โปรดพิจารณาอย่างถ้วนถี่
การที่ประชาชนหลายกลุ่มหลายฝ่าย ออกอาการ “เซ็ง” รัฐบาลที่ “อ่อนข้อ” อย่างเหลือขนาดให้แก่กลุ่มพันธมิตรฯนั้น
หาใช่เพราะคนส่วนมากนิยมความโหดร้าย รุนแรง หรืออยากเห็นรัฐบาลใช้กำลังปราบปรามผู้ชุมนุมให้ต้องเลือดตกยางออก
หากแต่เป็นเพราะ สถานการณ์แบบนี้ มันได้กลายเป็นความเดือดร้อนอย่างถ้วนหน้ากันของคนไทย ทั้งไกลและใกล้
ที่ใกล้ ก็เดือดร้อนเพราะการจราจรติดขัด น้ำมันขึ้นราคารถก็ยังต้องมาวิ่งอ้อม โรงเรียนทำการเรียนการสอนได้ไม่เต็มที่ คนทำงานก็ลำบาก ฯลฯ
ที่ไกลออกไป แต่กลับได้รับผลกระทบรุนแรงและวงกว้างยิ่งกว่า คือเรื่องเศรษฐกิจ ไม่เพียงแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นจะร่วงระนาว
ชาวต่างประเทศที่ปกติจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยหอบเงินมากับการท่องเที่ยวใช้จ่ายในบ้านเรา บัดนี้ก็ล้มเลิกแผนการไปเกือบหมดแล้ว
บางกรุ๊ปทัวร์ก็เบนเข็มไปเที่ยวแถวๆ ประเทศเพื่อนบ้านของไทยเสียแทน
ดูเถิดว่า ม็อบนี้เพียงม็อบเดียวก็สร้างผลกระทบอย่างเสียหายแก่ทั้งประเทศได้มากโข
กระนั้น ไม่ได้หมายความว่ามี “ม็อบ” แล้วประเทศจะย่ำแย่ เพราะหากได้ชื่อว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย การชุมนุมของประชาชนที่ไม่พอใจนโยบายรัฐบาลย่อมเป็นเรื่องคู่กัน แม้แต่สหรัฐอเมริกาก็ยังมีการชุมนุมประท้วง
เพียงแต่การชุมนุมอื่นๆ เป็นไปอย่างสงบ อยู่บนพื้นฐานรัฐธรรมนูญและหลักสิทธิเสรีภาพอย่างจริงแท้
และไม่มีม็อบไหนจะแข็งกร้าว เอาแต่ใจ ไร้เหตุผล และนิยมการ “ปฏิสนธิ” กับอำนาจนอกระบบได้เท่ากับม็อบ “พันธมิตรเพื่อการรัฐประหาร” นี้อีกแล้ว
แข็งกร้าว เอาแต่ใจ ไร้เหตุผล เพราะเป้าประสงค์ข้อเดียวที่คนกลุ่มนี้ตั้งไว้ก็คือ การ “สั่ง” ให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ลาออกทั้งคณะ
แม้คำว่า “มาจากการเลือกตั้ง” จะหมายถึงการได้รับฉันทามติจากเสียงส่วนใหญ่ของประเทศนี้
แต่เมื่อ “เสียงส่วนน้อย” อย่างกลุ่มพันธมิตรเพื่อการรัฐประหารไม่ถูกใจ ก็จะใช้อำนาจบาตรใหญ่-ระดมเส้นสายที่คิดว่าพอมี ปฏิบัติการสร้างความวุ่นวายเดือดร้อนแก่บ้านเมืองในทันที
และต่อให้รัฐบาลนั้นๆ ต้อง “มีอันเป็นไป” ไปแล้วจริงๆ แต่หากการเลือกตั้งครั้งใหม่ แล้วได้รัฐบาลใหม่ที่ “คนกลุ่มน้อย” นี้ยังไม่ถูกใจอีก...
“คนกลุ่มน้อย” ที่พะยี่ห้อ “มาร” เต็มขั้นพวกนี้ ก็จะ “ผุด” ขึ้นมาตั้งต้นรังควานอีก หวังให้บ้านเมืองฉิบหายแหลกลาญกันไปข้างหนึ่ง
ดังนั้น สิ่งที่ “กลุ่มพันธมิตรเพื่อการรัฐประหาร” กำลังบีฑาย่ำยี แท้จริงจึงไม่ใช่รัฐบาล
หากแต่เป็นการย่ำยีความเป็นมนุษย์ของคนไทยอีกกว่าครึ่งค่อนประเทศ
ประชาชนที่บ้างก็ถูกเรียกว่า “รากหญ้า” บ้างก็ถูกบอกว่าเป็นพวก “เข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร” หนักเข้าก็ว่า “เห็นแก่เงิน” หรือ “โง่”
นี่คือข้ออ้างที่ฝ่ายพันธมิตรเพื่อการรัฐประหารนิยมชมชอบนำมาใช้
บิดเบือนทำลายความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น ดูถูกเหยียดหยามสิทธิอันชอบธรรมในการ “เลือก” ของผู้อื่น
คนที่รังเกียจระบอบประชาธิปไตย มักคิดบนพื้นฐานที่ว่าคนส่วนมากโง่ เลว มีแต่ตัวเองและพวกพ้องเท่านั้นที่ฉลาดและดี และสมควรที่จะได้เป็นผู้ผูกขาดการ “คิด” และ “เลือก” แทนพลเมืองคนอื่นๆ
นี่แหละ...คือวิธีคิดของพันธมิตรฯและพวกพ้อง และกำลังสะท้อนผ่านการขับไล่รัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้ง
จนเมื่อรัฐบาลเห็นกับตาแล้วว่า ประเทศกำลังเสียหายแค่ไหน
ประชาชนอีกส่วนใหญ่กำลังลำบากเดือดร้อนแค่ไหน
ในระยะยาว จะส่งผลเสียมากแค่ไหน
เมื่อนั้น รัฐบาลจึงได้ออกมาประกาศขอใช้อำนาจชอบธรรมของรัฐในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและคนหมู่มาก
แต่ผลกลับกลายเป็นว่า รัฐบาลโดนข้อหา “เตรียมละเมิดสิทธิมนุษยชน” “จงใจ(จะ)ใช้ความรุนแรง”
ราวกับว่า ประชาชนอีกเกือบทั้งประเทศ ไม่ได้โดนละเมิดอยู่เช่นเดียวกันเสียอย่างนั้น
ส่วนหนึ่ง เข้าใจความลำบากใจของรัฐบาล โดยเฉพาะเมื่อเป็นรัฐบาลที่มีแต่คนจ้องล้มกระดานอยู่อย่างนี้
แต่อีกส่วนหนึ่ง เมื่อมองเห็นแต่ความง่อนแง่นของประเทศก็ยากจะทำใจ
ไม่รู้อีกนานเท่าไร มารจะแพ้ภัยตัวเอง