WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, February 12, 2008

“เทพชัย หย่อง” ก้นร้อน ผวารัฐจัดระเบียบสื่อ

ออกอาการร้อนตัวจนเห็นได้ชัดเจน จนเหมือนเด็กที่แอบไปทำอะไรผิดเอาไว้ยังไงยังงั้น


เพียงแค่รัฐบาลใหม่ที่นำโดย สมัคร สุนทรเวช เข้ามาบริหารบ้านเมือง

เพียงแค่มีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลสื่อของรัฐ เป็น จักรภพ เพ็ญแข ที่ออกมาประกาศเพียงว่าจะจัดระเบียบสื่อของรัฐเท่านั้น

เทพชัย หย่อง ก็ออกอาการ รีบออกมาตีลูกกันเสียแล้ว

โดยพยายามจะบอกว่าหากคิดจะแทรกแซงไทยพีบีเอส ก็ให้ไปดู พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ให้ชัดก่อน ว่าการเมืองจะเข้ามายุ่งได้หรือไม่

ทำอย่างกับว่าไทยพีบีเอสเป็นอาณาจักรส่วนตัวและพวกพ้อง

ก็เพียงแค่รัฐมนตรีที่มีอำนาจตามกฎหมายจะกำกับดูแลให้ทีวีสาธารณะเป็นไปตามจุดมุ่งหมาย ตามสาระสำคัญของข้ออ้างในการเปลี่ยนแปลง มันจะแปลกตรงไหน

การที่รัฐมนตรีจะห่วงใยว่าการรับคนเข้าทำงานมีความชอบธรรมหรือเปล่า

ทั้งการคัดคนออกเพราะเขาไม่ยอมก้มหัวให้ หรือการรับคนที่มีความสัมพันธ์กันมาแต่ดั้งเดิมเข้ามาทำงานในระดับหัวหน้าข่าว มีที่มาที่ไปอย่างไร

รวมไปถึงการให้บริษัทที่ตั้งขึ้นโดยกลุ่มกบฏไอทีวี ซึ่งรู้กันดีว่าเป็นกลุ่มลูกน้องเก่าเมื่อคราวเครือเนชั่นเข้ามาบริหารไอทีวีจนเจ๊ง เข้ามารับงาน มีมูลความไม่ชอบมาพากลเหมือนที่ใครต่อใครร่ำลือกันหรือเปล่า

หรือยังมีเรื่องราวของการจัดซื้อสารคดีด้วยเงินสูงถึง 60 ล้านบาท ก็ยังไม่มีคำตอบให้สาธารณชนสบายใจถึงความโปร่งใสของคนจัดซื้อ

เรื่องราวเหล่านี้คนเป็นรัฐมนตรีสามารถเข้าไปดูแลได้หรือไม่

หรือจะต้องปล่อยให้ไทยพีบีเอสเป็นแดนสนธยา หรือเป็นแหล่งทำมาหากินของใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังตกอยู่ในฐานะย่ำแย่ทางธุรกิจ แล้วหวังจะมาฟื้นตัวที่นี่

อีกเหตุหนึ่งที่ว่า “ร้อนตัว” ก็เพราะเมื่อพิจารณาตามเนื้อหาสาระของข่าวแล้ว ก็ยังไม่ปรากฏว่ารัฐมนตรีจักรภพจะเข้ามารื้อหรือแทรกแซงไทยพีบีเอสตรงไหน

เพียงแต่คำชัดเจนเท่าที่จับความได้มีเพียงว่า อย่างเพิ่งไปหลงว่าทีวีสาธารณะจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของประชาชน

ประชาชนจะต้องมีทางเลือกที่ดีที่สุด มีโอกาสที่ดีที่สุด

และที่สำคัญ จักรภพ บอกว่า ไทยพีบีเอสไม่ใช่เป้าหมายเลย

แต่เป้าหมายที่แท้จริงในการทำงาน คือ การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงที่จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ

และจะไม่ผลีผลามดำเนินการ แต่จะรับฟังเสียงจากทุกฝ่าย

จับความแล้ว ทั้งจากเสียงของนายกรัฐมนตรี และจากรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสื่อ การจะเกิดสถานีโทรทัศน์แห่งใหม่ขึ้นมายังมีความเป็นไปได้เสียมากกว่า

แล้วการจะเกิดสถานีโทรทัศน์แห่งใหม่ดังว่า ก็อย่าได้พยายามบิดเบือนให้กลายเป็นเรื่องอื่นเรื่องไกล

เหมือนที่มีสื่อหนังสือพิมพ์บางฉบับไปตั้งคำถามว่าจะเป็นสถานีพีทีวี ที่จักรภพเคยเป็นพิธีกรหรือไม่

ทั้งๆ ที่เรื่องของสถานีโทรทัศน์อีกแห่ง ถูกพูดถึงมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ แต่กลับไม่เป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ ไม่มีคนออกมาหาเหตุใส่ไคล้

หากไม่ความจำสั้น หรือความจำเสื่อมเกินไป คนที่อยู่ในแวดวงสื่อ หรือแวดวงทีวี คงจำกันได้ดี

ในวันที่รัฐบาลพยายามสะสางปัญหาทีไอทีวี มีการตั้งกรรมการศึกษาถึงการแก้ปัญหาสถานีโทรทัศน์ในระบบยูเอชเอฟ

มีการเสนอทางออกให้กับรัฐบาล 2 แนวทางด้วยกัน

ทางหนึ่งเป็นการเสนอโมเดลทีวีสาธารณะ โดย สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอ

อีกทางหนึ่งเป็นการเสนอรูปแบบทีวีเสรี โดย เถกิง สมทรัพย์ นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย

บรรดานักวิชาการสื่อสารมวลชนมีความเห็นพ้องกันเป็นส่วนใหญ่ในขณะนั้นว่า ทั้ง 2 รูปแบบมีจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกันไป

และที่สำคัญ ไม่ใช่ว่าจะต้องเลือกเอาเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง

แต่สามารถมีโทรทัศน์ทั้ง 2 รูปแบบดังกล่าวเกิดขึ้นในเมืองไทย

ในตอนนั้นมีการคาดหมายกันว่า รัฐบาลจะจัดการให้ สทท.11 เป็นทีวีสาธารณะ เพราะมีลักษณะของโทรทัศน์ที่ปลอดจากการโฆษณา และรัฐเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณในการผลิตรายการอยู่แล้ว

หากตัดสินใจเช่นนั้น ความเปลี่ยนแปลงก็จะไม่เกิดมากนัก

ขณะเดียวกัน ในส่วนของสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวีที่กำลังเป็นปัญหา ก็เข้าไปบริหารจัดการกันใหม่ในรูปแบบทีวีเสรี

ซึ่งก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากเช่นเดียวกัน

พนักงานจำนวนมหาศาลก็จะไม่ต้องตกงาน

รายได้กว่า 1,600 ล้านบาท ก็เป็นสิ่งที่รับประกันอยู่แล้วว่า สถานีโทรทัศน์แห่งนี้จะสามารถเดินต่อไปได้ด้วยตัวเอง และทำรายได้เข้ารัฐบาลจำนวนมหาศาล

แต่ในที่สุดคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็เลือกที่จะปล่อยให้ช่อง 11 เป็นสถานีโทรทัศน์แบบลูกผีลูกคนอยู่อย่างเก่า

แล้วก็เลือกที่จะปิดสถานีโทรทัศน์ที่ได้ชื่อว่าเป็นสถานีข่าวที่ดีที่สุด ในบรรดาโทรทัศน์ทุกช่อง

มีการปลดพนักงานหลายร้อยคนแบบสายฟ้าแลบ

และรัฐบาลขณะนั้นเลือกที่จะเสียรายได้ปีละ 1,600 ล้านบาท ไปเป็นการต้องจ่ายงบประมาณอุดหนุนเพื่อผลิตรายการราวปีละ 2 พันล้านบาทแทน

ตามมาด้วยการส่งคนเข้ามาเป็นกรรมการนโยบาย 5 คน ที่ดูแล้วไม่ได้สร้างความสบายใจเลย ว่าจะทำให้ทีวีสาธารณะอันเป็นรูปแบบสากลที่เกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ในเมืองไทย

จนถึงวันนี้ ผลงานที่ปรากฏกลับมีเพียงการปลดคนเก่า เอาคนใหม่เข้ามา

การกำหนดผังรายการท่ามกลางคำครหาว่ามี “คนคุ้นเคย” เข้ามามีเอี่ยวมากมาย

แล้วยังมีเรื่องของการใช้จ่ายเงิน โดยเฉพาะการซื้อรายการสารคดีราคาแพง ทั้งที่ยังเป็นเพียงการออกอากาศขัดตาทัพ เพียงเพื่อไม่ให้จอมืด

แต่สาระสำคัญของทีวีสาธารณะที่ประชาชนจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วม

หรือการตั้งสภาประชาชนในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้มีสิทธิมีเสียงในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร กลับไม่เคยมีการพูดถึง

จนอยากจะตั้งคำถามว่า ผู้ที่เข้าไปบริหารเป็นการชั่วคราวอยู่ในขณะนี้ มีความเข้าใจในแก่นสาระของทีวีสาธารณะมากน้อยแค่ไหน

หรือว่ารู้แล้วแต่ไม่สนใจกันแน่

จริงอยู่ว่ารัฐบาลชุดนี้แค่เพียงแสดงความไม่สบายใจต่อการดำเนินการบางเรื่องราวของไทยพีบีเอส และก็ยังไม่เคยเอ่ยว่าจะแทรกแซงหรือก้าวล่วง ดังที่ เทพชัย หย่อง ออกมาตีกัน

ทั้งที่จริงก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร ที่รัฐบาลใหม่จะเข้ามาสะสางและจัดการสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลให้เข้ารูปเข้ารอย

การเข้าไปรื้อสิ่งที่ไม่เข้าท่าเข้าทาง ใช่ว่าจะเป็นการแทรกแซง เพียงแต่เป็นการทำตามหน้าที่ แล้วก็ผลักดันให้เกิดเป็นทีวีสาธารณะเต็มรูปแบบต่อไป

...เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่เพื่อใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง...!!

บทความการเมือง