ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่หลายฝ่ายเกรงว่าอาจจะนำไปสู่ความรุนแรงและความสูญเสียในบ้านเมือง อันมีชนวนมาจากการปักหลักชุมนุมขับไล่รัฐบาลโดยปราศจากเหตุผลของกลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย นั้น
ที่ผ่านมาได้มีนิสิตนักศึกษา นักวิชาการ และภาคประชาชน ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง ว่าการชุมนุมดังกล่าวเชื่อได้ว่ามีกลุ่มคนที่จงใจจะให้ลุกลามไปสู่ความรุนแรง นำไปสู่การนองเลือด ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อยากจะเห็นคนไทยออกมาเข่นฆ่ากันเอง
รวมทั้งล่าสุดได้มีการโพสต์ข้อเขียนของ ปณีดา สิกขะมณฑล ที่ปรึกษากฎหมายอิสระ ลูกสาวของ พล.อ.ดำรง สิกขะมณฑล อดีตสมุหราชองครักษ์ บนเว็บไซต์หลายแห่ง รวมทั้งที่ www.pantip.com โดยเนื้อหาในข้อเขียนดังกล่าวได้ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เดือนพฤษภาทมิฬ ที่มีโอกาสได้รับรู้ข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ที่หลายคนไม่มีโอกาสได้รับรู้ และบอกเล่าถึงพฤติกรรมของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯ ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ที่ทำให้เชื่อได้ว่าอาจมีความพยายามให้เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันขึ้นอีก
ปณีดา กล่าวว่าเหตุที่ออกมาเขียนเรื่องดังกล่าวเพราะอยากให้สติกับผู้ที่จะออกไปร่วมการชุมนุมว่าควรจะต้องใช้วิจารณญาณให้ดี รวมไปถึงยังเป็นห่วงเด็กๆ ที่พ่อแม่พาไปร่วมการชุมนุมอาจจะต้องพลอยโดนลูกหลงไปด้วย และที่สำคัญที่สุดคือไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากันเอง
ส่วนข้อคิดความเห็นและเรื่องราวต่างๆ ที่น่าจะเป็นบทเรียนสำคัญของการชุมนุมที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ คุณปณีดา “ดิฉันเป็นลูกสาวของ พล.อ.ดำรง สิกขะมณฑล อดีตสมุหราชองครักษ์ ซึ่งทำงานถวายสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเวลากว่า 30 ปี ดิฉันจึงได้มีโอกาสทราบดีว่า ทุกครั้งที่เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์จะทรงมีความไม่สบายพระทัยเป็นอย่างยิ่งในปัญหาของบ้านเมืองทุกครั้ง
เมื่อครั้งที่เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในปี พ.ศ. 2535 นั้น คุณพ่อของดิฉันไม่ได้กลับบ้านเลยในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งนั้น และท่านก็เล่าให้ฟังว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็ไม่ได้ทรงบรรทมเลย ทรงเป็นห่วงประชาชน และทรงฟังข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ตลอดเวลา
ในวันที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ประท้วงร่วมกับประชาชนอยู่ที่ถนนราชดำเนินกลาง (วันใดจำไม่ได้แน่ชัด) ท่านได้โทร.มาหาบิดาของดิฉันที่บ้าน ดิฉันจึงเรียนว่าบิดาของดิฉันไม่อยู่และไม่สามารถติดต่อได้ เนื่องจากท่านจะต้องปฏิบัติหน้าที่ถวายอารักขาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อยู่ในพระตำหนัก ซึ่ง พล.ต. จำลอง ก็ขอให้ดิฉันเรียนบิดาว่าขอให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ว่าหาก พล.อ. สุจินดา คราประยูร ไม่ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตนก็จะนำขบวนเคลื่อนไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า
ดิฉันจึงเรียน พล.ต.จำลอง ว่า ขอได้โปรดงดการเคลื่อนย้ายขบวนประชาชนเพราะอาจเกิดเหตุการณ์ปะทะกับ ตำรวจหรือทหารที่เขามีหน้าที่ยับยั้งป้องกันไม่ให้ขบวนเดินไปใกล้พระราชวังสวนจิตรลดา เพราะเขาเป็นห่วงเรื่องการถวายอารักขา ซึ่ง พล.ต.จำลอง ก็ตอบว่าหาก พล.อ.สุจินดา ไม่ลาออก ก็จะเป็นภัยต่อประเทศเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะเกิดการยึดครองอำนาจอย่างถาวรโดยกลุ่มทหาร
ดิฉันจึงได้เรียนท่านว่าดิฉันไม่สามารถติดต่อกับบิดาได้เลย เพราะท่านมีหน้าที่ถวายความปลอดภัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นั้นคือการที่ต้องถวายงานอย่างใกล้ชิดติดพระองค์และหมายถึงการต้องปิดโทรศัพท์มือถือในระหว่างปฏิบัติหน้าที่
ซึ่งก่อนที่ดิฉันจะวางโทรศัพท์ลงก็ได้ยินเสียงท่านพูดในเครื่องขยายเสียงว่าได้นำความเรื่องจะนำประชาชนเคลื่อนขบวนไปยังลาน พระบรมรูปทรงม้า เรียนแก่สมุหราชองครักษ์เพื่อนำความกราบบังคมทูลแล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริงและดิฉันได้ ย้ำอีกว่าขอความกรุณา พล.ต.จำลอง หยุดการเคลื่อนย้ายขบวนประชาชนเพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย ซึ่งอาจจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ท่านก็ไม่ได้ตอบกลับว่าอะไร
วันรุ่งขึ้นดิฉันก็ได้ทราบว่ามีการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชนที่มาร่วมชุมนุมในขณะที่มีการ เคลื่อนย้ายขบวนไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งต่อมา พล.ต.จำลอง และคณะผู้ร่วมเดินขบวนก็ถูกนำตัวไป ควบคุมไว้ที่โรงเรียนพลตำรวจ ถนนวิภาวดี-รังสิต เพราะในระหว่างการเคลื่อนย้ายขบวนดังกล่าวมีประชาชน เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก และสถานที่ราชการหรือกรมสรรพากรก็ถูกทำลายโดยการจุดไฟเผา บ้านเมืองเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ เกิดความไม่สงบสุขและกระทบต่อวิถีชีวิตของคนไทย ทุกคน
ในขณะที่เหตุการณ์นั้นได้เกิดความร้ายแรงถึงขั้นวิกฤต และไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐคนใดหรือหน่วยงาน ใดที่จะทำให้เหตุการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ก็เกิดเหตุการณ์ที่คนไทยทุกคนเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อว่า เมื่อใดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงออกมาระงับเหตุวิกฤติครั้งนี้ เพราะในหัวใจส่วนลึกของคนไทย ทุกคนนี้ล้วนตระหนักดีว่า เมื่อพระองค์ทรงออกมาระงับเหตุการณ์วุ่นวายทีไร ก็จะทรงสามารถระงับความวุ่นวายและทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบและเข้าสู่สภาวะปกติได้ในทุกครั้ง (นับแต่เหตุการณ์ 16 ตุลาคม 2514 เป็นต้นมา)
ในที่สุดวันที่คนไทยทุกคนเฝ้ารอคอยก็มาถึง หลังจากที่ พล.ต.จำลอง ถูกควบคุมตัวอยู่ประมาณ 1-2 วัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็มีพระราชประสงค์ให้ พล.ต.จำลอง และ พล.อ.สุจินดา หาหนทางยุติความขัดแย้งโดยสันติ โดยสถานีโทรทัศน์ทุกช่องก็ได้ถ่ายทอดสดเหตุการณ์ดังกล่าว ประชาชนทุกคนได้เห็นภาพที่ พล.ต.จำลอง และ พล.อ.สุจินดา นั่งพับเพียบอยู่แทบเบื้องพระยุคลบาท โดย พล.อ.สุจินดา มาเข้าเฝ้าฯ ในชุดที่หมาะสมแก่การเข้าเฝ้าฯ พระมหากษัตริย์ ส่วนพล.ต.จำลอง สวมชุดม่อฮ่อมที่คนไทยทุกคนเห็นชินตา
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระราชปฏิสันถารและทรงมีพระบรมราโชวาทให้บุคคลทั้งสองหาทางแก้ไขข้อขัดแย้งอย่างสันติ เหตุการณ์ที่ยังคงวุ่นวายอยู่ก็ระงับลงในทันที ประชาชนคนไทยต่างร้องไชโยและบางคนก็ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี โทรทัศน์หลายช่องรวมทั้ง CNN ได้แพร่ภาพการ สัมภาษณ์ประชาชนหลายคน ซึ่งประชาชนเหล่านั้นต่างก็ชื่นชมและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงมีพระปรีชาสามารถในการระงับเหตุวิกฤติได้เช่นเดียวกับเหตุที่เกิดมาในอดีต และทรงทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข ประชาชนได้มีวิถีชีวิตที่เป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อบิดาของดิฉันได้กลับมาบ้านหลังจากเสร็จสิ้นการถวายอารักขาในเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว ดิฉันได้ เรียนถามว่าเพราะเหตุใด พล.ต.จำลอง จึงใส่ชุดม่อฮ่อมมาเข้าเฝ้าฯ บิดาตอบว่า ทราบว่ามีเจ้าหน้าที่ได้เตรียมหาชุดสากลไว้ให้ พล.ต.จำลอง ใส่เพื่อการเข้าเฝ้าแล้ว แต่ พล.ต.จำลอง ไม่ใส่ ซึ่งก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหูว่า นอกจาก พล.ต.จำลอง จะไม่ถวายพระเกียรติด้วยการสวมชุดเข้าเฝ้าฯ ที่เหมาะสมแล้ว น่าจะมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองอื่นที่แอบแฝงด้วย จึงต้องการใส่ชุดม่อฮ่อมเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวเมื่อเวลาออกโทรทัศน์
ดิฉันเป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีความห่วงใยบ้านเมือง และต้องการเห็นความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ อยากให้คนไทยมีความรักความสามัคคีกัน เพื่อที่จะได้นำพาประเทศไทยให้อยู่รอดในท่ามกลางสภาวะการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศอย่างดุเดือดนี้ ซึ่งแน่นอนสติปัญญาของประชาชนและผู้บริหารประเทศ ตลอดจนทรัพยากรของประเทศก็น่าจะถูกนำมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุด ยิ่งไปกว่านั้น เหนือสิ่งอื่นใดและเหนือความขัดแย้งทั้งปวง
โปรดอย่าลืมว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุมากแล้ว ใกล้ 80 พระชันษาแล้ว และในปีนี้รัฐบาลก็จะจัดงานฉลองในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครอบ 60 ปี ซึ่งในวโรกาสนี้นอกจากรัฐบาลจะมีหน้าที่ตระเตรียมในเรื่องของพิธีการในการเป็นเจ้าภาพเชิญบรรดาพระประมุขของประเทศต่างๆ และบุคคลสำคัญของประเทศเหล่านั้น ก็น่าจะเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนในการมีส่วนร่วมในงานถวายพระเกียรติดังกล่าว โดยการทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุขและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่มีอยู่อย่างสันติ
ความขัดแย้งระหว่าง ฯพณฯ พันตำรวจโททักษิณ นายกรัฐมนตรี และ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่ง ประกอบไปด้วยผู้สนับสนุนจากหลายองค์กร ตลอดจนกลุ่มสันติอโศกของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นั้น ทำท่าจะทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งดิฉันกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำร้อยในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และหากเกิดวิกฤติขึ้นก็ย่อมจะ เป็นอุปสรรคต่องานถวายพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในระหว่างวันที่ 13-14 มิถุนายนที่จะถึงนี้อย่างแน่นอน
จริงอยู่ที่ว่า ความขัดแย้งและการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีเป็นกระบวนการปกติในการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย แต่ดิฉันอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มพลังคัดค้านต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่ การชุมนุมในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่สนามหลวงนั้น เป็นการกระทำที่เหมาะสมแก่กาลเวลาและสถานการณ์ที่คนไทยทุกคนควรมีส่วนร่วมในการร่วมถวายพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ แล้วหรือ
ดิฉันไม่ได้เห็นด้วยกันนโยบายหรือการกระทำของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีในทุกเรื่องของการบริหาร ราชการแผ่นดิน แต่ดิฉันก็ไม่ไปร่วมชุมนุมกับฝ่ายคุณสนธิ เพราะดิฉันคิดว่าในฐานะคนไทยคนหนึ่งอาจแสดง ความไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลโดยวิถีทางประชาธิปไตย คือ 1) ลงนามร่วมกับสถาบันที่มีส่วนในการรวบรวม รายชื่อประชาชนห้าหมื่นคนเพื่อซักฟอกคณะฯ นายกรัฐมนตรีตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญ และ/หรือ 2) ไม่เลือก พรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งในครั้งต่อไป
อย่างไรก็ตาม ดิฉันยังมีความคลางแคลงใจในมูลเหตุจูงใจของคุณสนธิ และพล.ต.จำลองในการเป็น แกนนำในการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลและอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าในวันที่ 4 ธันวาคม 2548 นั้น บุคคลทั้งสองอาจจะ ไม่ได้ดูโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจที่ถ่ายทอดภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เมื่อในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ที่ความในตอนหนึ่งของพระบรมราโชวาท คือ ทรงมีพระราชประสงค์ให้คนไทยรู้รัก สามัคคี และแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติวิธี
ซึ่งภายหลังจากที่ได้ฟังพระบรมราโชวาทจบ ดิฉันก็เกิดความโล่งอกว่า น่าจะไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงในวันที่ 9 ธันวาคม ที่ผ่านมา ซึ่งก็เป็นตามคาด แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ ต่าง ๆ ตามมาอย่างมากมาย และก็ยิ่งจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกที คนไทยทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการถวายพระเกียรติและแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้โดยการน้อมนำพระบรมราโชวาทมาปฏิบัติ คือแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติวิธี ด้วยความรู้รักสามัคคีดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์วิกฤตรอบใหม่ และเพื่อไม่ต้องรบกวนเบื้องพระยุคลบาทให้มา ทรงทำหน้าที่ระงับเหตุการณ์วุ่นวายในบ้านเมืองเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
โดยขอให้คนไทยทุกคนตระหนัก และรู้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้เกิดเป็นคนไทยภายใต้ร่มพระบารมีของพระองค์ ด้วยการนำรัฐธรรมนูญ มาตรา 8 มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง คือ “องค์พระมหากษัตริย์ ทรงดำรงอยู่ในฐานะ อันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดละเมิดมิได้...”
ดังนั้น การมีส่วนร่วมในการก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองและการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ด้วยความรู้ รัก สามัคคี เท่านั้น จึงจะถือว่าเป็นการถวายความเคารพสักการะและโดยปราศจากมูลเหตุจูงใจอื่น ใดแอบแฝงอย่างแท้จริง”
ด้าน ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานศูนย์ติดตามและวิเคราะห์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร (วอร์รูม) กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยเชื่อว่า จะยืดเยื้อ โดยเฉพาะในส่วนของพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ไม่ต้องกังวลกับการทำมาหากิน และยังชำนาญเกมนอกสภา ซึ่งจะเห็นว่า ทุกเหตุการณ์ที่นองเลือด พล.ต.จำลอง จะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยทุกครั้ง
นอกจากนี้ ยังสะท้อนให้เห็นว่า มีความพยายามเผยแพร่ ลัทธิจำลอง ซึ่งแกนนำพันธมิตรฯ คนอื่นน่าจะลองกลับไปคิดดู จะยอมเป็นเครื่องมือของลัทธิจำลองหรือไม่ ซึ่งคิดว่าแกนนำที่เหลืออีก 4 คนน่าจะถอนตัวได้แล้ว เพราะขณะนี้จากการประเมินสถานการณ์แกนนำทั้ง 5 คนน่าจะมีความเห็นแตกแยกกันอยู่
ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เสนอให้ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีตประธานวุฒิสภา และ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ในฐานะเพื่อนเก่า พล.ต.จำลอง เป็นตัวกลางเจรจากับแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ นั้น ร.ท.กุเทพ กล่าวว่า พรรคยึดมั่นในแนวทางเจรจา ซึ่งขณะนี้ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการเจรจาอยู่ ซึ่งมีแนวทางว่าน่าจะได้ผล แต่ถ้าจะมีคนซึ่งเป็นเพื่อนพล.ต.จำลอง เห็นว่าทนไม่ได้กับการกระทำของพล.ต.จำลอง และอยากเจรจาให้ พล.ต.จำลอง เปลี่ยนใจกลับอาศรม หรือจะเป็นใครก็ตามที่ขันอาสามาเจรจาให้ยุติการชุมนุม พรรคพลังประชาชนก็สนับสนุน เพื่อให้สถานการณ์ประเทศกลับสู่ภาวะปกติ หรือหากกลุ่มพันธมิตรฯ อยากเจรจากับระดับใด ไม่ว่าจะเป็นพรรคหรือระดับรัฐบาลก็ให้เสนอมา ตนคิดว่าคงไม่ปฏิเสธและยินดีที่จะหันหน้ามาเจรจา
ขณะที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคพลังประชาชน กล่าวในวันเดียวกันว่า สิ่งกลุ่มพันธมิตรฯ เรียกร้องนั้นกลับกลอกไปมา ไม่มีจุดยืนที่แน่นอน เหมือนกับเด็กเกเรที่ทำอะไรตามอารมณ์ของตัวเอง อย่างไรก็ตาม เห็นว่าขณะนี้กลุ่มพันธมิตรฯ เริ่มเป็นหมาหัวเน่าแล้ว เพราะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน โดยเฉพาะกับเด็กนักเรียน ที่เดินทางไปโรงเรียนด้วยความยากลำบาก เพราะกลุ่มพันธมิตรฯ ปิดถนน ซึ่งสร้างความเอือมระอาให้กับคนในประเทศเป็นอย่างมาก ตนจึงขอฝากถามไปถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า ไม่กลัวว่าคน กทม. จะเลิกเลือก ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์เลยหรือ
“ขอถามกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า ทำไมไม่ไปทำมาหากิน แต่มาขอทานรับบริจาคเขากิน ประชาชนคนอื่นที่ทำมาหากินเขาเดือดร้อนรู้ไหม ผมเห็นว่าพันธมิตรฯ ควรที่จะเลิกชุมนุมแล้วมาลงสมัครรับเลือกตั้งเสีย ในนามพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเขาเป็นพวกเดียวกันอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่ทำ ทำไมคนภาคใต้ถึงยังตาบอดหูหนวก เลือกพรรคประชาธิปัตย์อยู่' นายสุรพงษ์ กล่าว
นายสุรพงษ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่สภาประชาชนภาคเหนือ เตรียมจัดเวทีต้านกลุ่มพันธมิตรฯ ในวันที่ 7 มิถุนายนนี้ว่า ส.ส.ภาคเหนือและพรรคพลังประชาชนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจกรรมดังกล่าว เพราะเป็นการดำเนินงานของกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯ
เพื่อไทย
Thursday, June 5, 2008
ข้อมูลลึก‘จำลอง’หมิ่นสถาบัน แอบอ้างเคลื่อนม็อบเมื่อปี’35
“ลูกสาวอดีตสมุหราชองครักษ์” แฉเอง “จำลอง ศรีเมือง” เคยจาบจ้วงเบื้องสูง โกหกคำโตมาแล้ว บนเวทีเดือนพฤษภา ปี 35 หลอกประชาชนให้เคลื่อนขบวนไปหน้ารัฐสภา โดยอ้างว่าให้สมุหราช องครักษ์นำความกราบบังคมทูลเรียบร้อยแล้ว แถมตอนเข้าเฝ้าฯพร้อม “สุจินดา” ยังไม่ยอมแต่งตัวให้เหมาะสมกับกาลเทศะ ทั้งที่มีคนเตรียมสูทไว้ให้ เหมือนจงใจสื่อความหมายบางอย่าง เผยห่วงมีคนจงใจสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง