2-3 วันก่อน มีนักวิชาการบางท่านออกมาบอกว่า รัฐบาลไม่ต้องไปให้ความสนใจกับกลุ่มพันธมิตรฯ ให้มากนัก เพราะตอนนี้ก็ดูจะมีท่าทีอ่อนลงแล้ว และก็คงสลายตัวไปในเร็ววันนี้
แต่พอมาดูพฤติกรรมต่างๆ แล้ว ยังไม่เห็นท่าว่าจะยุติลงง่ายๆ แต่กลับปรับแผนปั่นป่วนสร้างความวุ่นวายมากไปกว่าเก่า
แม้ว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะหมั่นเพียรไปเจรจาทุกวี่ทุกวันก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เสมือนเป็นการไป “สีซอ” อย่างไรอย่างนั้น
ยิ่งข้ออ้างว่าชาวบ้านเดือดร้อน นักเรียน 8 โรงเรียนเป็นอย่างน้อยได้รับผลกระทบอย่างหนัก ผมก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นผล
เพราะก่อนหน้านั้นแม้ว่า นายสมัคร สุนทรเวช จะออกมาพูดเรื่องเส้นทางเสด็จฯ แต่พวกที่อ้างรักชาติ รักแผ่นดิน เทิดทูนสถาบันเบื้องสูง และพยายามโยงเข้ามาเกี่ยวพันกับการชุมนุม ก็ยังไม่สนใจไยดี ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ผมว่าถึงวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็คงเหนื่อยหน่ายเต็มทน ดังจะเห็นได้จากอาการของ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น. และ พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกตำรวจ ที่ออกมาระบุว่าสื่อมวลชนและประชาชนต้องร่วมมือกัน
ต้องช่วยกันสะท้อนปัญหา สะท้อนความทุกข์ยากของประชาชนออกมาให้ชาวบ้านที่กำลังคิดว่าจะออกมาร่วมการชุมนุมได้เข้าใจ และเปลี่ยนใจเสีย
เพราะการปิดถนนใช้เครื่องขยายเสียงประกาศปาวๆ นั้นได้ส่งผลกระทบต่อผู้คนเป็นวงกว้าง และมากเสียยิ่งกว่าคนเพียงหยิบมือที่มานั่งร่วมชุมนุมตั้งมากมายหลายเท่า
ฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมืองยังฝากคำแนะนำไปถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบด้วยว่า หากได้รับความเดือดร้อน หรือรู้สึกว่าตัวเองถูกละเมิดสิทธิ ก็สามารถไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำการกีดขวางการจราจรเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 6 คน
นัยว่าเป็นการช่วยกันสร้างแรงกดดันให้กับม็อบอีกทางหนึ่ง
ผมเองก็เห็นด้วยที่จะให้ประชาชน โรงเรียน ชุมชน หรือแม้แต่ข้าราชการทั้ง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กองทัพบก ฯลฯ ออกไปแจ้งความกันให้มากๆ
แต่ไม่ได้คิดว่าจะเพื่อกดดันกลุ่มพันธมิตรฯ ดังว่า เพราะผมเชื่อว่าจะไม่ได้ผล
ด้วยเห็นว่าไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องไปสื่อสารให้พันธมิตรฯ รู้ว่ามีประชาชนได้รับความเดือดร้อนมากน้อยแค่ไหน เพราะเรื่องเหล่านี้รับรู้ รับเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว
และหากกลุ่มผู้ชุมนุมมี “สามัญสำนึก” ในความรักชาติ รักแผ่นดิน เป็นห่วงเป็นใยในทุกข์สุขของพี่น้องประชาชนคนไทยด้วยกันจริงแล้ว คงยุติการชุมนุมหรือย้ายสถานที่ชุมนุมไปนานแล้ว
ยิ่งเมื่อกลุ่มพันธมิตรฯ งัดยุทธวิธี “ดาวกระจาย” ออกมาใช้ ก็ยิ่งสะท้อนชัดมากขึ้นว่า ไม่ได้ใส่ใจว่าความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่จะต้องทำมาหากิน จะขยายวงกว้างไปอีกมากเท่าไร
ดังนั้นในทรรศนะส่วนตัวจึงไม่เห็นหนทางใดจะดีไปกว่าการจัดการกับพวกที่เห็นแก่ประโยชน์ของตัว มากกว่าบ้านเมือง อย่างเด็ดขาด
ไม่ว่าจะเป็นวิธีการละมุนละม่อม หรือจะเป็นวิธีการใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าสลาย หากมีการขัดขืนดึงดัน หรือมีความพยายามยั่วยุ ก็ตาม
เพราะไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหนหากรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะรีบจัดการดูแลความสงบสุขของประชาชนส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบเป็นการด่วน
หากมัวแต่มานั่งเกรงใจพวกที่ทำลายบ้านเมือง สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้คนนับหมื่น นับแสน ประเทศชาติก็คงหาความสงบสุขไม่ได้
ขนาดจอดรถในที่ห้ามจอดก็ยังต้องถูกล็อกล้อเสียค่าปรับ แล้วคนพวกนี้เป็นใครจึงสามารถปิดถนนได้โดยไม่มีความผิด
แม้ว่าจะเป็นเพียงความผิดไม่ใหญ่โตตาม พ.ร.บ.จราจร แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ดำเนินการเปรียบเทียบปรับไปตามกฎหมายเสียก่อนไม่ได้หรือ
ทำผิดวันไหนก็ปรับวันนั้น หาก (มัน) ไม่รู้จักอายก็ให้มันรู้ไป เพราะหากไม่มีการจัดการอย่างใดอย่างหนึ่ง นับวันก็มีแต่จะได้ใจ
และยิ่งการปรับแผนใหม่ก็ชี้ให้เห็นชัดๆ อยู่แล้วว่าความคิดของกลุ่มแกนนำม็อบป่วนเมืองพวกนี้ จงใจให้พี่น้องประชาชนเกิดความเดือดร้อน และจะยิ่งขยายวงผู้คนที่ได้รับผลกระทบออกไปเรื่อยๆ ด้วยแนวทาง “ดาวกระจาย”
เป็นวิธีคิดที่ “ชั่วร้าย” ที่พยายามเอาความเดือดร้อนของประชาชนมาเป็นเครื่องมือต่อรอง...!!
บิ๊กโบ๊ต