“สมชัย จึงประเสริฐ” ถอดใจ ไขก๊อกพ้น กกต. หลังถูกกดดันและก้าวก่ายหนัก จนถึงกับน๊อตหลุดมาแล้ว ขณะที่ 3 ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ ยื่นหนังสือคัดค้าน “ใบแดง” ระบุ กกต. กลางทำงานขัดกฎหมายเลือกตั้ง ตัดสินโดยไม่มีการสอบสวน แถมยังส่อเข้าข้างพรรคคู่แข่งจนเห็นได้ชัด แฉ! กกต.บุรีรัมย์ เคยประกาศจะแจกใบแดงผู้สมัคร พปช. ให้หมด 9 คน “หมอเลี๊ยบ” จี้เปลี่ยนตัว “ชัยยะ” ชี้วางตัวไม่เป็นกลาง
บรรยากาศการเมืองในขณะนี้นอกเหนือไปจากการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว สิ่งที่สังคมกำลังจับจ้องก็คือการทำงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพราะมีทั้งประเด็นการให้ใบเหลือง-ใบแดง ที่มีกระแสข่าวลือว่ามีใบสั่งให้จัดการให้ใบแดงกับผู้สมัครพรรคพลังประชาชนมากๆ เพื่อสกัดกั้นการจัดต้งรัฐบาล หรือแม้แต่ความขัดแย้งภายใน กกต. เอง ก็เป็นสิ่งที่สังคมกังวล และมีการเชื่อมโยงไปถึงกระแสกดดันต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาในเหลือง-ใบแดงที่กำลังดำเนนการอยู่
ในเรื่องของความขัดแย้งภายใน กกต. ที่มีข่าวออกมาเป็นระยะ โดยเฉพาะกรณีที่นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ออกมาพูดถึงการสลับความรับผิดชอบของ กกต.ทั้ง 5 คน จนนายสมชัย จึงประเสริฐ ระเบิดอารมณ์ว่า “อย่าไปฟังคนบ้า” มาแล้วนั้น กระทั่งมีการนำเอาตำรวจสันติบาลมาช่วยดูแลงานด้านสืบสวนสอบสวน ที่เป็นงานของนายสมชัย จึงมีข่าวลือตามออกมาว่านายสมชัย จะลาออกจาก กกต. นั้น
นายสมชัย กล่าวถึงเรื่องดีงกล่าวว่า ไม่มีใครมากดดันตน ส่วนที่ตนไม่เข้าร่วมประชุมกกต.ในบางครั้งก็ไม่มีอะไร เนื่องจากติดภารกิจบ้าง ไม่สบายบ้าง ไม่อยากประชุมตนก็ไม่ประชุม
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข่าวว่าน้อยใจจะลาออกจากตำแหน่ง กกต. กลับไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส นายสมชัย ยอมรับว่า ทำงานที่ศาลถนัดกว่าทำงานตรงนี้ หากศาลยอมให้กลับก็อยากจะกลับไปทำงานที่ศาล
เมื่อถามอีกว่า เป็นเพราะความขัดแย้งใน กกต.ใช่หรือไม่ นายสมชัย กล่าวว่า ไม่เห็นมีใครมาขัดแย้งกับตน และตนไม่ได้ไปขัดแย้งกับใคร เพียงแต่งานบางอย่าง ไม่ชอบและไม่อยากทำ ไม่สบายใจก็ไม่อยากทำ
เมื่อถามว่าเป็นเพราะข้อครหาเรื่องสำนวนการสอบสวนคดีทุจริตของพรรคพลังประชาชนหรือไม่ นายสมชัย กล่าวว่า ไม่เกี่ยว เขาครหากันอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา ตนทำหน้าที่ของสมบูรณ์แล้วในเรื่องของการควบคุมและจัดการเลือกตั้ง ต่อไปนี้ก็เป็นไปตามกระบวนการของการทำงาน โดย กกต.ที่เหลือ 4 คนสามารถทำงานได้อยู่แล้วและถือว่าครบองค์ประชุม อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ศาลยังไม่ได้ติดต่อกลับมา ในเรื่องที่จะให้กลับไปทำงานที่ศาล
ส่วนที่มีการมองกันว่านายสมชัย ไม่พอใจที่มีการตั้ง พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล รอง ผบช.ส. มาเป็นหัวหน้าทีมสืบสวนสอบสวนช่วยหาข่าวการทุจริตเลือกตั้งนั้น
ด้านนายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านการมีส่วนร่วม กล่าวว่า การที่ กกต. 4 คนมีมติตั้งตำรวจสันติบาลมาช่วย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวนของ กกต.มีไม่พอ จึงขอให้มาช่วยตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งแล้ว เพราะตอนนั้นมีข่าวการซื้อเสียงเยอะมาก ส่วนที่พูดกันว่านายสมชัยไม่เห็นด้วย และไม่ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งนั้น ช่วงนั้นนายสมชัยป่วย เมื่อเรื่องนี้เข้ามาในที่ประชุม กกต. 4 คน ที่ยังอยู่ก็มีมติออกมา ภายหลังนายสมชัยไม่ได้ทักท้วงอะไร
ด้านนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง ให้สัมภาษณ์ถึงการแต่งตั้ง พล.ต.ต.ชัยยะ ดังกล่าวว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผบ.ตร. เป็นผู้ส่งมาให้ รวมถึงกำลังตำรวจสันติบาลกว่า 600 นาย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนของ กกต.มีจำนวนไม่พอ หากคิดว่าพล.ต.ต. ชัยยะทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง ก็ไปร้องที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ได้โดยตรง
ด้าน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ในวันที่ 1 ม.ค. จะเข้ายื่นหนังสือต่อ กกต. เพื่อให้พิจารณาเปลี่ยนตัว พล.ต.ต. ชัยยะ เนื่องจากไม่เป็นกลาง
ส่วนกรณีการแจกใบแดงให้ผู้สมัครพลังประชาชน ที่เขต 1 บุรีรัมย์ โดยไม่มีการเรียกสอบสวน และมีแนวโน้มส่อเข้าข้างบางพรรคการเมืองชัดแจ้งนั้น
วันเดียวกันนี้ นายประกิจ พลเดช ผู้รับเลือกตั้ง ส.ส. เขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมผู้สมัครร่วมทีมได้เดินทางไปยื่นคัดค้านคำตัดสินของ กกต. พร้อมทั้งชี้แจงว่าได้มีการหารือกันแล้ว เห็นถึงความไม่เป็นธรรมอย่างชัดเจน จึงได้นำเรื่องดังกล่าวร้องเรียนต่อ กกต.
ทั้งนี้จะขอชี้แจ้งข้อกล่าวหาโดยจะยื่นเสนออ้างข้อกฎหมายใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตามมาตรา 24 ที่ระบุว่า “ในกรณีที่มีเหตุให้คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ หรือกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการโดยพลัน
ในการสืบสวนสอบสวนตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องให้โอกาสผู้ร้อง ผู้ถูกคัดค้าน หรือผู้ถูกกล่าวหา ทราบเหตุแห่งการร้อง การคัดค้าน หรือการกล่าวหา มีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงและแสดงหลักฐาน รวมทั้งต้องให้โอกาสมาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในกรณีที่ผู้ร้อง ผู้ถูกคัดค้าน หรือผู้ถูกกล่าวหา ไม่มีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงหลักฐาน หรือไม่มาให้ถ้อยคำ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้ถือว่าผู้นั้นสละสิทธิในการชี้แจง แสดงหลักฐาน หรือให้ถ้อยคำ และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการต่อไปได้
กรรมการการเลือกตั้งแต่ละคนที่ลงมติวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องใดต้องลงลายมือชื่อในหนังสือลงมติในเรื่องนั้น และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดทำคำวินิจฉัยชี้ขาดซึ่งต้องทำเป็นหนังสือระบุข้อเท็จจริงและเหตุผล พร้อมทั้งลงลายมือชื่อของกรรมการการเลือกตั้งทุกคนที่พิจารณาวินิจฉัย
ในกรณีที่กรรมการการเลือกตั้งผู้ใดลงมติวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องใดแล้ว แต่ยังมิได้ลงลายมือชื่อในคำวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องนั้น เนื่องจากพ้นจากตำแหน่งหรือมีเหตุจำเป็นอื่นที่ไม่อาจลงลายมือชื่อได้ให้ประธานกรรมการการเลือกตั้งบันทึกเหตุนั้นไว้ในคำวินิจฉัยชี้ขาดแทนการลงลายมือชื่อของกรรมการการเลือกตั้งผู้นั้น แต่ถ้าเป็นกรณีที่ประธานกรรมการการเลือกตั้งและกรรมการการเลือกตั้งอีกจำนวนหนึ่งไม่อาจลงลายมือชื่อได้ ให้กรรมการการเลือกตั้งเท่าที่เหลืออยู่เป็นผู้บันทึกเหตุ และถ้าเป็นกรณีที่กรรมการการเลือกตั้งทั้งคณะไม่อาจลงลายมือชื่อได้ ให้เลขาธิการเป็นผู้บันทึกเหตุนั้น
วิธีการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาด ตลอดจนการยื่นคำร้องต่อศาลให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด”
จะเห็นได้ว่าข้อกฎหมายที่กล่าวมานี้ กกต.จะต้องมีการเรียกผู้สมัครที่มีเหตุให้ต้องสงสัยเข้าไปชี้แจ้งก่อน ทั้งนี้จะเข้ายื่นฟ้องต่อกฤษฎีกา เพื่อขอความเป็นธรรมด้วย
นายประกิจ กล่าวต่อไปว่าได้มีการปรึกษานักกฎหมายหลายๆ คน ซึ่งทางนักกฎหมายเองก็ตอบตรงกันว่าเกิดความไม่ชอบด้วยกฎหมาย และหากจะอ้างมาตรา 19 จาก พ.ร.บ.ฉบับเดียวกัน ที่มีการเขียนถึงการมอบหมายให้ กกต.จังหวัด ทำหน้าที่แทน กกต.กลาง ก็ต้องหาถ้อยคำการมอบอำนาจ และก็ดูจะไม่ชอบธรรมตามมาตรา 24 อยู่ดี
ทั้งนี้ ยังเห็นว่าผู้ร้องคัดค้านครั้งนี้เป็นผู้สมัครพรรคเพื่อแผ่นดิน พยานทั้ง 38 ปาก ก็ได้ชี้แจงปฏิเสธการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น จึงเข้าใจว่าน่าจะถูกกลั่นแกล้งจากผู้สมัครพรรคดังกล่าว ส่วนทางกกต.จังหวัดกลับเชื่อข้อมูลเท็จเหล่านั้นอย่างสนิทใจ ส่งผลให้เกิดข้อสงสัยว่า กกต.ไม่วางตัวเป็นกลาง และไม่เป็นธรรม
“กกต. เอียงข้างมาตั้งแต่เบื้องต้นแล้ว เพราะประกาศว่าสามารถให้ใบแดงผู้สมัคร ส.ส. พรรคพลังประชาชนทั้ง 9 คนที่จ.บุรีรัมย์ได้ แสดงว่ามีธงไว้เรียบร้อยแล้ว แต่รอดูผลการเลือกตั้งก่อน คือถ้าผู้สมัคร ส.ส. พรรคอื่นได้ไปก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพรรคพลังประชาชนได้ถึงจะมาเล่นงาน”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า คาดหวังจะได้รับความเป็นธรรมจาก กกต.กลางมากน้อยแค่ไหน นายประกิจ กล่าวว่า กกต. กลางน่าจะเลือกดูที่เหตุผลมากกว่า อย่างไรก็ตาม จะต้องสู้ทางกฎหมายอย่างถึงที่สุดเพราะกรณีนี้ถือว่าเป็นการประหารชีวิตของตนทางการเมือง ในขณะที่การประหารชีวิตจริงๆ ยังต้องมีการสืบถามพยาน แต่เหตุดังกล่าวยังไม่มีการสืบพยาน หรือสอบปากคำข้อชี้แจงของผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชาชน เลยสักคน เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่ง
นายประกิต กล่าวเสริมว่าได้ทราบว่าเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ก่อนการเลือกตั้งที่ผ่านมา มีการประชุมเรื่องสอบสวนกรณีต่างๆ หลายกรณี แต่กลับไม่มี กกต.บุรีรัมย์คนไหนจะออกมาบอกว่าพบการทุจริตเห็นสมควรให้ใบแดงกับพรรคพลังประชาชนเลย
แต่พอวันที่ 24 ธ.ค. หลังการเลือกตั้ง 1 วัน กกต.บุรีรัมย์กลับประกาศแจ้งข้อกล่าวหา จึงเกิดข้อสงสัย เนื่องจากทางพรรคเคารพกฎหมายที่สุด ทั้งยังเตรียมใจมาก่อนวันเลือกตั้งอีกว่าอาจจะเกิดกรณีดังกล่าวขึ้น จึงพยายามหาเสียงทุกวิถีทางที่ดำเนินไปอย่างถูกกฎหมาย
“ผมเคยให้สัมภาษณ์สื่อหลายๆ สื่อ ว่าผมไม่เคยเข้าไปให้ปากคำต่อ กกต.บุรีรัมย์เลย จนเมื่อถึงวันที่ 27 ธันวาคม ก็ยังไม่มีถ้อยคำจากผมเลย ผมจึงต้องแจ้งในคำให้การนี้ต่อ กกต.กลาง เพราะกลัวว่าไม่เกิดความชอบธรรม”
นอกจากนี้ นายประกิจ เปิดเผยว่าได้มีการพูดคุยกับนายกองพัน ภายหลังเรื่องที่เกิดด้วย โดย นายกองพันยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกิจกรรมใดๆ ทางการเมืองมานานแล้ว ตั้งแต่สอบตก อบต. ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่มีส่วนรู้เห็นแต่อย่างใด
นายประกิจ รับว่าส่วนตัวรู้จักกับนายกองพันจริง เพราะนายกองพันเคยมารับจ้างทำอ้อยให้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งโดยส่วนตัวเห็นว่าหากคนที่เคยสอบตก อบต. ไม่น่าจะสามารถพูดคำมั่นสัญญาให้ชาวบ้านเป็นร้อยๆ คนเชื่อถือได้ จึงเป็นไปไม่ได้ว่านายกองพันจะเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องดังกล่าวได้
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจะเข้ายื่นเรื่องร้องขอต่อ กกต. กลาง และกฤษฎีกาแล้ว จะเดินทางไปยังผู้ตรวจการรัฐสภา และกลุ่มสมาพันสิทธิมนุษยชนอีกด้วย
ขณะที่วันเดียวกันนี้ได้มีการเรียกนายประสพ บุษราคัม และนายจักรพรรดิ ไชยสาส์น ว่าที่ ส.ส.เขต 3 อุดรธานี พรรคพลังประชาชน ชี้แจงข้อกล่าวหาเรื่องแจกซีดี และซื้อเสียงต่อที่ประชุมใหญ่ กกต. แต่ยังไม่มีการตัดสินโดยให้เวลาไปรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมและกลับมาชี้แจงภายใน 6 วัน
นอกจากนี้ ยังมีสำนวนใหญ่ เช่น จับหัวคะแนนพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมเงินสดกว่า 1.3 ล้านบาท ที่ จ.เพชรบูรณ์ ที่ยังไม่มีการพิจารณา และกรณีซื้อเสียงที่ จ.อุทัยธานี