อยู่ตรงกลางนี่มันปลอดภัยสบายดีแท้
แม้ว่าสุดท้าย ตรงกลางที่เลือกนั้นจะกินเลนไปทางข้างไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า แต่ถ้าลองได้ประกาศว่าเลือกตรงกลางออกมาก่อน เป็นได้ดูดีโดยยังไม่ทันได้ทำอะไร
เพราะพวกที่อยู่ตรงกลาง ก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่าแค่อยู่ตรงกลางเท่านั้นจริงๆ เมื่อไม่เคยลงมือทำอะไรไปสักทาง จึงไม่เสี่ยงกับการเป็นผู้ผิด ดังประโยคโด่งดังที่ว่า “คนที่ไม่เคยทำอะไรผิด คือคนที่ไม่ลงมือทำอะไรเลย” นั่นปะไร
ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้เห็นปรากฏการณ์ที่ สีขาว ถูก สีดำ ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
ทั้งที่สีขาวตั้งใจจะไปช่วยผสมให้สีดำเจือจางลงกลายเป็นสีเทาแท้ๆ
เช่นกันกับอีกสีหนึ่ง ซึ่งขอสมมติเป็นสีแดง ก็ยังไม่ต้องการเจือจางตัวเองเป็นสีชมพู จึงไม่อาจผสมกับสีขาวได้อีกเช่นกัน
สีดำและแดงคิดเหมือนกันเป็นเรื่องแรกในรอบหลายปี นั่นคือ พวกสีขาวนี่ไร้ประโยชน์จริงๆ ไม่ว่าบ้านเมืองจะพลิกไปทางไหน เละเทะหรือไม่อย่างไร พวกนี้ก็ลอยตัวอยู่รอดปลอดภัยไปแล้วทุกครั้ง
ในแง่หนึ่ง สีขาวจึงไร้ประโยชน์พอๆ กับสีส้มนั่นแหละ
นี่น่าหัวเราะกว่าก็คือ คน…เอ๊ย สีพวกนี้ ก็ไม่เคยรู้สึกตัวสักทีว่า สิ่งที่ตัวเองทำ… ในทางการเมืองนั้นมันไม่ได้ประโยชน์อะไร
บางเรื่องบางราว ขอแค่ได้ทำตามความพอใจ ได้แก้กระหาย แก้ความกระสันอยากไปวันๆ มันทำไม่ได้ และไม่มีอยู่จริง
โดยเฉพาะในเรื่องการบ้านการเมือง ไม่มีการกระทำใดของใครที่จะไม่ส่งผลไปทางใดทางหนึ่ง ความเป็นกลางไม่มีอยู่จริงในพื้นที่นี้
เว้นเสียแต่จะสามารถบอก “รูปธรรม” ของ “สีที่สาม” ออกมาได้
เช่นกันกับกลุ่มสีขาว ที่มีนิสิตนักศึกษาหน้าใสออกมาให้ข่าวผสมโรงกับอาจารย์ “หนูไม่อยากให้เกิดความรุนแรงค่ะ/ทุกฝ่ายต้องไม่รุนแรงครับ” ท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทอง อย่างนี้ใครก็พูดได้ อย่าว่าแต่เด็กมหาวิทยาลัยเลย น้องอนุบาลก็พูดเป็น
แต่อย่าถามต่อล่ะว่า แล้วไม่รุนแรงคืออย่างไร ขอบเขตความรุนแรงที่พวกหนูๆ ไม่อยากให้เกิดมันอยู่ตรงไหน เชื่อว่าก็คงไม่รู้พอกัน แต่ที่สำคัญ พวกหนูได้หน้าไปเรียบร้อยแล้ว ไม่เหมือนเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยของหนู ที่ออกมาเลือกข้างชัดเจน พวกนั้นไม่ดี ควรอยู่ตรงกลางลอยตัวเหนือปัญหาอย่างพวกเราสีขาว (สีส้ม) ดีกว่า สบายใจเฉิบ
ไม่แน่หรอกนะ การรีบออกมาทาสีตัวเองว่าอยู่ตรงกลาง เปี่ยมด้วยความดี แล้วป้ายสีสกปรกให้คนอื่นๆ โดยไม่เคยสำรวจตัวเองว่าสีกระเด็นมาเปื้อนสีขาวบ้างหรือเปล่า
ในทางอ้อม นี่ก็เป็น “ความรุนแรง” อีกรูปแบบหนึ่งไม่ต่างกัน