต.ถูกกดดันมากจะลาออก และส่งผลให้ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ การพูดเช่นนี้ถือเป็นอันตรายต่อเสถียรภาพทางการเมืองและการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย และ 4. ขอเรียกร้องให้ คมช. และอำนาจนอกระบบทุกกลุ่มทุกคนยุติการแทรกแซงทางการเมือง
นายสุรชัย ยังเปิดเผยภายหลังจาก กกต.ยกคำร้องคัดค้านผลการเลือกตั้ง ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 4 ด้วยว่า ตนได้หารือกับทนายความแล้ว เบื้องต้นจะฟ้องร้องดำเนินคดีนายมาโนชญ์ วิชัยกุล อดีต ส.ส.เขต 4 นครศรีธรรมราช ในฐานะผู้อำนวยการเขตเลือกตั้งที่ 4 นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ที่ขึ้นกล่าวปราศรัยหาเสียงด้วยการโจมตีตนเอง โดยมีผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์อยู่บนเวทีทั้งสองคนคือ นายสุรเชษฐ์ มาศดิตถ์ และ น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล
สำหรับนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจกรรมพรรคการเมือง เปิดเผยว่า การประชุม กกต.ในวันนี้ (2 ม.ค.) จะเป็นการพิจารณาประกาศรับรอง ส.ส.ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถประกาศรายชื่อในรอบแรกได้วันที่ 3 ม.ค.51 โดยจะเป็น ส.ส.ในระบบสัดส่วน เนื่องจากไม่มีปัญหาการร้องเรียนเข้ามาที่ กกต. คาดว่า รอบแรกจะประกาศออกมาก่อนประมาณ 100-200 คน
ในขณะที่การประกาศรับรอง ส.ส.แบบแบ่งเขตจะทยอยประกาศรับรองไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 22 ม.ค. และยังจะมีการพิจารณาสำนวนคำร้องต่างๆ ที่ยังทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วย
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นางสดศรี ได้ออกมากล่าวด้วยอารมณ์ว่า หาก กกต.ทั้ง 5 คนถูกโจมตีมาก แล้วทุกคนลาออกหมด จะส่งผลให้ไม่มีการประกาศรับรอง ส.ส. และทุกอย่างหยุดนิ่งหมด ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ อยากถามว่าต้องการเช่นนี้หรือไม่
“ใครที่สงสัยการทำหน้าที่ของ กกต. 4 คน ไม่ถูกต้องควรยื่นเรื่องฟ้องศาลฎีกา เพื่อให้ศาลสั่งระงับการทำหน้าที่ของ กกต.ชั่วคราว ไม่ใช่มาด่า กกต. ผ่านสื่อ แล้วก็ไม่ทราบว่าายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ไปเอาข่าวมาจากไหนว่า กกต. จะแจกใบแดงพรรคพลังประชาชนถึง 60 ใบ เพราะเราต้องพิจารณาตามหลักฐานและระเบียบกฎเกณฑ์ เราไม่ใช่มีหน้าที่ออกหวยหรือเบอร์ตามที่ใครจะกะเกณฑ์ได้” นางสดศรีกล่าว
นายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม เปิดเผยถึงกรณีเครือข่ายประชาชนเพื่อการเลือกตั้ง หรือพีเน็ตระะบุมีการซื้อเสียงที่ จ.มหาสารคาม และ กกต.จะแจกใบแดงได้ถึง 6 ใบนั้น พบว่า หลักฐานอ่อนสาวไปไม่ถึง และพยานไม่ให้ความร่วมมือจึงจำเป็นต้องยกคำร้องไป
สำหรับกรณีว่าที่ ส.ส.แจกซีดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กกต.ลงมติว่าเป็นความผิดนั้น ตามกฎหมายแล้ว กกต.ไม่มีอำนาจตัดสินเรื่องยุบพรรค ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด กกต. ทำได้แค่ชี้มูลว่ากรรมการบริหารพรรคมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดหรือไม่
“เรื่องแจกซีดี เนื้อหาเกี่ยวกับ พ.ต.ท. ทักษิณ ถือเป็นคนนอกไม่เกี่ยวกับพรรคเลย แล้วเอามาแจกทำไม และยังมีราคาชัดเจน 99 บาท ทำผิดกฎหมายคือการให้ทรัพย์ หรือเพื่อจูงใจ แต่ถามว่าพรรครู้เรื่องหรือไม่ กรรมการบริหารพรรครู้หรือไม่ รวมถึงประเด็นนายยงยุทธ หากสอบแล้วไม่เกี่ยวก็รอดตัวไป แต่หากสอบแล้วเกี่ยวกับนายยงยุทธ หรือเกี่ยวถึงขั้นยุบพรรค กกต.ก็ต้องส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ” นายสุเมธ ระบุ
อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 2 ม.ค. ที่ผ่านมา มีรายงานข่าวแจ้งว่า ที่ประชุม กกต.ได้มีการนำเรื่องการพิจารณาให้ใบเรื่อง-ใบแดง ตามที่มีการร้องเรียนมาจำนวน 13 เรื่อง เข้าสู่พิจารณา ซึ่งหลังการพิจารณาปรากฎว่า ทั้ง 13 เรื่อง ที่ประชุม กกต.ยกคำร้องไม่มีการแจกใบเหลือง-ใบแดงทั้งหมด
ด้านนายทรงศักดิ์ ทองศรี ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 2 พรรคพลังประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานภาคอีสาน และเป็นพี่ชายของนายรุ่งโรจน์ ว่าที่ ส.ส. ที่ถูกใบแดง ได้ออกมาเปิดเผยว่า ทราบมาว่ากำลังมีความพยายามกดดันให้ กกต.กลางระงับการรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.บุรีรัมย์ ทั้ง 4 เขตไว้ก่อน โดยมีการสร้างหลักฐานพยานเท็จของผู้สมัครบางพรรคเพื่อเอาผิดกับว่าที่ ส.ส. พรรคพลังประชาชน และมีตำรวจรู้เห็นด้วย ซึ่งสอดคล้องกับคำขู่ที่พวกตนได้รับก่อนเลือกตั้ง และขณะนี้ได้ส่งหนังสือพร้อมหลักฐานการสร้างพยานเท็จใส่ร้ายให้ กกต.กลางแล้ว
อีกด้านหนึ่ง ที่ จ.บุรีรัมย์ ว่าที่ ร.ต.ทวี ชุนเกาะ รักษาการ ผอ.กต.บุรีรัมย์ หลังจากได้รับรายงานว่า พยาน 2 รายใน อ.พลับพลาชัย จ.บุรีรัมย์ ที่นำเงินซื้อเสียงของหัวคะแนนพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่งมามอบให้ กกต.บุรีรัมย์ ตั้งแต่วันที่ 21 ธ.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากเกรงว่าจะผิดกฎหมาย ต่อมาวันที่ 24 ธ.ค. พยาน 2 รายดังกล่าวได้ถูกชายฉกรรจ์อุ้มหายตัวไป ซึ่งชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ได้เข้าแจ้งความที่ สภ.พลับพลาไชยในคืนวันเดียวกัน แต่ล่าสุดเหตุการณ์ผ่านไป 8 วันไม่มีความคืบหน้าและตำรวจยังตามตัวพยานทั้ง 2 รายนี้ไม่พบ โดยว่าที่ ร.ต.ทวี ได้สั่งให้ฝ่ายสืบสวนเรียกตัวพยานที่เหลือมาสอบข้อมูลเพิ่มเติม พร้อมกับสั่งการให้นายสมคิด สินไธสง ชุดเฉพาะกิจสืบสวนหาข่าวประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อติดตามตัวพยานทั้ง 2 รายที่ถูกอุ้มหายตัวไปกลับมาให้การกับ กกต.บุรีรัมย์ ด้วย
นอกจากนั้น ในวันเดียวกันนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.ฏ.กำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)โดยกำหนดให้มีขึ้นในวันที่ 2 มีนาคม 2551 ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสนอให้จัดการเลือกตั้ง ส.ว.จำนวน 76 คน
ขณะที่วันที่ 21 ก.พ. 2551 เป็นวันที่คณะกรรมการสรรหา ส.ว. สรรหาบุคคลจาก 5 องค์กร มาเป็น ส.ว.แบบสรรหาจำนวน 74 คน โดยรวม ส.ว.สองระบบแล้วจะเป็น ส.ว. 150 คน ตามรัฐธรรมนูญกำหนด โดย ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งจะมีวาระอยู่ในตำแหน่ง 6 ปี ส่วนส.ว.จากการสรรหาจะอยู่ในตำแหน่ง 3 ปี
ส่วนความเคลื่อนไหวทางการเมืองในวันเดียวกันนี้ บรรดาพรรคการเมืองต่างยุติบทบาทเป็นการชั่วคราว เพื่อร่วมไว้อาลัยต่อการสิ้นพระชนม์ ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
ในส่วนของพรรคพลังประชาชนที่กำหนดให้มีการประชุมกรรมการบริหารพรรค และนัดแถลงข่าวก็ได้งดการแถลง รวมทั้งยังงดการเดินทางไปยังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกต้ง (กกต.) เพื่อขอให้มีการเปลี่ยนรายงานคณะอนุกรรมการตรวจสอบใบเหลือง ใบแดงด้วย
ส่วนกำหนดการเดิมที่พรรคชาติไทยและพรรคเพื่อแผ่นดิน จะมีการแถลงร่วมกันถึงท่าทีการร่วมรัฐบาลนั้น
พรรคชาติไทยได้ยกเลิกการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค และงดกิจกรรมทางการเมืองทั้งหมด รวมถึงการประชุมร่วมกับพรรคเพื่อแผ่นดินในช่วงเย็น ที่บ้านนายวัฒนา อัศวเหม ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการการบริหารพรรคเพื่อแผ่นดินด้วย แต่อาจจะเป็นการหารือกันภายในพรรค ส่วนจะแถลงข่าวเมื่อใดนั้นต้องรอดูวันที่เหมาะสม
อย่างไรก็ดี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทย ยืนยันอีกคร้งว่าพรรคชาติไทยและพรรคเพื่อแผ่นดินมีเจตนารมย์ในการเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน โดยจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
ส่วนพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ได้ยกเลิกการประชุมในช่วงเย็น ก็ได้ใช้โอกาสดังกล่าวในการแถลงคำไว้อาลัยแด่ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ แทน
ขณะที่นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ระบุว่าจะงดการเคลื่อนไหวทา
งการเมืองตลอดทั้งสัปดาห์
ด้านนายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธข่าวที่ระบุมือที่มองไม่เห็นเข้ามาทำให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ตนบอกเพียงว่าการจัดตั้งรัฐบาล มีทั้งปัจจัยที่เห็นได้ชัดเจน คือที่นั่ง หรือจำนวน ส.ส.และปัจจัยที่อาจจะเห็นไม่ได้ชัดเจนซึ่งอาจมีหลายปัจจัยไม่ใช่เรื่องซับซ้อน
ซึ่งมือที่มองเห็นในความหมายของตัวเองเป็นรูปธรรม คือเรื่องเงินที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนมือที่มองไม่เห็นที่เป็นนามธรรม อาจจะหมายถึงพระหัตถ์ของพระสยามเทวาธิราชเจ้า ที่จะคุ้มครองประเทศไทยให้ได้คนดีมาปกครองบ้านเมือง