ผลผลิตของคณะปฏิวัติรัฐประหาร ภายใต้ชื่อว่า คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) และภายหลังได้กลายร่างเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ซึ่งเป็นผลผลิตแห่งความไม่ชอบธรรม เนื่องจาก เป็นการใช้อำนาจเถื่อนที่ไม่ได้มีที่มาจากประชาชน มีที่มาจากโจรปล้นประชาธิปไตยเป็นผู้แต่งตั้ง
องค์กรต่างๆ ที่เป็น ผลผลิตของโจรปล้นประชาธิปไตย มีจำนวนมากมายที่ยังไม่ยอม ลาออกจากตำแหน่ง ยุบเลิกองค์กร ไปเสีย ทั้งที่ หัวหน้าโจร และ พรรคพวก ต่าง ยอมรับความพ่ายแพ้ต่อประชาชน ผู้รักประชาธิปไตยทั่วประเทศไปแล้ว ยอมยุติบทบาท ทั้งหมด กลับ เข้าแถวตอนเรียงหนึ่ง ต้อนรับ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่มีที่มาจากประชาชน ขาดซึ่งความสง่างามในการทำหน้าที่อย่างเต็มภาคภูมิ
วันนี้บ้านเมืองกลับมาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นองค์กรต่างๆ ที่ถือกำเนิดขึ้นมาตามอำนาจโจรปล้นประชาธิปไตย จึงควรจะทบทวนตัวเอง องค์กรเหล่านี้มีอะไรบ้าง
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ใช้ประกาศ คปค. แต่งตั้ง
คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่ใช้ประกาศ คปค. แต่งตั้ง
ศาลรัฐธรรมนูญ ที่ใช้บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ ให้ตุลาการรัฐธรรมนูญซึ่งใช้ประกาศ คปค. แต่งตั้ง ทำหน้าที่ต่อไป
ป.ป.ช. ที่ใช้บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ ให้ ป.ป.ช. โดยการแต่งตั้งของ คปค. ทำหน้าที่ต่อไป
สิ่งเหล่านี้คือองค์กรที่เรียกได้ว่าเป็นผลผลิตของเผด็จการ ที่เกิดขึ้นมา ท่ามกลางข้อครหา ว่านำพวกพ้องที่ ไม่เป็นกลาง มีอคติ เข้ามาร่วมเป็นส่วนสำคัญในองค์ประกอบเหล่านี้ ซึ่งถือเป็นความ อยุติธรรม ตั้งแต่เริ่มแรกในกระบวนการยุติธรรม ในยุคเผด็จการครองเมือง
คตส. เป็นสิ่งสะท้อนได้ดีที่สุด
เอาแค่คดีเดียวคือกรณี เครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดและสายพานลำเลียง ซีทีเอ็กซ์9000 ที่มีการกล่าวหากันว่ามีการทุจริตคอร์รัปชั่น และมีเอกสารมัดแน่น นี่ 1 ปีกับอีก 4 เดือน ยังไม่มีอะไรคืบหน้า แล้วมาแก้ตัวว่าไม่มีอะไรช้า เห็นชัดๆ ว่าที่แท้ก็ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่สมอ้างตั้งแต่เริ่มแรก มาจัดการเขาได้ มีแต่การอนุมาน มีแต่ความคิดเห็นจากฝ่ายแค้นเท่านั้น
อีกกรณีคือ คดี กล้ายางพารา ออกข่าวเช้าสายบ่ายค่ำ ให้คนเข้าใจไปว่าคดีนี้มี การดำเนินการที่ไม่โปร่งใส ต่างๆ นานา จนที่สุดมีการดำเนินการส่งฟ้องไปที่อัยการ แต่หลักฐานที่ออกมาให้สาธารณชนเห็น ล้วนแต่ขัดกับ สิ่งที่ คตส. ได้สรุปออกมา ทั้งการสอบถามกับสำนักงานอัยการสูงสุด กรณีผลประโยชน์ขัดกัน ทั้งเอกสารแบ่งส่วนราชการ ล้วนแต่เป็นเอกสารราชการที่ยืนยันในความโปร่งใสของการดำเนินโครงการ
กรณี จัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม. คนเซ็น เปิด แอลซี ไม่ผิดหน้าตาเฉย คนสั่งจ่ายเงิน ไม่ผิด หน้าตาเฉย กระบวนการพิจารณาถูกตีตกแล้วตกอีก เอาไปสอบกันใหม่ ท่ามกลางข่าวลือสะพัด ว่า ป.เป็ด สั่งให้ช่วย มันเกิดอะไรขึ้น ขนาด กรมสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ที่เคยสรุปสำนวนไว้ ยังบอกใส่ชื่อ คนเซ็นเปิดแอลซี คนเซ็นเช็คสั่งจ่าย ส่งไปที่ อัยการ เลย
สิ่งเหล่านี้เป็นคำถามตัวโตตามมาในสังคมว่า องค์กรที่เป็นผลผลิตจากโจรปล้นประชาธิปไตย มีที่มา ไม่ชอบธรรม ยัง มีอคติในการตรวจสอบ เลือก ตรวจสอบแต่เฉพาะฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ไม่ว่า ยัง เลือกที่จะกล่าวร้ายลงโทษคนทำผิดเฉพาะคน เฉพาะกลุ่ม อีกต่างหาก
เรียกได้ว่า สมบูรณ์ครบเครื่องแห่งความอยุติธรรม โดยแท้
ในเมื่อบ้านเมืองเดินมาถึงจุดที่เป็น ประชาธิปไตย แล้ว เราจะปล่อยให้ อำนาจอยุติธรรม เหล่านี้ ทำหน้าที่ต่อไป อย่างนั้นหรือ ทั้งๆ ที่เห็นกันอยู่ ตำตา
ไม่มีใครคิดว่า องค์กรที่เป็นผลผลิตของโจรปล้นประชาธิปไตย เป็น เสี้ยนที่ตำตา ก่อให้เกิด ความระคายเคือง ต่อ ลูกตา บ้างเลยหรืออย่างไร? หากปล่อยเอาไว้ อาจจะทำให้ตาเป็นหนอง ทำให้ตาบอด และร้ายกว่านั้นอาจจะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่กระแสโลหิต ตายวันตายพรุ่ง ไม่มีใครจะล่วงรู้ได้
ทางที่ดี ต้อง กำจัด ตั้งแต่ต้นทาง อย่าปล่อยให้ เสี้ยนหนาม เหล่านี้อยู่ต่อไป ไม่ดีกว่าหรือ
ในเมื่อคนเหล่านี้ ไม่ได้มีความละอายต่อบาปกรรม ที่ไปร่วมย่ำยีประชาธิปไตย ขนาดที่หัวหน้าคณะก่อการ ยังเหนียมอาย ประกาศ “ไอ้เสือถอย” กันแล้ว
ในเมื่อ ไม่มีสปิริต ที่จะพิจารณาตัวเอง รัฐบาลจึงมีความชอบธรรมที่จะ ใช้กระบวนการทางประชาธิปไตย จัดการ ผลผลิตเหล่านี้ให้สิ้นซาก อย่าปล่อยเป็นเสี้ยนหนามตำมือ ตำเท้า ตำตา อยู่ต่อไป
ใครจะกล้าแตะต้องหยิบจับ “เสี้ยน” สามสี่อันเหล่านี้บ้าง เพราะ แตะไม่ดี หยิบพลาด มันมีโอกาสทิ่มตำให้เจ็บเอาได้ แต่จับออกไปดีๆ อย่าให้พลาด เอาใส่ถังขยะ ปิดฝาทิ้งมันไปเสีย ทุกคนในสังคมก็ปลอดภัย
อยู่ที่ว่า กล้าพอไหม ต่างหาก