ความหมายที่คุณสมัครสื่อในคราวนี้คือ พรรคพลังประชาชนมาได้ก็ด้วยประชาชน ทำอะไรก็ต้องคิดถึงความรู้สึกนึกคิดของคนทั้งหลาย และภาพที่เขามองเข้ามาให้มาก ก็ต้องคอยจับตาดูว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นหรือไม่จาก "บทเรียน" ที่สำคัญในครั้งนี้
ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดาและไม่ได้เห็นบ่อยครั้งนัก เมื่อนายกรัฐมนตรีเปิดฉากวิพากษ์วิจารณ์และฟันธงลงไปเลยทีเดียวว่า รายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองที่ตนเป็นหัวหน้าพรรคเสนอมาเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีต่างๆนั้น ขาดความเหมาะสมเสียมากกว่าครึ่ง
แล้วก็ส่งกลับไปเปลี่ยนโดยพลัน ไม่นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีให้ด้วย
คุณสมัครเน้นย้ำว่า ที่พูดนั้นหมายถึงพรรคพลังประชาชนอย่างเดียวที่มีปัญหา ไม่ได้รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆที่ดูแล้วก็เรียบร้อยดี
ฝ่ายผู้สนับสนุนพรรคพลังประชาชนก็อาจจะตกอกตกใจว่าเกิดความขัดแย้งอะไรกันขึ้นหรือไม่ในพรรค โดยเฉพาะคนใหญ่ที่สุดของพรรคสองคนซึ่งไม่ต้องเอ่ยชื่อกันตรงนี้
แต่พอฟังนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคอธิบายความต่อมาอีกหน่อย ก็จะพบว่าไม่ใช่
เพราะผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นธุระอย่างยิ่งกับการระดมคนมาใส่ในรายชื่อที่ปรึกษารัฐมนตรี เป็นคนที่กำลังรู้สึกตัวว่าจะเสียบทบาทและความสำคัญในพรรคพลังประชาชนไป ซึ่งความจริงก็เสียรังวัดมาตั้งแต่เมื่อคุณสมัครรับมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชนโน่นแล้ว
เป็นคนคนเดียวที่ว่าไปแล้วก็มีพรรคพวกไม่มากนักในพรรคนั้น
เดิมทีก็มีพวกมาก เพราะเป็นคนเก่งกล้าสามารถและโด่งดัง ทำท่าจะเป็นผู้นำรุ่นต่อไปของพรรคที่ผู้คนเชื่อว่าสามารถคว้าชัยชนะมาสู่พรรคได้ แต่แล้วพฤติกรรมส่วนตัวอันมีปรกติวิสัยขบกัดก็เป็นเหตุให้มิตรภาพที่เคยมีเริ่มเลือนรางหายไป
การลุกขึ้นมาต่อสู้ด้วยวิธี "ยัดไส้กินเงินเดือน" (ศัพท์ของนายกรัฐมนตรี) โดยใส่พวกของตัวเข้าไปในตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีอย่างครึกครื้น จึงเป็นยุทธวิธีในการต่อสู้เพื่อแสดงความสำคัญของตนในฐานะที่เป็นนักการเมืองใหญ่
ประเด็นคือหัวหน้าพรรคท่านก็รู้แกว และใช้บทบาทนายกรัฐมนตรีติงกลับมาอย่างรุนแรงว่าทำอะไรไม่คิดถึงภาพลักษณ์ของรัฐบาล และผลกระทบต่อบ้านเมืองอย่างนี้ไม่ได้
การไม่ยอมนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีถือเป็นการส่งสัญญาณที่แรง แรงขนาดที่ต้องย้อนกลับไปพูดกันในพรรคทีเดียวว่าถูกของท่านหรือไม่
คุณสมัครบอกว่าเลขานุการรัฐมนตรีนั้นตั้งไปเถิด เพราะมีฐานะที่ต้องรับคำสั่งจากรัฐมนตรี แต่ที่ปรึกษารัฐมนตรีเป็นตำแหน่งที่รัฐมนตรีเขาจะต้องปรึกษาหารือและขอสติปัญญา สมควรจะตั้งคนที่มีวุฒิภาวะและประสบการณ์พอสมควร
ถ้ายอมรับว่าเหตุผลและหลักการอย่างนี้ถูกต้อง ก็แปลว่าหลักการตั้งคนมาแก้ปัญหาทางการเมืองภายในพรรคเป็นหลักการที่ผิด
ท่านส่งคืนให้พรรค หรือพูดให้ชัดเจนคือส่งคืนให้กับคนที่มีบทบาทเบื้องหลังในการเสนอชื่อบุคคลเหล่านี้ในนามพรรค ก็ต้องถือว่าเหมาะสมแล้ว
พรรคพลังประชาชนควรจะถือโอกาสนี้อภิปรายกันให้กว้างขวางในพรรคว่าต่อไปการเสนอชื่อบุคคลมาสู่ตำแหน่งแห่งหนต่างๆ ตั้งแต่ตำแหน่งในพรรคไปจนถึงตำแหน่งในรัฐบาลจากนี้ไป จะต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการคิดและทำหรือไม่
ความหมายที่คุณสมัครสื่อในคราวนี้คือ พรรคพลังประชาชนมาได้ก็ด้วยประชาชน ทำอะไรก็ต้องคิดถึงความรู้สึกนึกคิดของคนทั้งหลาย และภาพที่เขามองเข้ามาให้มาก
ใครบางคนที่ชอบอ้างประชาชนด้วยการสร้างภาพที่เขตพื้นที่ที่ตนรับผิดชอบว่าประชาชนรักมาก ถึงขนาดที่พรรคแพ้แต่เขตของตนก็ยังอุตส่าห์ไม่แพ้นั้น อาจจะต้องนำความหมายนี้กลับบ้านไปคิดต่อให้หนัก
และคนอื่นๆในพรรคก็ต้องคอยจับตาดูว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นหรือไม่จาก "บทเรียน" ที่สำคัญในครั้งนี้
ทุกคนรู้ดีว่าคุณสมัคร สุนทรเวช เป็นคนใหม่ในพรรคพลังประชาชน ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับพรรคไทยรักไทย อันเป็นพรรคเดิมที่สมาชิกพรรคพลังประชาชนเป็นจำนวนมากเคยสังกัดอยู่ด้วยซ้ำ
แต่ความคิดและจิตใจแบบคุณสมัคร ผู้เป็น "ผู้ใหญ่" ขนาดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณรับสั่งถึงในขณะที่นำคณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ฯ น่าจะช่วย "เติมเต็ม" ในบางด้านที่พรรคพลังประชาชนขาดตกบกพร่องได้
ทัศนะของท่านนายกรัฐมนตรีในจังหวะนี้ย่อมมีความหมายที่ลึกซึ้งต่ออนาคตของพรรคพลังประชาชนเอง-ถ้ารู้จักคิด
ความเก่งกาจด้านการบริหาร และการพัฒนานโยบายที่สุดยอด คงไม่ต้องมีใครไปสอนผู้คนในพรรคพลังประชาชนมากนัก แต่ในความรู้สึกนึกคิดอย่างไทยที่ประกอบด้วยความเกรงใจและความนอบน้อมคารวะเป็นพื้น จนสามารถเชื่อมต่อกับองค์ประกอบอื่นๆในสังคมไทยได้อย่างราบรื่น อาจจะต้องเรียนกันเพิ่มเติม
เรียนจากครูสมัคร-ของดีที่อยู่ไม่ไกลนี่แหละครับ.--จบ-
/////////////////////
คอลัมน์: เลือกคบ ไม่เลือกข้าง...
จากหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ ฉบับประจำวันที่ 14/02/2551