WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, February 14, 2008

รัฐธรรมนูญเสียงส่วนน้อย ต้นตอปัญหาความขัดแย้ง

มีคำถามมากมายเกิดขึ้นกับการเมืองของประเทศไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มาโดยตลอด แม้เป้าประสงค์ส่วนรวมจะตรงกันหมด คือ ประเทศไทยต้องปกครองในระบอบประชาธิปไตย....


แต่อย่างที่ประวัติศาสตร์ได้บ่งบอกให้เห็นชัดเจน อย่างอยากที่ใครจะมานั่งเถียงให้เส้นเอ็นที่คอแข็งไปโดยใช่เหตุ ก็คือ ประชาธิปไตยของไทย ล้มลุกคลุกคลาน มาโดยตลอดเช่นเดียวกัน...!!!

เพราะตลอดห่วง 75 ปี ขึ้นปีที่ 76 แล้วด้วยซ้ำ การปฏิวัติ – รัฐประหาร เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการบันทึกไว้ว่า กบฏ 12 ครั้ง ปฏิวัติ 1 ครั้ง และรัฐประหารอีก 8 ครั้ง ซึ่งทั้งหมดก่อการโดยกลุ่มนายทหารที่ถืออาวุธทั้งนั้น

แต่ในวันนี้จะขอละไว้สำหรับความคิด และมโนสำนึกของบรรดาเหล่าขุนศึกผู้ถืออาวุธที่มาจากภาษีของประชาชนไว้ชั่วขณะ

แต่อยากจะขอพูดถึงพลเรือนด้วยกัน ยิ่งในระยะหลังๆ แล้ว บุคคลที่มีชื่อเสียงบางท่าน นักวิชาการบางคน ได้สร้างความสับสนให้กับสังคมไทยเป็นอย่างมาก

เป็นความสับสนที่ก่อตัวเป็นจนกลายปัญหาใหญ่ของประเทศอยู่ในขณะนี้...!!!

เป็นการสร้างความสับสนที่เกิดขึ้นจากวาทะกรรม ที่ประดิดประดอยให้ดูสวยหรู แต่หากในรายละเอียด และพฤติกรรมที่สำแดงออกมาของผู้พูดแล้ว มันกลายเป็นยาพิษที่ป้อนให้กับสังคมไทย

และยังเป็นการสร้างความสับสนด้วยจริตที่เบี่ยงเบนจากความเป็นจริง เบี่ยงเบนไปจากหลักการที่คนทั่วโลกเขาปฏิบัติกัน

โดยเฉพาะกับคำว่า “ประชาธิปไตย”.... !!!

การเบี่ยงเบนความหมายโดยนัยแท้ๆ ของ “ประชาธิปไตย” นี่แหละ ที่เป็นต้นร่างของความผิดเพี้ยนหลายๆ เรื่อง

ส่งผลให้บุคคลที่เข้ามาทำหน้าที่เบื้องต้นของพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย รวมถึงบุคคลที่เข้าไปใช้อำนาจรัฐ หลงทาง หลงผิด ในการทำหน้าที่ สำคัญๆ

ส่งผลให้เกิดการเบี่ยงเบนเจตนาของเสียงส่วนใหญ่ในสังคม กลายเป็นเสียงส่วนใหญ่เหล่านั้นไม่ถูกต้อง ไม่ต้องปฏิบัติตามก็ได้

กลายเป็นความต้องการของเสียงส่วนน้อย คือสิ่งที่ถูกต้อง ไปเสียอย่างนั้น

ผมเป็นคนกรุงเทพฯโดยกำเนิด ไม่เคยโยกย้ายถิ่นพำนักไปที่ไหน อยู่ในแวดวงการข่าว การหนังสือพิมพ์มาก็อย่างยาวนานถึงกว่า 20 ปี

รู้จัก... ติดตามข่าวของผู้คนมาก็มาก แต่การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา หรือที่เรียกกันว่า ส.ว. ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2550 ที่เป็นผลิตผลของเผด็จการ 19 กันยายน 2549 ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 2 มีนาคม ที่จะถึงนี้นั้น กลับทำให้เกิดความประหลาดใจกับตัวเองเป็นอย่างมาก

เพราะในจำนวนผู้เสนอตัวเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ส.ว. ตามรายชื่อที่ประกาศออกมา เอาแค่กรุงเทพมหานครจำนวน 35 คนนั้น แทบจะไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม ไม่รู้จักประวัติการทำคุณประโยชน์ต่อสังคมเกินกว่า 2 คน

แล้วจะไปหย่อนบัตรเลือกใครเป็นตัวแทนของผมดี....???

นับประสาอะไรกับพลเมืองไทยอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดข่าวสารจะทราบรายละเอียด พฤติกรรมที่แท้จริงของบุคคลที่เขาควรเลือกเข้าไปทำหน้าที่ ส.ว.ครั้งนี้ได้อย่างไร

แต่ก็ไม่แปลกใจ เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.ออกมาบ่น ออกมาแสดงท่าทีหนักใจต่อกระแสความสนใจของประชาชนในการการเลือกตั้ง ส.ว.ครั้งนี้

ดูเหมือนจะถูกเมิน ถูกเบือนหน้าหนีลงไปอย่างสิ้นเชิง....!!!

ทั้งที่ ส.ว.ตามรัฐธรรมนูญเผด็จการฉบับนี้ มีอำนาจถึงขั้นถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และส.ส. รวมไปถึงตำแหน่งใหญ่ๆ ขององค์กรสำคัญๆ ของประเทศอย่างมากมาย

นั่นก็เพราะ กกต.อาจไม่เคยยืนอยู่ด้วยตัวตนที่แท้จริงในระบอบประชาธิปไตย หรืออาจได้เสพความผิดเพี้ยนมากจนมองไม่เห็นพื้นฐานของคนที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตยไปแล้ว....!!!

ความไม่เข้าใจของ กกต.ต่อปัญหาการไปใช้สิทธิเลือกตั้งดังกล่าว ทำให้เดือดร้อนไปถึงการใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชนอีกจำนวนเป็นสิบเป็นร้อยล้านมาดำเนินการประชาสัมพันธ์เร่งเร้าให้ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

เพราะเริ่มเห็นทั้งคัดเอาต์ ป้ายประชาสัมพันธ์ขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก ผุดขึ้นอย่างเกินความจำเป็น แต่ประเด็นก็คงไม่ใช่เรื่องการแปะป้าย ติดคัดเอาต์อย่างที่กล่าว

การไม่ได้ความสนใจจากประชาชนที่เกิดขึ้น นัยยะน่าจะบอกได้ชัดเจนว่า กติกาที่เกิดขึ้นจากการร่างของเผด็จการ มันเป็นกติกาที่ไมถูกต้อง.... ไม่ชอบธรรม

เป็นกติกาที่แฝงไว้ด้วยเลศนัย เป็นกติกาที่ถูกกำหนดเขียนเส้นไปสู่เป้าหมายแอบเร้นของกลุ่มผู้ร่าง....!!!

แล้วดูเหมือนมันยังสะท้อนไปถึงคณะกรรมการ กกต.ด้วยว่า หาใช่เป็นกลุ่มคณะที่เข้าใจต่อพื้นฐานชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคมประชาธิปไตยแต่อย่างใด หากแต่เป็นกลุ่มคนไทยจำนวนหนึ่งที่ยังหลงทางอยู่ในตรอกซอกซอยที่ยังหาถนนสายประชาธิปไตยไม่เจอ

การทำหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิขั้นพื้นฐานของคนในระบอบประชาธิปไตย คือจัดและดูแลกำกับการเลือกตั้ง รวมถึงการใช้กฎหมาย จึงดูผิดเพี้ยน เป็นลูกผสมของเผด็จการ

แล้วก็ไม่แปลกใจอีกด้วย เมื่อมีข่าวว่า นายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช ออกอาการขึงขัง กับกกต.ที่เข้าพบเมื่อวันก่อน เพื่อให้รัฐบาลสนับสนุนการจัดการเลือกตั้ง ส.ว.ที่จะมีขึ้นในวันที่ 2 มี.ค. ที่จะถึงนี้

โดยเรื่องที่ กกต.เข้าพบมี 2 เรื่อง คือ ให้รัฐบาลตอกย้ำกับข้าราชการในทุกระดับให้วางตัวเป็นกลางในการเลือกตั้ง ส.ว.

และ 2. อยากให้ ครม.เป็นพรีเซ็นเตอร์ หรือง่ายๆ ก็ยืมตัวนายกฯหรือรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่ง ไปเป็นนายแบบออกประชาสัมพันธ์เชิญชวน ประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้ง

แต่ดูแล้วความขึงขังที่เกิดขึ้นของนายกฯ ไม่ได้มีเป้าประสงค์รังเกียจ หรือปฏิเสธการสนับสนุนการทำหน้าที่ของ กกต. เพราะในส่วนของการกำชับข้าราชการให้วางตัวเป็นกลาง ซึ่งอาจเป็นการออกหนังสือเวียน มิได้ปฏิเสธ

ขณะที่ข้อ 2 นี่แหล.... ที่ถือว่า นายกรัฐมนตรีที่ชื่อสมัคร สุนทรเวช ได้แสดงถึงจุดยืนของคนในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน....

โดยกล่าวว่า คงไม่ไปร่วมประชาสัมพันธ์ด้วย เพราะที่มาของการจัดการเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญ 50 นั้น ไม่ชอบธรรม เนื่องจากเป็นรัฐธรรมนูญ เป็นกติกาที่เกิดขึ้นจากกลุ่มคนที่ใช้กำลังทางทหารเข้ายึดอำนาจมาจากประชาชน แล้วมาสร้าง มาเขียนกติกาขึ้นใหม่

ชัดๆ ก็คือ เป็นกติกาของเผด็จการที่ร่างขึ้นมาอย่างมีเลศนัย เป็นการวางกลโกงล่วงหน้าไว้ในกฎหมาย เพื่อให้ประโยชน์แก่ฝักฝ่ายพวกตัวเอง ไม่ใช่กติกาที่ชอบธรรม

แล้วทำไมผู้คนถึงได้มีปฏกิริยาต่อรัฐธรรมนูญ 50 เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรีที่เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง มากมายถึงเพียงนี้....???
กลายเป็นกระแส กลายเป็นประเด็น ที่เริ่มขยายวงออกไปทุกที ต่อการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปแล้ว

เสียงเรียกร้องเริ่มก้องหูมากขึ้น.... แม้แต่นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ที่มีสายสนกลในกับเหล่าเผด็จการมาอย่างยาวนาน ยังถึงกับร้องออกมาดังๆ ว่า อะไรมันถึงเขียนงกันออกมาได้อย่างนี้

เป็นการร่าง เป็นการเขียน ที่วางน้ำหนักไม่ให้พรรคการเมืองเติบโต เป็นอคติของกลุ่มคนร่างที่มีเป้าหมายทำลายภาพนักการเมือง ให้กลายเป็นสิ่งชั่วร้ายสำหรับสังคมไทย แม้ประชาชนส่วนใหญ่จะเลือกเข้ามาก็ตาม

ไม่ต้องถามใครให้เมื่อยปาก ก็น่าจะบอกได้ว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องแก้ไขหรือยกเลิกรัฐธรรมนูญ 50 รวมถึงกฎหมายลูกอีกหลายฉบับที่เกิดขึ้น...!!!

แล้วก็น่าเลยไปถึงการค้นหาความจริงต่อลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ 50 ที่ผ่านมา กลุ่มใดบ้าง ใครกันบ้าง ที่ใช้อำนาจและเงินภาษีของประชาชนบิดเบือน....

เป็นเพราะเสียงส่วนน้อยของประเทศ ฝ่าฝืนพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย ใช้กำลังเข้าทำการล้มล้างกติกาของคนส่วนใหญ่ แล้วกำหนดกฎเกณฑ์ตามความคิดของเสียงส่วนน้อยมาควบคุมเสียงส่วนใหญ่....

ปัญหาของสังคมไทยที่ขะมุกขะมัว เสมือนจะเกิดความรุนแรงขึ้นได้ทุกขณะ รอวันระเบิดอยู่นี้ จึงอุบัติขึ้น....