การตัดสินเรื่องเอกสารลับ คมช. เสร็จสิ้นไปแล้วหลายวัน
ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติยกคำร้อง
ด้วยเหตุผลว่า คมช. มี ม.309 คุ้มครองอยู่บ้าง หรือยังไม่พบว่ามีการกระทำความผิด ไม่มีการดำเนินการต่อเนื่องตามคำสั่ง เพราะไม่มีการตั้งเบิกงบประมาณบ้าง
ถ้าสรุปความประสาชาวบ้าน ก็แปลความได้ว่า เนื้อหาสาระของเอกสารลับดังกล่าวนั้น เป็นการสั่งการให้กระทำในสิ่งที่ผิดต่อกฎหมายเลือกตั้ง และขัดขวางระบอบประชาธิปไตยจริง
แต่เนื่องจากว่าสั่งการไปแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการลงมือทำ
แถมยังมีการ “แอบ” ไปสั่ง “ยกเลิก” คำสั่ง ด้วยวาจากันไปเป็นที่เรียบร้อย ก็เลยไม่สามารถเอาความได้
คำตัดสินของ กกต. ในครั้งนั้น เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศเพียงไม่กี่วัน
จนชวนให้เกิดความกังวลใจว่าจะเกิด “วิกฤติศรัทธา” ขึ้นกับ กกต.
เพราะท่าทีของ กกต. ที่เสมือนอุ้ม คมช. ให้พ้นความรับผิดชอบจากกรณีเอกสารลับดังกล่าวอย่างชัดแจ้งนั้น ชวนให้เคลือบแคลงใจถึงความโปร่งใส เที่ยงธรรม
และที่สำคัญ ทำให้ไม่แน่ใจว่า กกต. จะสามารถทัดทานต่ออำนาจต่างๆ ที่จะเข้ามาแทรกแซงได้หรือไม่
เชื่อว่าแม้การเลือกตั้งจะผ่านพ้นไปแล้ว
และแม้ว่าการเลือกตั้งในหลายพื้นที่จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย หรือจะมีปัญหาชวนให้เกิดข้อกังวลสงสัยบ้าง ก็เพียงในบางพื้นที่
แต่ความต่อเนื่องจากกรณีเอกสารลับต่อมาถึงการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้า แน่นอนว่ายังมีประชาชนอีกจำนวนไม่น้อย ที่ยัง “ไม่มั่นใจ” ในการทำงานของ กกต.
โดยเฉพาะในห้วงของการแจกใบเหลือง-ใบแดง
ที่ก่อนหน้านั้น สดศรี สัตยธรรม หนึ่งใน กกต. ออกมาพูดเสมือนว่าจ้องจะแจกใบแดงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ยิ่งมีข่าวลือว่าจะมีการ “จงใจ” แจกใบเหลือง-ใบแดง ให้บางพรรคการเมืองมากเป็นพิเศษ เพื่อสกัดกั้นการจัดตั้งรัฐบาล ประชาชนก็ยิ่งจับตามองกันมากยิ่งขึ้น
เพราะข่าวลือที่ว่ายังไปสอดรับกับกรณีที่ ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคพลังประชาชน ที่ติดโผร้องเรียน ได้ออกมาแฉว่าถูกใส่ความ
โดยระบุว่ามีการดำเนินการใส่ร้ายกันอย่างเป็นกระบวนการ มีการว่าจ้างชาวบ้านไปให้ความเท็จต่อ กกต. เพื่อให้ใส่ร้ายผู้สมัคร
โชคยังดีที่ชาวบ้านเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง จึงนำเรื่องมาบอกกับผู้ใหญ่บ้าน และแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน ทั้งยังพร้อมจะเป็นพยานให้กับผู้เสียหาย
และที่สำคัญ กระบวนการดังกล่าวเกี่ยวเนื่องกับคนใกล้ชิด กกต. มีตัวละครในเนื้อเรื่องที่เป็นคนของภาครัฐ ที่ชวนให้เชื่อได้ว่าเป็นการใช้อำนาจรัฐเพื่อทำลายพรรคการเมืองบางพรรค
ซึ่งยังไม่นับรวมถึงการส่งกำลังตำรวจ-ทหาร อาวุธสงครามครบมือ ตั้งด่านสกัดหน้าบ้าน เนวิน ชิดชอบ พร้อมกับข้อกล่าวหาที่พูดจากันเป็นการภายในว่า เป็นที่มั่นสำคัญของพลังประชาชน
ส่วนอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน
เพราะนอกจากจะสะท้อนชัดถึงการ “ใช้อำนาจรัฐ” เข้าแทรกแซงการเลือกตั้งแล้ว ยังทำให้หวนนึกย้อนกลับไปถึง “เอกสารลับ คมช.” นึกย้อนไปถึงคำตัดสินของ กกต.
กรณีดังที่ว่าเกิดขึ้นในค่ายทหาร ร.1 พัน 3 ใจกลางกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ที่ผ่านมา ก่อนหน้าการหย่อนบัตรเลือกตั้งเพียง 3 วัน
เป็นการพูดของนายทหารยศพันโท ต่อกำลังพลนับพันนาย ปรากฏเป็นข้อความ “ชี้นำ” ทางการเมือง
อย่างเช่น ท่อนหนึ่งมีการเอ่ยชื่อพรรคการเมือง และหมายเลขของผู้สมัครอย่างชัดแจ้ง
“ผู้การท่านบอกนะครับว่า พันสามเนี่ย เราซื้อไม่ได้ แต่ใครให้ตังค์เรารับ แต่ว่าเราจะเลือกตามใคร เลือกตามใครครับ? ตามผมนะ เลือกตามผม เพราะถ้ารักผม หรือว่าบางคนอาจจะไม่รัก หรือถ้าไม่รักก็เอ็นดูเอ้า คือถ้าเห็นว่าเราไปกันได้ ก็ประชาธิปัตย์ 4 5 6 ทั้งพรรคทั้งคน”
การกล่าวต่อกำลังพลของนายทหารคนนี้ ล้วนมีแต่ประเด็นทางการเมือง
บางช่วงเป็นการวิพากษ์พรรคการเมืองบางพรรค ที่เป็นคู่แข่งของพรรคประชาธิปัตย์
บางช่วงมีการบอกต่อกำลังพลว่า หากไปเลือกพรรคการเมืองดังกล่าว จะมีสิ่งที่ตอบแทนกลับมายังกองทัพ
หรือบางช่วงก็ย้ำความเป็นทหารที่จะต้องทำตามที่ “นายสั่ง”
แต่อย่างไรก็ตาม ทุกช่วงจังหวะก็จะย้ำหมายเลขผู้สมัครทั้ง 3 คน พร้อมด้วยหมายเลข 4 ของพรรคประชาธิปัตย์ อย่างต่อเนื่อง
เรื่องที่เกิดขึ้นถูกบันทึกเอาไว้ด้วยผู้ที่ปรารถนาดี และปรารถนาที่จะเห็นการเลือกตั้งที่ดำเนินไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม
และเรื่องดังกล่าวก็ได้มีการร้องเรียนไปถึง กกต. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เพื่อเข้าสู่กระบวนการดำเนินการกับ “นายทหาร” คนดังกล่าว
เพื่อดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดกับผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ เขต 1 ที่ได้รับประโยชน์จากเรื่องดังกล่าว
ไม่ว่าจะเป็น ม.ล.อภิมงคล โสณกุล อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ หรือ เจิมมาศ จึงเลิศศิริ
ที่สำคัญเพื่อที่จะได้ “เตือนสติ” กกต. ให้ได้ย้อนคิดถึงคำตัดสินกรณีเอกสารลับ คมช.
ที่เคย “ยกคำร้อง” ด้วยเหตุผลว่าไม่ได้มีการกระทำความผิดต่อเนื่อง
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ที่สอดรับกับเนื้อหาในเอกสารลับ ที่ระบุว่าให้มีการ “ชี้นำแกมบังคับ” กำลังพลและครอบครัว ตลอดจนชุมชนรอบหน่วยทหาร
จะถือว่าเป็นการดำเนินการที่เกี่ยวเนื่อง ต่อเนื่องกันหรือไม่ อย่างไร
ยังรวมไปถึงโครงการ “ประชาธิปไตยสีขาว” ที่มีการลงไปให้ความรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้งในหลายพื้นที่
มีวิทยากรคนสำคัญอย่าง ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล และ ดร.เสรี วงษ์มณฑา
ที่มีการบรรยายถึงการเลือกข้าง บรรยายว่าทำอย่างไรไม่ให้พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง และอีกหลายเรื่องราวที่สะท้อนชัดถึงความไม่เป็นกลาง
ทั้งยังไปคล้ายคลึงกับเนื้อหาในอีกบางส่วนของเอกสารลับ ที่จัดให้มีการบรรยายให้ความรู้ประชาธิปไตย ระบุว่า ต้องการวิทยากรที่ “เร้าใจ” และมีการระบุชื่อ ม.ล.ปนัดดา
มีการระบุชื่อพรรคการเมืองบางพรรค และมีการใช้คำว่า “ข้าศึก” และ “การรบ” กับพรรคการเมืองดังกล่าว และกิจกรรมตามคำสั่ง
เหล่านี้ กกต. จะทำเฉย แสร้งเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เพราะได้ “ทำหน้าที่” ตัดสินไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วหรือเปล่า
หรือจะตอบสังคมให้หาย “ข้องใจ” กันอีกสักที ว่าสิ่งที่ยังเกิดขึ้นเหล่านี้ เกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับเอกสารลับ คมช. อย่างไร
หากเป็นเรื่องที่มีความเชื่อมโยงกัน กกต. จะดำเนินการอย่างไรต่อไป ให้เกิดความถูกต้องชอบธรรม ให้สมเกียรติและศักดิ์ศรี
หรือหากจะบอกว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น กกต. จะมีเหตุผลอย่างไรที่จะมาบอกกล่าวให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นตามนั้นได้อย่างสนิทใจ และไว้วางใจในความเที่ยงธรรมของ กกต. ต่อไป
ในเมื่อ กกต. ยังจะต้องทำงานที่มีความสำคัญต่อบ้านเมืองต่อไป
โดยเฉพาะเป็นงานที่ประชาชนจะต้องมั่นอกมั่นใจถึงความโปร่งใสในการทำงาน เพราะหากเพียงเกิดข้อสงสัยว่า กกต. มีความ “เอนเอียง” ปัญหาต่างๆ ก็จะตามมาอีกมากมาย
สิ่งที่เกิดขึ้น...ที่สุดแล้วไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม
กกต. คงจะหยุดอยู่เฉยต่อไปไม่ได้อีกแล้ว...!!