การสวมหมวก 2 ใบระหว่างการทำหน้าที่รองผู้บังคับการกองบัญชาการตำรวจสันติบาล และประธานคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวน กกต.ของ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล จะเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง
หาก พล.ต.ต.ชัยยะ ไม่ได้สัมพันธ์ใกล้ชิดกับอดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เคยเคลื่อนไหวต่อต้าน "รัฐบาลทักษิณ" ตามที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน (พปช.) กล่าวอ้าง
โดยให้เหตุผลว่าการพิจารณาสืบสวนสอบสวนการทุจริตการเลือกตั้ง ไม่เป็นกลาง และไม่เป็นธรรมต่อ พปช. ที่แปรสภาพมาจากพรรคไทยรักไทย
พปช.จึงยื่นหนังสือถึง กกต.เพื่อขอให้เปลี่ยนตัว พล.ต.ต.ชัยยะ จากการเป็นประธานคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าว ซึ่งประเด็นนี้ กกต.และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังโยนเผือกร้อนกัน
เรื่องนี้ถือเป็นประเด็นร้อนตลอดห้วงสัปดาห์ เพราะนั่นหมายถึง...
โอกาสภายใต้ความหวังริบหรี่ของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในการช่วงชิงจัดตั้งรัฐบาล หาก พปช.ถูก กกต.แจกใบแดงเป็นจำนวนมาก
สำหรับ พล.ต.ต.ชัยยะ จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 34 จากนั้นก็เข้ารับราชการตำรวจเรื่อยมา คนในแวดวงสีกากี ต่างรู้ดีว่า พล.ต.ต.ชัยยะสนิทสนมกับ "บิ๊กสื่อค่ายท่าพระอาทิตย์" หนึ่งในแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกว่า 10 ปี มีความสัมพันธ์ที่ดีทั้งในเรื่องหน้าที่ การงาน และส่วนตัว
จึงไม่น่าแปลกที่จะเห็นภาพการช่วยเหลือเกื้อกูลกันระหว่างบุคคลทั้งสองอย่างชัดเจน แม้กระทั่งการชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตร นายตำรวจคนนี้ก็จะช่วยคุ้มครองความปลอดภัยให้ โดยขอกำลังจากเพื่อนนักเรียนตำรวจรุ่นเดียวกัน
ดังนั้น ภายหลังการรู้ข่าวการแต่งตั้ง พล.ต.ต.ชัยยะ เป็นประธานคณะอนุกรรมการของ กกต. จึงเป็นธรรมดาที่กลุ่มอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่แห่งค่าย พปช.จะกังวลและมีคำถามในความเป็นกลาง
โดยเฉพาะเรื่องที่วิตกที่สุด คือ 3 ใบแดงแห่งบุรีรัมย์ "บิ๊กสีกากี" ของพรรคนี้ เชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบุรีรัมย์ ส่อว่าเป็นการสร้างพยานเท็จ โดยเอาบุคคลนอกพื้นที่จังหวัด มาทำเสมือนหนึ่งเป็นบุคคลอยู่ในเหตุการณ์แจกเงินให้กับผู้เข้าฟังการปราศรัย
สำหรับบุคลิกทั่วไปของ พล.ต.ต.ชัยยะนั้น เป็นนายตำรวจที่เรียบง่าย เก็บเนื้อเก็บตัวและไม่ค่อยจะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเท่าใดนั้น แม้จะถูกมรสุม พปช.กระหน่ำ แต่ พล.ต.ต.ชัยยะก็ไม่เคยออกมาชี้แจงแถลงไขในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แม้สื่อมวลชนเองต่างพยายามระดมโทรศัพท์ทั้งเบอร์มือถือ และเบอร์บ้าน เพื่อขอสัมภาษณ์ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ
หาก พล.ต.ต.ชัยยะ ไม่ได้สัมพันธ์ใกล้ชิดกับอดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เคยเคลื่อนไหวต่อต้าน "รัฐบาลทักษิณ" ตามที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน (พปช.) กล่าวอ้าง
โดยให้เหตุผลว่าการพิจารณาสืบสวนสอบสวนการทุจริตการเลือกตั้ง ไม่เป็นกลาง และไม่เป็นธรรมต่อ พปช. ที่แปรสภาพมาจากพรรคไทยรักไทย
พปช.จึงยื่นหนังสือถึง กกต.เพื่อขอให้เปลี่ยนตัว พล.ต.ต.ชัยยะ จากการเป็นประธานคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าว ซึ่งประเด็นนี้ กกต.และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังโยนเผือกร้อนกัน
เรื่องนี้ถือเป็นประเด็นร้อนตลอดห้วงสัปดาห์ เพราะนั่นหมายถึง...
โอกาสภายใต้ความหวังริบหรี่ของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในการช่วงชิงจัดตั้งรัฐบาล หาก พปช.ถูก กกต.แจกใบแดงเป็นจำนวนมาก
สำหรับ พล.ต.ต.ชัยยะ จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 34 จากนั้นก็เข้ารับราชการตำรวจเรื่อยมา คนในแวดวงสีกากี ต่างรู้ดีว่า พล.ต.ต.ชัยยะสนิทสนมกับ "บิ๊กสื่อค่ายท่าพระอาทิตย์" หนึ่งในแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกว่า 10 ปี มีความสัมพันธ์ที่ดีทั้งในเรื่องหน้าที่ การงาน และส่วนตัว
จึงไม่น่าแปลกที่จะเห็นภาพการช่วยเหลือเกื้อกูลกันระหว่างบุคคลทั้งสองอย่างชัดเจน แม้กระทั่งการชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตร นายตำรวจคนนี้ก็จะช่วยคุ้มครองความปลอดภัยให้ โดยขอกำลังจากเพื่อนนักเรียนตำรวจรุ่นเดียวกัน
ดังนั้น ภายหลังการรู้ข่าวการแต่งตั้ง พล.ต.ต.ชัยยะ เป็นประธานคณะอนุกรรมการของ กกต. จึงเป็นธรรมดาที่กลุ่มอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่แห่งค่าย พปช.จะกังวลและมีคำถามในความเป็นกลาง
โดยเฉพาะเรื่องที่วิตกที่สุด คือ 3 ใบแดงแห่งบุรีรัมย์ "บิ๊กสีกากี" ของพรรคนี้ เชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบุรีรัมย์ ส่อว่าเป็นการสร้างพยานเท็จ โดยเอาบุคคลนอกพื้นที่จังหวัด มาทำเสมือนหนึ่งเป็นบุคคลอยู่ในเหตุการณ์แจกเงินให้กับผู้เข้าฟังการปราศรัย
สำหรับบุคลิกทั่วไปของ พล.ต.ต.ชัยยะนั้น เป็นนายตำรวจที่เรียบง่าย เก็บเนื้อเก็บตัวและไม่ค่อยจะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเท่าใดนั้น แม้จะถูกมรสุม พปช.กระหน่ำ แต่ พล.ต.ต.ชัยยะก็ไม่เคยออกมาชี้แจงแถลงไขในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แม้สื่อมวลชนเองต่างพยายามระดมโทรศัพท์ทั้งเบอร์มือถือ และเบอร์บ้าน เพื่อขอสัมภาษณ์ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ